เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SUMMER AT SALMON: มนุษย์(ใจ)ปลาซิวในฝูงปลาส้มfridaysummer
การผจญภัยนอกกระแป๋งของมนุษย์ปลาซิวและการเดบิวต์เข้าฝูงปลาส้ม
  • นัดสัมภาษณ์กับปลาส้มจะเริ่มในอีกหนึ่งสัปดาห์

    ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ปลาซิวที่ถือคติ "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง มันต้องชนะซักครั้งแหละวะ" เลยลุกขึ้นมาเตรียมความพร้อมสู่รอบไฟนอลด้วยการเก็งคำถามล่วงหน้าและทำการศึกษาความปลาส้มผ่านหนังสือของสำนักพิมพ์

    แต่แน่นอนว่าคนจนๆ อย่างปลาซิวไม่สามารถกว้านซื้อหนังสือปลาส้มได้ทั้งเชลฟ์ ตอนที่ไปด้อมๆ มองๆ ในร้านบี*เอส เลยกริ๊งไปหาเพื่อนสนิทนางหนึ่งที่เป็นมิตรรักปลาส้มมาตั้งแต่ยังละอ่อนเพื่อให้ไล่รายชื่อหนังสือที่มีอยู่ในบ้านนางมาหน่อยเพราะจะขอยืม ถ้านางมีเล่มไหนก็ขีดฆ่า แล้วก็คว้าเล่มที่ไม่มีมาสองสามเล่มไปจ่ายเงิน

    ซึ่งตอนนั้นเองที่ปลาซิวได้รู้ว่าตัวเองก็เคยอ่านหนังสือของสำนักพิมพ์นี้มาบ้างนี่นา แม้จะเก่ากึ้กตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนผมติ่ง และอ่านจบแบบครึ่งๆ กลางๆ ก็ตาม แต่วงโคจรที่เคยอยู่คนละมิติ มันเขยิบเข้ามาใกล้กันหน่อยนึง ปลาส้มที่เคยเป็นครูประจำชั้นห้องข้างๆ อยู่ดีๆ ก็ได้อัพเกรดเป็นเพื่อนม.ต้นที่แยกสายกันตอนขึ้นม.ปลายซะงั้น

    ปลาซิวใจชื้นขึ้น ความกลัวลดลงนิดหน่อย คิดในใจกับตัวเองว่าเอาวะ ถึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสำนักพิมพ์เลย แต่อย่างน้อยถ้าเค้าถามว่าเคยอ่านเล่มไหน มันก็น่าจะพอตอบได้แหละ

    แต่เวลาผ่านไปไวเหมือนกด skip intro วันพุธถึงเสาร์โดนดูดลงหลุมดำไปหรือยังไงไม่รู้ ยังไม่ทันจะขยับตัว วันจันทร์ก็มายืนเท้าเอวเคาะประตูกระแป๋งเรียกแล้ว ปลาซิวดูรีวิวการฝึกงานของปลาส้มรุ่นเก๋าตามกระทู้และบล็อกแบบผ่านๆ (กราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ//ไหว้ย่อ) อ่านหนังสือที่ซื้อมาจบไปแค่สองเล่ม ที่ยืมเพื่อนมายังไม่อ่านซักเล่ม และความขี้เกียจที่เกาะกุมก็ไม่อนุญาตให้ใช้เวลาวันอาทิตย์ไปกับอย่างอื่นนอกจากการนอน

    สรุปก็คือมีเวลาทั้งวีค แต่รู้เรื่องปลาส้มขึ้น 3% และดูจะเป็นข้อมูลที่ไม่น่าช่วยอะไรได้เท่าไหร่ สุดท้าย การเดินทางสู่ถิ่นฐานปลาส้มก็เลยเกิดขึ้นในคอนเซปต์ "อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแหละแก"

    วันจันทร์ที่ไม่มีเรียน ปลาซิวตื่นเช้า รีดผ้ารีดผ่อนและตระเตรียมกระเป๋าสำหรับการออกจากกระแป๋งเป็นครั้งแรกในรอบเดือน การสัมภาษณ์วันนั้นจัดที่ออฟฟิศย่านใจกลางกรุงตอนบ่ายสองโมง โลเคชั่นถูกแคปเข้าอัลบั้มภาพตั้งแต่วันที่คนติดต่อส่งมาแล้ว มนุษย์ที่ไม่สันทัดการเดินทางในกรุงเทพและมักเผชิญความผีเข้าผีออกของระบบคมนาคมที่ช๊อบบบบบังเอิญเกิดเหตุฉุกเฉินทุกครั้งเวลาเร่งรีบ จึงเลือกออกจากกระแป๋งที่อาศัยแถวปริมณฑลล่วงหน้าประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูก ปลาซิวที่หน้ามันเมือกจากการนั่งสองแถวต่อด้วยรถไฟฟ้าแล้วก็นั่งวินต่ออีกทีไปถึงบริษัทแบบฉิวเฉียดในเวลา 13.55 นาฬิกา

    แต่ในที่สุดก็มาถึงแล้วแฮะ รังของปลาส้ม สถานที่ทำการว่ายทวนกระแส

    หนึ่งในสิ่งที่ไม่เคยรู้ และเพิ่งรู้เอาวันนั้น คือปลาส้มเป็นสำนักพิมพ์ที่อยู่ในเครือบันลือกรุ๊ป ดังนั้นสำนักงานเลยแชร์ตึกอยู่กับเพื่อนร่วมงานแขนงอื่นๆ ในเครือเดียวกัน ตึกบริษัทตั้งอยู่ในซอยค่อนข้างลึก เป็นตึกสูงๆ (ตึกในกรุงเทพสูงหมดในสายตาดิฉัน) เบียดกับร้านอาหารและอาคารพาณิชย์อื่น ปลาซิวหาทางเข้าตึกที่แสนลึกลับได้ด้วยการถามลุงยามที่ประจำอยู่ตรงป้อม คลำมาจนถึงพี่ประชาสัมพันธ์สาวที่นั่งอยู่ชั้นหนึ่งข้างๆ สแตนดี้ตัวการ์ตูนจากขายหัวเราะ (หรือมหาสนุกก็ไม่แน่ใจ) พี่สาวหันมาสบตาปิ๊งๆ ด้วยเลยโปรยยิ้มใส่หนึ่งที และทักทายด้วยประโยคตามที่ระบุไว้ในอีเมลว่า

    "มาสัมภาษณ์ฝึกงานกับปลาส้มค่ะ"

    พี่สาวผายมือบอกให้นั่งรอก่อนตรงโต๊ะข้างกระจกใส ปลาซิวหย่อนก้นลงพลางสำรวจความเรียบร้อยของตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็กสีดำกับรองเท้าผ้าใบคู่เก่ง และความตื่นเต้นที่แทรกอยู่ในทุกรอยยับย่นของเสื้อผ้าทำให้เริ่มจะสติแตกนิดๆ แต่รอไม่นาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังไม่ทันอืด ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะรวบผมหรือไม่รวบดี เงาดำบนพื้นก็คืบคลานเข้ามา

    เจ้าของเป็นพี่สาวใส่แว่นหน้าใสพร้อมรอยยิ้มดาวกระจายเดินมาหา ถามด้วยเสียงนุ่มๆ อย่างใจดี

    "น้องซิวใช่มั้ย"

    และนี่คือพี่วี่จากกองบก. ปลาส้มคนแรกในฝูงที่ปลาซิวรู้จัก

    พี่วี่พาเดินขึ้นไปชั้นสองผ่านประตูมิติพิศวงที่กลืนไปกับกำแพง บันไดมืดๆ เปลี่ยวๆ ชวนให้หวาดระแวงใจ ชั้นสองที่เดินไปถึงไม่มีอะไรนอกจากห้องประชุมเล็กๆ ที่ไม่มีไฟเปิดซักดวง และมนุษย์เพศชายร่างสูงใหญ่ที่เดินฝ่าความมืดออกมาแบบ out of nowhere

    และนั่นคือพี่แอร์กองบก. อีกหนึ่งปลาส้มที่ได้รู้จักในวันนั้น

    พี่วี่กับพี่แอร์พากันเดินเข้าไอ้ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ตอนปิดไฟแทบจะดูไม่ออกว่ามันคือห้อง ลักษณะทางกายภาพโดยรวมคล้ายห้อง study room ที่มหาลัยแต่ไซส์มินิกว่ามาก ข้างในมีโต๊ะประชุมและกระดานไวท์บอร์ดที่จดไอเดียยุ่งเหยิงไว้เต็ม จู่ๆ ความกดดันและตึงเครียดก็แผ่ขยายออกมา ปลาซิวกระชับสายกระเป๋าเป้แน่นตอนก้าวเข้าห้อง รู้สึกเหมือนตัวเองก้าวลงสนามรบที่มีแต่ระเบิด และมนุษย์สองหน่วยตรงหน้าก็เป็นคนถือเครื่องมือควบคุมพร้อมกดบอมบ์

    ประตูห้องปิดลง พร้อมเสียงในหัวที่ดังขึ้นมา

    ชิบหาย กูเละแน่งานนี้

    บรรยากาศการพูดคุยไม่ต่างจากที่จินตนาการไว้เท่าไหร่ เอาจริงๆ ก็ออกจะหนักและหน่วงกว่าที่คิดไว้เยอะ แม้ท่าทางของพี่ทั้งสองคนจะดูชิล และบทสนทนาจะเริ่มต้นด้วยอะไรง่ายๆ อย่างการแนะนำตัว แต่เนื้อหาก็ลึกลับและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยปลาซิวสมัครเข้าฝึกงานในตำแหน่งบรรณาธิการ คำถามเลยจะมุ่งตรงไปที่การทำหนังสือ หนังสือ และปลาส้ม เป็นต้นว่ารู้กระบวนการทำมากน้อยแค่ไหน จัดการปัญหายังไง ใช้เวลาในการเขียนงานนานแค่ไหน มีเทคนิคอะไรตอนทำหนังสือเอง ไปจนถึงหนังสือที่อ่าน งานอดิเรกที่ทำ หนังสือของปลาส้มเล่มที่ชอบ (ซึ่งก็เอ๊าแอ๊ะไปว่าชอบเล่มนู้นของคนนั้น เล่มนั้นของคนนี้ม๊ากมาก ถ้าพี่มาอ่านนี่ต้องกำหมัดแน่ๆ เลย แหะ ขอโทษกั๊บ ;-;) กระทั่งการจำลองเหตุการณ์ in case ที่ได้เป็นเด็กฝึกงานจริงๆ ปลาซิวที่ตอนนั้น (รวมถึงตอนนี้) เป็นแค่คนวงการหนังสือสมัครเล่น ก็อึกๆ อักๆ ยิ้มแหย และได้แต่งัดสกิลที่พากเพียรฝึกฝนอย่างช่ำชองตลอดระยะเวลาสามปีที่เรียนในมหาลัยมาใช้

    แถค่ะ แถไป แถจนสีข้างถลอก แถจนอีคนที่ออกมาเถียงเรื่องสูตรผสมวัคซีนจะต้องยอมแพ้แน่ถ้าเห็นความสามารถการแถของตัวดิฉันในวันนั้น

    การสัมภาษณ์ดำเนินไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ปลาซิวตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็พยายามตอบจนถึงที่สุด เขายิงคำถามมาก็ขยันตอบไป แต่จะตรงคำถามมั้ยนี่ก็อีกเรื่องนึง เวลาผ่านไปพอประมาณ รายละเอียดการพูดคุยไม่หลุดจากหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับตัวปลาซิวและหนังสือเลย แต่ในที่สุดพี่เขาก็ยอมแพ้ เพราะเหมือนว่าถามอะไรมาน้องก็ไม่รู้เรื่องห่าไรเลยจริงๆ

    "โอเค แล้วเรามีคำถามอะไรไหม"

    นี่เป็นคำถามที่ไม่อยู่ในสคริปต์ แต่ปลาซิวพอจะมีสติขึ้นมาบ้างแล้วเลยถามเกี่ยวกับสำนักพิมพ์เพื่อแสดงให้พี่เขาเห็นว่าไอ้เด็กนี่ก็มีความสนใจใคร่รู้เหมือนกันนะเนี่ย พี่เล่ามาคร่าวๆ พอให้เห็นภาพ มีเสริมเรื่องราวน่าสนใจนิดๆ หน่อยๆ พอหอมปากหอมคอ สำนักพิมพ์ปลาส้มเป็นสำนักพิมพ์ที่เล็กมากๆ พนักงานรวมทุกแผนกมีจำนวนน้อยกว่านิ้วมือ หนังสือแนวที่ทำมีสไตล์ แม้ปลาซิวจะไม่ค่อยสันทัด พี่แอร์จะเป็นคนพูดและถามส่วนใหญ่ ส่วนพี่วี่นั่งยิ้มให้กำลังใจตั้งแต่ต้นจนจบ ปลาซิวพยักหน้าหงึกหงักกับความปลาส้มที่รู้เพิ่มจาก 3% เป็น 7% ตัวสั่นเล็กน้อยเพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศและความกดดันที่คงไม่หายไปจนกว่าจะออกจากห้องนี้

    และเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 30 นาที การสัมภาษณ์ก็จบลง (ซะทีจ้า)

    พี่ๆ ลุกขึ้นยืน บอกนิ่งๆ ว่าถ้าผ่านจะมีคนติดต่อไปนะ ปลาซิวตัวแทนจากไทยมารยาทงามยกมือไหว้เป็นครั้งสุดท้ายแม้รู้ว่าจะไม่มง ขอบคุณพี่ๆ ที่สละเวลามานั่งฟังคนเพ้อเจ้อไปเรื่อยตั้งครึ่งชั่วโมง เมื่อออกจากห้องประหาร พี่แอร์เดินแยกไปอีกทางสู่ความเวิ้งว้างที่จากมา ส่วนพี่วี่เดินมาส่งปลาซิวข้างล่าง ชวนคุยในฐานะศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันหนึ่งกรุบ แล้วจบบทสนทนาด้วยการแนะนำจุดเรียกวินไปขึ้นรถไฟฟ้า

    ปลาซิวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กลิ่นควันจากร้านไก่ย่างแถวนั้นลอยเข้าเต็มปอด

    จบแล้วจ้า คราวนี้จบจริงๆ

    โอเค๊ so long ปลาส้ม

    In case I don't see you, good afternoon, good evening, and good night

    บรั๊ยยยย

    .

    คำว่าลาก่อนที่บอกในวันนั้น ไม่ใช่ลาแล้วลาลับ แต่ลาเพื่อพบกันใหม่

    เพราะ so long แปลว่า goodbye until we meet again และ we ก็ได้ meet again จริงๆ ด้วย

    แต่วันที่ปลาส้มโทรมาแจ้งผลรอบสุดท้าย เป็นวันที่จืดจางกว่าตอนวันสัมภาษณ์ซะอีกแฮะ

    น่าแปลกใจที่ความทรงจำตอนวินาทีเดบิวต์ไม่มีอะไรโดดเด่น จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเดือนไหน วันที่เท่าไหร่ ที่ยังพอนึกออกคือเป็นค่ำคืนที่ไม่ได้รับสายในรอบแรกที่โทรมา เพราะปลาซิวลงไปอาบน้ำข้างล่าง เบอร์ที่เซฟไว้ตั้งแต่วันแรกที่นัดสัมภาษณ์เด่นหราอยู่หน้าจอ พอเห็นเลยกดโทรกลับอย่างใจเย็น ปลายสายรับหลังจากนั้นไม่นาน พี่วี่คอนแกรทสั้นๆ ว่าได้งานจ้า สงสัยอะไรเมลถามได้ออลไทม์ ปลาซิวขอบคุณและวางสาย ในหัวมีคำถามแค่ข้อเดียว 

    "โทรมาแจ้งผลตอนสองสามทุ่ม นี่เค้าทำงานดึกขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย"

    ช่วงเวลาการเดบิวต์เข้าฝูงปลาส้มจบลงแค่นั้น

    ปลาซิวปิดไฟเตรียมเข้านอน โบกมือบ๊ายบายผู้ชมอีกที 

    โอเค๊ นัมเบอร์วัน แล้วเจอกันนะปลาส้ม!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in