เธอกลับเข้ามาในครัวอีกครั้งในช่วงเย็น พบว่าเขาตื่นแล้ว สีหน้าดูดีขึ้น ถ้วยชาที่วางอยู่เย็นเฉียบไปแล้ว แน่นอนว่าแทบไม่พร่อง เขารีบบอกเมื่อเห็นเธอหยิบถ้วย “ผมดื่มแล้วจริงๆ นะ ขอบคุณมาก” เธอพยักหน้ารับ นึกขำในใจ หันไปล้างแก้วชาและจานขนมของเธอเองก่อนจะรีบออกไปดูร้านในช่วงเวลายอดนิยมอีกครั้ง
เขามองไปรอบตัวอย่างพินิจพิเคราะห์เป็นครั้งแรก ก่อนจะลุกเดินสำรวจรอบห้อง ห้องครัวไม่ใหญ่แต่สะอาด มีตู้เย็นตู้ยักษ์วางอยู่มุมห้อง ถัดมาเป็นตู้ใส่อุปกรณ์ทำขนมสารพัดชนิดและส่วนผสมต่างๆที่บางอย่างเขาก็ไม่รู้จัก ส่วนอีกฟากห้องเป็นเตาอบขนาดใหญ่ ไมโครเวฟวางอยู่ไม่ไกลกันนัก อีกมุมเป็นเตาไฟฟ้าและอ่างล้างจาน มีโทรทัศน์วางอยู่ในหลืบเล็กๆบนตู้เย็นมีแม่เหล็กติดโน้ตแปะกระจายอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศเปี่ยมชีวิตชีวาอวลอุ่นไปด้วยไอขนมและกลิ่นวานิลลาจางๆ เขาหวนนึกไปถึงครัวที่เคยเป็นของเขาเองซึ่งจะเรียกว่าครัวยังไม่ได้เต็มปากด้วยซ้ำ แค่ไมโครเวฟเครื่องหนึ่งชามและจานอีกอย่างละสองใบ ช้อนส้อมสองคู่ แก้วน้ำ ตู้เย็นห้าคิว แค่นั้นเอง
ขณะกำลังเดินอยู่ เธอก็กลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง หันมองนาฬิกาจึงเห็นว่าเกือบสามทุ่มแล้ว “เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เธอบอก “เล่ามา ระหว่างนี้ฉันต้องเตรียมขนมวันพรุ่งนี้ด้วย”
เธอหันไปเทนมและน้ำตาลใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟและคนสักครู่ก่อนจะคว้าฝักวานิลลาขูดใส่ลงไป แล้วหันไปตอกไข่แยกไข่แดงใส่ชามอ่าง ส่วนเขาเล่าเรื่อง พยายามให้สั้นง่ายกระชับ วันที่ประตูโลกวิญญาณเปิด เขาออกมาสนุกสุดเหวี่ยงคืนหนึ่งจนเลยเวลากลับ เรื่องจบก่อนที่เธอจะผสมไส้ชูครีมเสร็จเสียอีก เรื่องเล่าส่วนแรกนั้นธรรมดาง่ายดาย ที่ทำให้ลำบากใจมันน่าจะส่วนต่อจากนี้มากกว่า ดูเหมือนเธอเองก็รู้ว่าเขายังเล่าไม่หมด แต่ยังไม่อยากพูดเพราะยังง่วนกับการทำขนม ดูจากสายตาที่ส่งมาให้กับปากที่เม้มแน่นเป็นระยะก็ได้ ส่วนผสมไส้เสร็จแล้ว ส่งกลิ่นวานิลลาหอมอบอวล เธอยกลงจากเตา ก่อนจะหันไปเอาเนยและส่วนผสมต่างๆใส่หม้อขึ้นตั้งไฟ แล้วหันไปร่อนแป้งต่อ เขาเหม่อมอง ในหัวครุ่นคิดว่าจะพูดอย่างไรดีให้เธอยอมให้เขารอคอยช่วงเวลาที่มิติของโลกวิญญาณและโลกมนุษย์ซ้อนทับกันที่ร้านของเธอได้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็ผสมแป้งเสร็จและนำใส่หัวบีบ บีบเป็นลูกๆเตรียมจะเอาเข้าเตาอบแล้ว
หลังเอาถาดขนมเข้าเตาอบไปเรียบร้อย เธอหันขวับมาจ้องเขาต่อ เขาเริ่มเรียบเรียงคำพูด “คุณก็ได้ฟังไปแล้ว การข้ามมาโลกนี้เป็นเรื่องยาก ปัญหาคือผมกลับไปไม่ทัน แต่ร้านของคุณเป็นที่พิเศษ เหมือนชานชาลาเชื่อมต่อสองโลก หากมีจังหวะดีๆ ผมก็จะข้ามไปได้” เธอพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถามต่อ“แล้วจังหวะที่ว่านั่นจะมาเมื่อไหร่” เขากลืนน้ำลายเหนียวลงคอ “ผมไม่รู้”
หากสายตาฆ่าคนได้ เขาก็คงตายอีกรอบไปแล้ว โชคดีที่นาฬิกาจับเวลาส่งเสียงช่วยเอาไว้ได้
เธอสบถเบาๆ อย่างขัดใจ หันไปคว้าถุงมือหยิบถาดร้อนๆส่งกลิ่นหอมออกจากเตาอบ ยังดีที่ขนมทุกลูกพองตัวสวย ไม่ทำให้เธอหงุดหงิดไปมากกว่านี้ ระหว่างยกมาวางที่โต๊ะด้วยความที่โมโหจนไม่ทันระวัง ขนมลูกหนึ่งกลิ้งจะหลุดออกมาโดนมือของเธอ เขารีบเอื้อมมือมาคว้าไว้
เธอหันไปแหวใส่ “ตายแล้วจะยังตะกละอีก” เขาหดมือกลับแทบไม่ทัน ก่อนจะเถียงกลับ “ผมจับอะไรก็เย็น ผมช่วยคุณอยู่นะ แต่คุณเอา เอ่อ ความไม่ดี-sinหนึ่งในseven deadly sins มาว่าคนที่ตายไปแล้ว กินอะไรก็ไม่ได้เนี่ยนะ”
เขาออดอ้อนต่อ “ผมจะอยู่เงียบๆ ไม่รบกวน ไม่ต้องการอาหาร ให้ช่วยงานก็ได้ถ้าทำได้ นึกซะว่า เอ่อ ทำ-บุน ?”
“ทำบุญ”
“ครับ นั่นแหละ”
เธอพ่นลมหายใจแรง “ฉันจะหายันต์มาแปะ อย่างนี้ถ้าคุณเข้ามาได้อะไรอย่างอื่นก็เข้ามาได้”
เขาระล่ำระลัก “ผมจะเฝ้าไว้ ไม่ให้พวกนั้นเข้ามา” ว่าแต่ “ยัน เป็น verb นี่ครับ เอามาแปะยังไง ไม่เข้าใจ”
เธอกลอกตาเป็นเลขแปด ไม่ตอบคำ หันไปหยิบหัวบีบมาบีบไส้คัสตาร์ดใส่ตัวขนมชูครีม
เขามองเธออย่างงุนงง แต่ที่แน่ๆ คือเธอยังไม่ได้ออกปากไล่เขา ใช่ไหม?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in