ปีกหนาพาร่างของหญิงสาวทั้งสองข้ามหุบเขาและท้องน้ำมายังดินแดนลับแลที่ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ใด(เว้นเสียแต่ออโร่าผู้เลอโฉมกับสเตฟานพ่อของนาง)ได้เหยียบย่างเข้ามา
'ข้าอยู่ที่ใด' คงไม่มีวันหลุดออกมาจากปากหญิงสาวผู้ซึ่งเป็นราชินีและแขกอย่างอิงกริธเป็นแน่ เพราะนางย่อมรู้ดีว่าที่นี่คือที่ใด ใยต้องถามออกไปให้เสียเวลา
สองสตรีร่อนลงสู่พื้นดินอย่างนุ่มนวล ปีศาจสาวปล่อยมือที่โอบอุ้มร่างเล็กที่หนักอึ้งไปด้วยชุดเกราะและเครื่องแต่งกายลงเบาๆ อิงกริธดีดตัวออกจากอ้อมกอดของมาเลฟิเซนส์พลางสอดส่องสายตาไปรอบๆอย่างระแวดระวัง
"เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?" ราชินีสาวเอ่ยถาม สายตาจับจ้องไปยังพุ่มไม้ที่เคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ
"เพื่อไถ่บาป" เจ้าถิ่นตอบเสียงเรียบ
มาเลฟิเซนส์ยกยิ้มให้กับกิริยาตื่นกลัวของคนตรงหน้า
นางอดยอมรับไม่ได้ว่ามันรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่เห็นศัตรูคู่แค้นเกิดหวาดกลัวที่นี่ขึ้นมาบ้าง
หลังจากทุกอย่างที่ราชินีใจโหดได้กระทำลงไปแล้ว การที่พานางมาอยู่ที่มัวร์เห็นจะเหมาะกับนางอยู่บ้าง ร่างบางๆนั่นคงเหมาะที่จะหลบตามเงาแมกไม้ ซ่อนตัวจากบรรดาเหล่าดาร์กเฟย์ที่โกรธแค้น
แต่หากพินิจดูให้ดีแล้วชุดออกรบสีขาวสะอาดตานั่นคงไม่เหมาะกับชัยภูมิของที่นี่สักเท่าไร
ทั้งหนา ทั้งหนัก
"ข้าว่าชุดนี้คงไม่เหมาะจะอยู่ป่าสักเท่าไร..." ดาร์กเฟย์เจ้าถิ่นเดินอ้อมบัลลังก์ตรงไปหาอาคันตุกะของตน สายตาจดจ้องร่างบางอย่างครุ่นคิด
"มาเถิด ข้าจักพาเจ้าไปดูที่หลับนอน" ว่าจบมาเลฟิเซนส์ก็เดินนำลิ่วไปยังด้านในของป่าโดยไม่รอราชินีแห่งอัลสเตดได้โตแย้งอันใด
เมื่อปราศจากเจ้าถิ่น อาคันตุกะอย่างอิงกริธก็รีบแจ้นตามหลังมาเลฟิเซนส์ไปอย่างไม่รีรอ
อย่างน้อยๆ นางปีศาจสาวก็ยังมิได้คิดจะทำร้ายนางตอนนี้ ฉะนั้นเก็บมิตรไว้ใกล้ตัวดีกว่า
เมื่อเดินลึกเข้ามาในตัวป่าทั้งสอบก็พบกับม่านไม้เลื้อยขนาดใหญ่ รอบข้างแวดล้อมไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด พืชบางต้นก็เรืองแสงส่องสว่างนำทางให้นางราวกับคบเพลิงในปราสาท เสียงนกร้องก้องอยู่ไกลๆ บรรยากาศดูอบอุ่นแต่ก็ร่มเย็นอย่างน่าประหลาด
มาเลฟิเซนต์แหวกไม้เลื้อยนั้นออกแล้วพยักเพยิดให้อีกคนเดินตามเข้ามา
"ฮัดชิ่ว!" ทันทีที่เดินผ่านแมกไม้นั้นมา ร่างเล็กก็เกิดจามออกมาอย่างห้ามไม่ได้
"โอ้..." มาเลฟิเซนส์แสดงความแปลกใจเมื่อเห็นอีกคนแสดงท่าทีว่าอ่อนแอออกมา
"ข้าแพ้เกสรดอกไม้" อิงกริธยกมือเล็กขึ้นถูจมูกไปมาจนเกิดรอยแดง แต่ก็ไม่วายจะจามออกมาอีกรอบ
มาเลฟิเซนส์หัวเราะออกมาน้อยๆ คนตรงหน้าดูบอบบางเสียจนน่าขัน
เอวบางที่เมื่อครู่ยังอยู่ในอ้อมแขนนานนับชั่วโมงนั้นบิดไปมาเมื่อเจ้าของร่างกายเคลื่อนตัวไปสำรวจรอบๆห้อง
ใบหน้าสวยที่เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจนั้นช่างน่าทะนุถนอมและน่าหมั่นไส้เสียเหลือเกิน
จมูกรั้นถูกนิ้วเล็กถูไปมาจนเกิดรอยแดง
ริมฝีปากบางเฉียบของนางก็น่าหลงไหลไม่แพ้ใครหากแต่นางแย้มรอยยิ้มหวานแทนที่จะเป็นการเบ้ปากเฉกเช่นที่นางกำลังทำอยู่ตอนนี้
แต่ถ้าหากกล่าวชมนางแล้วไม่เอ่ยถึงดวงตาคู่สวยนั้นก็ย่อมมิได้
ดวงตาคู่สีนภาสดใสที่มาเลฟิเซนส์ไม่กล้าจะสบเข้าตรงๆโดยที่ไม่รู้สึกอันใด
ดวงตาคู่นั้นที่ให้ความรู้สึกราวกัับจ้องมองออกไปในท้องนภาอันกว้างใหญ่ ให้ความรู้สึกทั้งสบายใจและน่าหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน
อิงกริธจามออกมาอีกครั้งที่มุมห้องพลางรีบยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกตนเองเอาไว้
มาเลฟิเซนส์เพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองจ้องมองราชินีสาวด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเมื่อชั่วโมงก่อน
ทำไมนางช่างน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้
เสียงวัสดุกระทบเข้าด้วยกัน เรียกสติของมาเลฟิเซนส์ให้กลับเข้าร่าง
ราชินีอิงกริธกระแทกร่างบางของตัวเองลงบนเตียงนุ่ม
แขนเล็กขดเข้าด้วยกันบนหน้าอกแสดงความไม่พอใจ
"ข้าว่าชุดนั่นจะทำให้เจ้าไปได้ไม่ถึงไหนหรอก วิ่งหนีทหารรักษาประตูก็รังแต่จะเหยียบชายกระโปรงตนเองล้มเปล่าๆ ข้าจะปล่อยให้เจ้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็แล้วกัน" มาเลฟิเซนส์จัดแจงโบกมือไปมาในห้องนอน พลันชุดกระโปรงหลากสีเช่นเดียวกับที่ออโรร่าเคยสวมใส่เมื่อครั้งที่นางเข้าเฝ้าอิงกริธและคิงจอห์นที่พระราชวังอัลสเตดก็ปรากฏในตู้เสื้อผ้าที่อยู่ด้านในสุดของห้อง
ราชินีอิงกริธก้าวเข้าไปหาตู้เสื้อผ้านั้นแล้วสำรวจดูชุดวิเศษที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาเมื่อครู่ก่อนจะหันไปสบตาท้าทายกับเจ้าถิ่นอย่างไม่เกรงกลัว
"ข้าไม่สวมชุดที่ทำขึ้นหยาบๆเช่นนี้หรอกนะ" นางเอ่ย
"เลือกมาสักชุดแล้วเปลี่ยนเสีย"
"..." ไร้เสียงตอบกลับจากอาคันตุกะ มีเพียงแววตาดุดันเท่านั้นที่ราชินีสาวส่งกลับมาให้เจ้าถิ่น
"ไม่เช่นนั้น..." มาเลฟิเซนส์ว่าต่อด้วยท่าทางสบายๆ
"ไม่เช่นนั้นอะไร?" อิงกริธถามออกไปด้วยความรู้สึกหวั่นใจ
ร่างสูงก้าวเดินออกไปจากห้องแล้วหันกลับมาแสยะยิ้มส่งให้ศัตรูคู่แค้น
"...ไม่เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนให้เจ้าด้วยตัวข้าเอง"
พูดจบมาเลฟิเซนส์ก็จ้ำอ้าวออกจากห้องไป ทิ้งราชินีอิงกริธไว้ผู้เดียวกับใบหน้าของนางที่เริ่มแดงก่ำอย่าห้ามไม่ได้
แน่ใจแล้วหรือคะว่านั่นมิใช่ความเสน่หา?
//รออ่านตอนต่อไป หลังม่านนะคะ?