บนกิ่งไม้ใหญ่ของต้นไม้กลางป่าในเมืองมัวร์ หลังจากที่เฟย์สาวผละออกมาจากอิงกริธแล้ว นางมิได้ตรงกลับรังนอนในทันที แต่กลับมาแอบซุ่มอยู่บนยอดไม้ เฝ้าดูอาคันตุกะของนางอยู่ไม่ห่างตา
นีี่นางคิดดีแล้วหรือที่พาราชินีอิงกริธมาที่เมืองมัวร์แห่งนี้?
ในตอนแรกที่นางช้อนตัวราชินีสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแล้วบินมาที่นี่ มิได้ฉุกคิดว่านางจักต้องมาอ่อนไหวให้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นที่นางกำลังเผชิญอยู่
แผลเป็นที่นางเห็นมิได้เป็นเพียงบาดแผลเล็กๆ แต่มันคือแผลเป็นที่ยาวกว่าคืบ และมันไม่ได้มีเพียงบาดแผลเดียว
อิงกริธต้องเจอเรื่องราวหนักหนาถึงเพียงใดจึงได้บาดแผลพวกนั้นมา แล้วใยนางไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งคิดยิ่งทำให้เฟย์สาวว้าวุ่นใจ
ยามนี้ร่างบางได้เปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว แต่นางยังมิได้ล้มตัวนอน มาเลฟิเซนส์เฝ้ามองนางเหม่อลอย สายตาทอดยาวออกไปด้านนอกราวกับกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใดก็มิอาจหยั่งรู้ได้ เฟย์สาวพบว่าตนเองไม่อาจละสายตาไปจากหน้าต่างบานน้อยข้างเตียงที่อีกฝ่ายเปิดทิ้งไว้ได้เลย ใบหน้าสวยที่โผล่ออกมาด้านนอกนั้นมองได้ชัดเจน ยิ่งยามแสงจันทร์ไล้โลมผิวเนียนยิ่งทำให้นางดูเปล่งประกาย
จนเวลาล่วงไปกว่าสองชั่วยาม มาเลฟิเซนต์เฝ้ามองจนกระทั่งอีกฝ่ายเข้าสู่ห้วงนิทรา จึงร่อนลงมาจากต้นไม้ที่นางแอบอิงอยู่ ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบเข้าไปยังห้องนอนของอีกฝ่ายโดยไม่ให้นางรู้ตัว
"โอ้ อิงกริธ..." มาเลฟิเซนส์เอ่ยแผ่วเบา แต่ทว่าแฝงไปด้วยความหมาย
ข้าปรารถนาจะบอกเจ้าว่าข้าเห็นใจเจ้าในสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญ แต่มันมิอาจลบล้างในสิ่งที่เจ้าทำลงไปได้...
ยามหลับไหลเช่นนี้เจ้าก็มิได้มีพิษภัยอันใด เพราะเหตุใดเล่าอิงกริธ เพราะเหตุใดเจ้าถึงได้ปากร้ายเช่นนั้นยามเมื่อเจ้าตื่น เพราะเหตุใดความคิดจะล้างบางชาวมัวร์ถึงได้มาจากผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเจ้าได้กัน?
มือเรียวเอื้อมไปเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าสวยของราชินีสาวอย่าวแผ่วเบา แต่ถูกหยุดเอาไว้โดยมือของตัวเจ้าที่ยกขึ้นมาบีบมือของมาเลฟิเซนส์ด้วยสัญชาตญาณ
"เจ้าทำอะไร?" ราชินีสาวลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
"ข้า...ข้าแค่แวะมาดู เผื่อเจ้าต้องการอะไรเพิ่ม เห็นเจ้าหลับข้าจึงไม่ปลุก" มาเลฟิเซนส์นับถือตนเองที่สามารถแก้ไขเฉพาะหน้าได้ดีถึงเพียงนี้ และนางได้แต่เพียงภาวนาให้อิงกริธเชื่อในสิ่งที่นางพูดออกไป
อิงกริธมิได้เอ่ยคำใดออกไป เพียงแต่เหลือบมองมือของปีศาจสาวในมือของตน
"ข้าแค่ไล่แมลง...มันไปแล้ว"
ชั่วอึดใจ มาเลฟิเซนส์คิดว่าอิงกริธคงเอื้อมไปหยิบแจกันที่โต๊ะข้างเตียงขึ้นมาฟาดตนเข้าให้
หากแต่นางมิได้ทำอันใด เพียงแต่พยักหน้าแล้วปล่อยมือ
"ข้ามิได้ต้องการสิ่งใดเพิ่ม" อิงกริธเอ่ยพลางเอนหลังไปพิงกับหัวเตียง มือเล็กยกขึ้นมาเสยผมบลอนด์ที่ปรกหน้าอยู่ออกไป ใบหน้าแสดงความว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย
"ข้าเพียงแต่ไม่เคยชินกับการที่ต้องนอนคนเดียว" นางว่าต่อ
"เจ้าคงคิดถึงจอห์น" มาเลฟิเซนส์ถือวิสาสะนั่งลงที่ปลายเตียง
"ไม่..." อิงกริธส่ายหน้าไปมา
"ไม่เลยสักนิด" นางว่าต่อ
"ใยเป็นเช่นนั้นเล่า?" มาเลฟิเซนส์ถามด้วยความใคร่รู้
"เจ้าเป็นสตรีเฉกเช่นเดียวกับข้า เช่นนั้นข้าจักพูดตรงๆ...ข้ามิได้รักเขา ไม่เคยรักและไม่มีวันจะรัก" อิงกริธช้อนสายตาขึ้นสบเข้ากับดวงตาสีเขียวที่เปล่งประกายของอีกฝ่าย ดวงใจไหวสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางไม่เคยยอมรับกับผู้ใดมาก่อนเลยว่านางไม่เคยรักจอห์น ไม่แม้แต่คิด'จะรัก'เสียด้วยซ้ำไป แต่นางกลับพบว่ามันช่างง่ายดายเหลือเกินที่จะพูดอะไรเช่นนี้กับนางปีศาจสาวตรงหน้า
"แต่เจ้าแต่งงานกับเขา?" เฟย์สาวยังคงแสดงท่าทีไม่เข้าใจ
"โถ่เอ๋ยแม่คนโง่เขลา คนเรามิจำเป็นต้องแต่งงานเพียงเพราะความรักเสมอไปหรอกนะ" อิงกริธกอดอก น้ำเสียงไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
เหตุใดจึงได้เข้าใจอะไรยากถึงเพียงนี้นะมาล?!
"แล้วคนที่เจ้ารักเล่า? ใยเจ้าไม่แต่งงานกับเขาเสีย?"
ราชินีสาวส่ายศีรษะไปมา นางสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะตอบด้วยท่าทีหยิ่งยโสอันเป็นเอกลักษณ์ของนาง
"ข้าจะรักใคร มันก็มิใช่กงการอะไรของเจ้า"
"ข้าเพียงแต่ถาม!" มาเลฟิเซนส์ผุดลุกขึ้นด้วยความโทสะ
เหตุฉะไหนจึงพูดจากันดีๆมิได้เลยสักครั้ง!
"เดี๋ยวมาล..."
มาเลฟิเซนส์หยุดชะงัก
นางเรียกข้าว่าอะไรนะ?
เจ้าถิ่นไม่ตอบเพียงแต่หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าคนบนเตียง
"อยู่กับข้าก่อน...ได้ไหม?"
มาเลฟิเซนส์ประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนั้น
นี่คือครั้งที่สองที่ราชินีสาวร้องขอนาง
"เพราะเหตุใดถึงขอให้ข้าอยู่?"
"แม้จอห์นจะมิใช่สวามีที่ดี แต่อย่างน้อยเขาก็มิเคยปล่อยให้ข้านอนคนเดียวเลยแม้สักครั้ง"
มาเลฟิเซนส์เลิกคิ้ว
"เพียงคืนเดียว ขอให้ข้าคุ้นชินกับที่นี่เสียก่อน แล้วข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีกเลย"
"หากเจ้าร้องขอเช่นนั้น..." มาเลฟิเซนส์ว่า พลางกวัดแกว่งมือเรียวไปในอากาศพลันเตียงเล็กที่อิงกริธนอนอยู่ก็ขยายใหญ่ขึ้นทันตา มันกว้างพอสำหรับ 3 คนเลยทีเดียว
มาเลฟิเซนส์สอดตัวลงไปใต้ผ้าห่มนุ่ม หนุนแขนเรียวของตนแล้วจ้องมองไปยังสตรีอีกนางที่นอนอยู่ถัดไป ปีกหนาขดเก็บเข้าประชิดตัว
"หากเจ้าคิดจะทำอะไรพิกล ข้าเตือนไว้ก่อนว่าข้าสัมผัสไว และข้าสามารถเสกเจ้าให้กลับเป็นแพะได้ในพริบตา" มาเลฟิเซนต์ร่ายยาว
"เจ้าเห็นข้ามีอาวุธหรืออย่างไรกัน?" อิงกริธโต้แย้ง ก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้กับปีศาจสาว
"ข้าเพียงแต่เตือนเจ้าไว้ก็เท่านั้น..." มาเลฟิเซนส์บ่นเสียงเบา
วันนี้ช่างเป็นวันที่เหนื่อยเหลือเกิน
"และโอ้...ข้ามีบางสิ่งที่ต้องทำก่อน" มาเลฟิเซนส์ว่าอีกครั้งก่อนจะโน้มตัวไปหาราชินีสาวจนสัมผัสได้ถึงรังสีความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างอรชร อิงกริธหันกลับมาประจันหน้าอีกฝ่ายด้วยความตกใจที่อยู่ๆเฟย์สาวก็เคลื่อนขยับเข้ามาชิดเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
"ข้า มาเลฟิเซนส์ ขอถอนคำสาปที่เคยให้ไว้แก่ราชินีอิงกริธครั้งที่นางยังอยู่ในดินแดนมนุษย์" พูดจบ แสงเขียวก็พวยพุ่งออกจากร่างบางของราชินีอิงกริธตรงไปยังฝ่ามือของมาเลฟิเซนส์แล้วซึมเข้าร่างกายของนาง มันเลือนลางก่อนจะจางหายไป ปีศาจสาวถอยกลับไปนอนที่เดิมแล้วและอิงกริธรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาเล็กน้อย
นางมิอาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะถูกถอนคำสาปหรือเพราะนางปีศาจถอยห่างจากตนไปแล้วกันแน่
"ที่มัวร์ เจ้ามิต้องแปลงร่างเป็นสัตว์แล้ว"
"ข...ขอบใจ"
"ทีนี้ก็นอนเสียเถอะ เจ้ามิได้อยู่ผู้เดียวแล้ว"
"ราตรีสวัสดิ์" อิงกริธหลับตาลงพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆของหอมไม้ที่ลมโชยมา กับไออุ่นที่แผ่ไปรอบๆแผ่นหลัง ทำให้ใจชื้นขึ้นมาเสียหน่อย
วันแรกกับการมาเยือนมัวร์ ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน
"เช่นกัน" มาเลฟิเซนส์กล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ มันเป็นรอยยิ้มที่นางมิต้องฝึกฝนและนางคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงจะชอบหากนางยิ้มแบบนี้บ่อยๆ
วันแรกกับการต้อนรับแขกของมัวร์ มันช่างเป็นวันที่ยาวนานเสียจริงๆ
.
.
.
อยากรู้ที่มาของแผลที่หลังอิงกริธแล้ว รออ่านตอนต่อไปนะคะ