Aladdin อนิเมชั่นอันดับที่31 ของสตูดิโอดิสนีย์ ดัดแปลงมาจากตอนหนึ่งในหนังสือชุด Arabian Nights ซึ่งที่จริงแล้วชาติกำเนิดของอะลาดิน เป็นเด็กหนุ่มชาวจีน ไม่ใช่ชาวตะวันออกกลางหรืออินเดียแต่อย่างใด โดยอนิเมชั่นเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1992
ในยุคที่โลกก้าวหน้าไปมาก วงการอนิเมชั่นก็ต้องปรับเปลี่ยนพล็อตเช่นเดียวกัน ทำให้การดำเนินเรื่องและมิติตัวละครของอนิเมชั่นเรื่องนี้ แตกต่างจากอนิเมชั่นเรื่องอื่นๆ ในยุค Classic อย่างชัดเจน ด้วยการดำเนินเรื่องโดยตัวละครชาย “A diamond in the rough” อย่างอะลาดิน ทำให้สามารถใส่ความโลดโผนผจญภัย และความขี้เล่น ลงไปได้เต็มที่ โดดเด่นด้วยดนตรีอาหรับ จนทำให้อะลาดินกลายเป็นการ์ตูนดิสนีย์เรื่องโปรดของใครหลายๆคน
กลับมาที่ฉบับภาพยนตร์ปี 2019 ด้วยฝีมือผู้กำกับ Guy Ritchie ซึ่งมีคนเคยบอกกับเราว่า Guy Ritchie กับดิสนีย์โคตรไม่เข้ากัน555 แต่หลังจากที่ได้ดูตัวอย่างแรก เพียงแค่หนึ่งท่อนของ A Whole New World ก็ทำให้เรานับวันรอที่จะได้ชม คาดหวังกับการเนรมิต Arabian Night จากฝีมือของ Guy Ritchie อย่างเสียไม่ได้
Aladdin เปิดเรื่องมาด้วยการเล่านิทานเรื่องหนึ่ง ด้วยจังหวะ เนื้อเรื่อง และเพลงประกอบ ถูกเรียงเหมือนฉบับการ์ตูนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดำเนินเรื่องเร็วมากซะจนคิดว่า จะมีอะไรมาเซอร์ไพร์สตอนท้ายรึเปล่า แต่ก็...
ไม่มี
เราเลยมาวิเคราะห์กับตัวเองว่า นี่ฉันต้องการอะไรจากการชม Disney live action กันแน่ เพราะเราดันไปประทับใจ Cinderella กับ The Jungle Book มากๆ แต่กลับไม่ประทับใจ Beauty and the Beast
Aladdin สนุก แต่มันดันไม่เต็มอิ่มสำหรับเรา พอเราลองได้สังเกตหนังแต่ละเรื่อง มันมีชุดเหตุการณ์ (Sequence) มากน้อยไม่เท่ากัน โครงเรื่องของซินเดอเรลล่า กับ เมาคลี ฉบับการ์ตูนมีพล็อตเรื่อง หรือ Goal ของ story น้อยนิดเดียว และมีจุดที่ไม่จำเป็นต้องเล่าเยอะมาก จนทำให้ฉบับภาพยนตร์สามารถดัดแปลง และใส่ความจริงจังลงไปในช่องว่างของเนื้อเรื่องนั้นได้ มันมีเวลาเล่าเรื่องที่เนิบช้า ทำให้คนค่อยๆอินไปกับการกระทำของตัวละคร ประกอบกับการใช้เพลงประกอบอย่างพอดี ทำให้สามารถสร้างวิธีเล่าใหม่ได้ โดยไม่กระทบกับพล็อตเรื่องหลัก
แต่สำหรับอะลาดิน อนิเมชั่นทำไว้สนุกมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องก็เยอะมาก จนพอมาเป็นฉบับภาพยนตร์ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะสนุกไปมากกว่านี้ได้ยังไงแล้ว มันก็เลยไปไม่สุด ฉบับภาพยนตร์มันควรมากกว่านี้ได้อีก เราเชื่ออย่างนั้น
แต่ถึงอย่างไร อะลาดินเวอร์ชั่นนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าแย่เลย มันสนุก ครบรส เก็บฉาก+เพลงของอนิเมชั่นได้ทุกเม็ด คงความฟูฟ่าสไตล์บอลลีวูด นักแสดงเคมีดี มีเสน่ห์ คอสตูมสวย มีมุกตลกที่ยิงคนดูได้อยู่หมัด ตัวละครที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่าง ดาเลีย นางกำนัลของเจ้าหญิงจัสมิน ก็ขโมยซีนได้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู จินนี่ฮิปฮอปของWill Smith ก็ตลกมาก กลายเป็นจินนี่โฉมใหม่ที่เป็นของวิลจริงๆ
ส่วนเจ้าหญิงจัสมิน เจ้าหญิงที่เราชอบที่สุดในบรรดา Disney Princess ก็ไม่ทิ้งลายความฉลาด จริงๆเจ้าหญิงจัสมินในการ์ตูนเองก็ออกแนวกึ่งๆเป็น Feminist อยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ในฉบับนี้ชูความหัวก้าวหน้าชัดเจน และเพิ่มความอัดอั้นตันใจที่ต้องอยู่ในกรอบของจารีตประเพณีและความเป็นผู้หญิง แต่ด้วยสถานการณ์บีบบังคับ ความรู้สึกของเจ้าหญิงจัสมิน ก็ถูกระเบิดออกมาด้วยเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่อย่าง Speechless พิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นว่าเธอสามารถเป็นสุลต่านที่ดีได้
อะลาดิน ตัวละครหลักตัวนี้ ไม่เปลี่ยนจากฉบับการ์ตูนเลย เจ้าหนุ่มเพชรในตมที่ต้องต่อสู้กับจิตใจของตัวเอง เนื้อในหรือเปลือกนอก ความจริงหรือโกหก แต่เรารู้สึกว่าชื่อเรื่องก็ชื่ออะลาดินแท้ๆ แต่ตัวอะลาดินไม่Shineเลย บทไม่ค่อยส่งให้หล่อ จะเน้นไปทางตลกซะเยอะกลายเป็นน่ารักขี้เล่นไป ทั้งๆที่ในการ์ตูนรู้สึกว่ามันหล่ออ่ะ ทั้งหล่อและนิสัยดี สมกับเป็นเพชรในตมที่จาฟาร์ควานหา แต่ชอบเวลาอยู่กับจัสมินนะ ดูเข้ากัน เสริมกันแบบไม่มีใครข่มใคร
ส่วนตัวร้ายอย่างจาฟาร์ เป็นตัวละครที่เราค่อนข้างผิดหวัง ถ้าฉลาดกว่านี้หน่อย ใส่ตอนท้ายให้มีแผนเหนือความคาดหมายของคนดูจะว้าวอีกเยอะ นับว่าเสียดายเพราะในฉบับการ์ตูนค่อนข้างบ้าได้ใจอยู่ อันนี้เหมือนมีหน้าที่มาข่มจัสมินโดยเฉพาะมากกว่า แต่ก็ยังชอบตรงที่มีภูมิหลังเป็นขโมยนะ ดูมีอะไร(มั้ง) ส่วนบรรดาสิงสาราสัตว์ น่ารักมาก พี่พรมของฉันเหมือนมาก ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
สรุปเราว่าคนที่ไม่ได้จำเนื้อเรื่องฉบับการ์ตูนได้ หรือ ไม่เคยดูการ์ตูนมาก่อน จะดูสนุกเลยแหละ ส่วนคนที่จำฉบับการ์ตูนได้จะค่อนข้างเฉยๆ เพราะเหมือนกันมากๆ จังหวะการเล่ามาแบบ เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ การดำเนินเรื่องทุกอย่างมันรวดเร็วมาแบบอัดๆกัน ฉบับอนิเมชั่นยังเล่าช้ากว่า กว่าจะเข้าถ้ำกว่าจะไปเอาตะเกียง แต่ในหนังด้วยความที่มีการเพิ่มฉากอื่นเข้ามาด้วย เลยทำให้มีเวลาเล่าไม่ค่อยพอ แต่ก็นับว่าเป็นฉบับที่ให้ความบันเทิงครบถ้วน ยังไงก็อยากให้ทุกคนได้ลองชมจากใจคนรักดิสนีย์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่
สุดท้ายนี้ The diamond in the rough เพชรแท้ อยู่ที่ไหนก็เป็นเพชรแท้
“ You look like a prince on the outside. But I didn't change anything on the inside “
Genie
Enjoy
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in