6.2
แหมมม ตอนเดียวจบไม่ลง รู้เลยนะคะว่าถ้าเป็นเรื่องแบบนี้นี่ถนัดนัก จริงๆที่เราตัดสินใจเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาก็เพราะอยากเขียนตอนนี้ ตั้งใจว่าจะเขียนด้วยอินเนอร์มุนินทร์มาโดยตลอดแต่พอมีคนอ่านก็ระแวงเหมือนกันเลยต้องเขียนด้วยอินเนอร์มุตตาแทน /บีบน้ำตา (นี่มุตตาของแกหรอ)
lv.999 เจ๊
หลังจากที่กล้องวงจรปิดกลับบ้านไป เราสบายใจขึ้นเยอะมาก ไม่ต้องเกร็งเวลาอึในห้องน้ำอีกต่อไป จะตดเสียงดังแค่ไหนก็ได้เพราะไม่มีคนมารอถามว่า'น้องท้องเสียหรอคะ'อยู่ เราภาวนาให้คนที่มาใหม่ไม่พูดมาก (99สาธุ) แต่เจ๊คนนี้พึ่งออกมาจากห้องไอซียูหมาดๆ มาพร้อมเสียงบ่นระงม จังหวะนี้เลยที่เรารู้แล้วว่าชีวิตมันก็อย่างนี้แหละเนอะ life is hard จริงๆ คือเจ๊มาถึงเจ๊ก็ด่ากราดด่าฟ้าด่าเหวด่าหมอด่าพยาบาลเต็มไปหมดด้วยโทนเสียงระดับกี่เดซีเบลไม่รู้ รู้แต่ว่าดังมาก เขาเข้าไอซียูเพราะช็อค ถึงจะได้ออกมาแต่ก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพราะหนักน้ำเกลือและยา คือ ขยับตัวเองไม่ได้เลย(เราไม่ได้ถามนะ เรารู้เพราะเจ๊บ่นกับเพื่อนเสียงดังลั่นห้อง) พอแกเริ่มปรับตัวได้ แม่ของน้องเตียงสาม(ป้าสุกลับบ้านไปแล้ว หวังว่าสุขภาพคุณป้าจะดีขึ้นๆไปทุกวันนะคะ)ก็ชวนเจ๊เขาคุย ก็ซักถามว่าเป็นอะไรมา หันมาถามเราด้วยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบไหน หมอแพลนจะปลูกถ่ายไหม ซึ่งเราก็ตอบว่าหมอแพลนไว้ นี่แหละ คือจุดเริ่มต้นของ lv.999
เจ๊: โอ้ย หนูนะ ไม่ขอปลูกถ่ายหรอก ถ้าไม่แมทกับพี่สาวหนู หนูขอแค่โรคสงบแล้วขอเวลาอีกห้าปีให้หัวดำส่งหัวหงอก(หมายถึงเขาขออยู่จนพ่อแม่เขาไปก่อน)เถอะ ปลูกถ่ายมันเสี่ยงมากเลยนะ ไหนจะติดช้งติดเชื้ออะไรอีก หนูคนนึงแหละไม่เอาด้วยคน
แม่น้องสาม: เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าอันตราย
เจ๊: พี่คิดดู นักแบตที่ออกกำลังกายทุกวันเลยนะพี่เข้าห้องปลูกถ่ายไปสามได้ออกมาคนเดียว ที่เหลือตาย ละคนที่ออกมานะ ไม่ได้สภาพดีเลยพี่
แม่น้องสาม: (เล่าให้ฟังว่าเคยคุยกับคนที่ปลูกถ่าย)
เจ๊: ถ้าไม่แมทกับพี่สาวค่าใช้จ่ายเป็นล้านๆ ปลูกถ่ายเสร็จแล้วไหนจะต้องจ่ายค่ายาอีกเดือนละสามหมื่น หนูไม่เอาด้วยคนอะ ถ้าเข้าไปแล้วออกมาไม่เหมือนคน หนูไม่เอา ขออีกแค่ห้าปีพอ
แม่เรากับเรามองหน้ากัน แม่ก็ปลอบเราเบาๆว่าไม่ต้องฟังหรอก ฟังหมอคนเดียวพอ
เจ๊: นี่น้องอายุเท่าไหร่นะ
เรา: 23 ค่ะ
เจ๊: โอ้ย น้องอายุยังน้อย ไม่ต้องกลัวหรอก (แล้วก็พูดต่อว่าจะไม่ปลูกถ่าย เพราะมันเสี่ยง บลาๆ)
เรา:.........................................................
คือเดี๋ยวนะ ไม่ต้องตบหัวแล้วลูบหลังเลย คือถ้าเจ๊ไม่อยากให้เรากลัว เจ๊จะขยี้ทำไมตั้งแต่แรกอะ...
เจ๊พูดทั้งวันจริงๆ แล้วเวลาเขาหนาว เขาจะสั่งปิดแอร์ทันทีแบบไม่ถามสมาชิกในห้องเลยเลย(คือถ้าคนอื่นหนาวจะปิดม่านเอา) เวลาหมอมาราวน์ตอนเช้ามาถามอาการ เจ๊ก็จะบ่นยาวๆ ว่าเป็นงั้นนั้น เป็นงี้ หมอทำแบบนี้ดิ ไม่ไหวแล้วเนี่ย.. แล้วด้วยความที่พึ่งออกจากไอซียูร่างกายก็ยังไม่ค่อยฟื้นตัวอะเนอะ เจ๊เขาก็ต้องทำทุกอย่างบนเตียงอะ มีอยู่คืนนึงที่ฝังใจเราจนถึงทุกวันนี้ วันนั้นเขาเหมือนจะได้ยาขับน้ำไปมั้งเลยฉี่บ่อยจนเขาเบื่อจะกดออดเรียกพยาบาลให้ปิดม่าน น้าเตียงสี่(พี่เตียงสี่ย้ายไปแล้วเพราะต้องได้รับการดูและอย่างใกล้ชิด)ก็ถามแล้วว่ากดให้ไหม เจ๊ตอบว่าไม่ทันละพี่ คงปวดมากด้วยแหละ เราก็หันไปอีกทางนะ เผื่อเขาอาย แล้วก็นั่นแหละ เขาฉี่แบบไม่ปิดม่าน แกคิดว่าแค่นี้จะทำอะไรเราได้หรอ.. ที่เราฝังใจอะ เพราะเจ๊แกแถมอึมาแบบไม่ตั้งใจ คือมีเสียงด้วยไง........... เราสาบาน เราไม่เคยทำอะไรให้เขาเลย มีอะไรที่เราช่วยได้เราก็ช่วย ทำไมต้องย่ำยีหัวใจเราขนาดนี้ด้วย เขาคงไม่รู้จริงๆว่าได้สร้างบาดแผลในวัย 23 ปีให้เราแล้ว..
อ่านจบแล้วก็รู้เลยนะคะว่าควรอยู่คนเดียว
555555555555555 บางคนอาจจะคิดว่าแล้วไม่คิดบ้างหรอว่าแกก็จะไปเป็นรูมเมทที่รัก(ประชด)ของคนอื่นเหมือนกัน คือชีวิตประจำวันของเรามีแค่ด่าอีโรคนี้ลงทวิตเตอร์และดูรายการอาหารเท่านั้นแหละค่ะ
tbc
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in