7
เราใช้ชีวิตอยู่ในวอร์ดโรคเลือดแบบวนลูปโคตรๆ หนึ่งวันคุณพยาบาลจะวัดไข้และวัดความดัน 7 ครั้งคือ ตีห้าครึ่ง เก้าโมงครึ่ง บ่ายโมงครึ่ง สี่โมงครึ่ง สองทุ่มครึ่ง ห้าทุ่มครึ่งและตีสองครึ่ง เราเข้านอนไม่เกินสองทุ่ม นอนเร็วขนาดนี้ครั้งสุดท้ายที่จำได้ก็น่าจะอนุบาล ขนาดตอนประถมยังรอดูชิงร้อยชิงล้านหลังละครจบเลยอะคิดดู และสิ่งที่เราทำเป็นประจำ(นอกจากการด่าอีโรคนี้ลงทวิตเตอร์)ก็คือการดูรายการอาหาร ตั้งแต่วันแรกที่เราแอดมิทที่วอร์ดโรคเลือดแล้วคุณหัวหน้าพยาบาลมาอธิบายให้ฟังว่ามีอะไรที่เราควรทำบ้างนั่นล่ะ หนึ่งในนั้นก็คือเวลาที่เม็ดเลือดขาวเราต่ำเราจะติดเชื้อง่ายมากกก อันตรายที่สุดก็มาจากอาหารด้วยนี่แหละ ห้ามกินผักผลไม้สด ถ้าเป็นผลไม้กระป๋องได้ น้ำผลไม้ที่อยู่ในกล่องเล็กๆที่ผ่านการสเตอริไลซ์แล้วเท่านั้น ต้องกินให้หมดในครั้งเดียว เหลือต้องทิ้ง ห้ามกินต่อ ที่บ้านเราเลยไม่กล้าให้เรากินอะไรเลยนอกจากอาหารรพ. เวลาจะกินอะไรต้องถามพยาบาลก่อนทุกครั้ง เราเบื่ออาหารรพ.มาก น้ำหนักเราลดทุกวัน อยากกินทุกอย่างที่หมอห้าม ไถไอจีก็เจอแต่รูปอาหารเราได้แต่กดเซฟแล้วท่องแต่คำว่าเดี๋ยวมึงเจอกูแน่ เดี๋ยวมึงเจอกูแน่ ที่ตลกคือ วันที่เราแอดมิทเป็นวันที่บาบิก้อนประกาศโปรโมชั่นรีฟิล.. ตอนต้นปีอะเราแม่งคิดแล้วว่าจะเอาแต้มในบัตรไปอัพเกรดเป็นเซตที่มีเนื้อด้วย ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วยวะ ย่ำยีหัวใจกันเข้าไป แล้วรู้ปะ เราเคยร้องไห้เพราะไม่ได้กินเค้กกล้วยหอมที่พี่สาวเราทำมาให้อะ อีบ้า 55555555555 life is hard จริงๆ คือ แกเข้าใจเราปะ ชีวิตเราไม่เคยต้องพยายามกินให้น้ำหนักขึ้นอะ ใครจะไปคิดว่าวันนึงโจ๊กรสต้มยำกับคอนเน่ห่อละ 10 บาทจะเป็นสิ่งที่ต่อชีวิตผู้ป่วยอย่างเราวะ (ขอโทษเพื่อนๆที่เรา direct message ไปด่าเวลาอัพรูปอาหารมา ณ ที่นี้ด้วย)
เดือนนึงผ่านไปเราเป็นไข้อีกครั้ง หมอเลยถอดสายที่แทงเส้นที่คอออกไปเผื่อเราจะติดเชื้อจากตรงนั้น(แต่ก็เพาะเชื้อไม่เจอนะ) เปลี่ยนมาให้ยาฆ่าเชื้อทางเส้นที่มือแทน พอไข้หายเราก็ถอดเส้นนี้ออก คือไม่มีสายอะไรแล้วรอเม็ดเลือดขาวขึ้นอย่างเดียว เหมือนมานอนเล่นๆเลยอะนอนเหงาๆกินข้าวรพ.ไปวันๆ ตอนแรกที่แอดมิทเราจะรู้สึกว่าวันนึงมันผ่านไปช้ามาก แต่พออยู่ๆไปแค่ดูรายการกินจุของแกลโซเนะก็หมดวันและ หมอนัดจะเจาะไขกระดูกเพื่อดูว่าเราตอบสนองกับยาคีโมรอบแรกมากแค่ไหนแต่สรุปก็คือเราได้กลับบ้านก่อนแล้วค่อยนัดมาเจาะไขกระดูกอาทิตย์หน้า คือได้กลับบ้านแบบงงๆ คุณพยาบาลเดินเอายามาให้บอกว่าได้กลับบ้านแล้วนะ ปกติจะถามว่าเอารถเข็นไหม แต่ของเราคุณพยาบาลไม่ถาม เราเลยอยากโชว์พาวน์ทำเก่งต่อหน้าที่บ้าน สรุปเดินหอบแห่กๆเป็นหมาแล้วขากลับบ้านก็เมารถด้วยนะ โคตรกระจอกเลยแม่ง
เราแอดมิทวันที่ 7 ก.พ. ได้ออกจากรพ.วันที่ 15 มี.ค. จบคอร์สหนึ่ง
เราเจาะไขกระดูกในอาทิตย์ถัดไปและถึงจะเป็นการเจาะครั้งที่สองแล้วแต่ไอ้การเจาะไขกระดูกเนี่ย ทำใจให้ชินไม่ได้จริงๆว่ะ ตื่นเต้นเหมือนเป็นครั้งแรกเสมอ(แก แกจะเอาอะไรกับคนที่ทั้งชีวิตไม่กล้าเจาะหูเพราะมันใกล้หน้า พอทำใจกล้าไปเจาะได้สามเดือนก็มาเป็นลูคีเมียเลยต้องถอดออก ล่าสุดตันไปแล้วด้วย อีเวงเอ้ยยยยยยย) จุดที่เจาะจะอยู่แถวๆสะโพกหรือเชิงกรานนี่ล่ะ แก แต่ต้องถกกางเกงลงด้วย ชีวิต 23 ปีของเราไม่เคยให้ใครเห็นก้นอะ แกนึกออกปะวะ ตอนที่เรานอนคว่ำหน้าให้หมอเจาะ กลัวก็กลัว อายก็อาย ฮือ อีโรคนี้มันทำให้เราได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำจริงๆ หลังจากฉีดยาชา(โคตรเจ็บ เจ็บมาก ใครบอกเจ็บเหมือนมดกัดไม่ต้องเชื่อมันนะ)หมอก็จะทดสอบดูว่าเรายังรู้สึกอยู่หรือเปล่า พอเจาะเข้าไปเนี่ย แกจะรู้สึกได้เลยเว่ยถึงจะชาอยู่ก็เถอะ จะได้ยินเสียงกึดๆๆตอนหมอไขเครื่องมือเข้าไปในกระดูกอะ ฮือ สยองขวัญจัง ตัดภาพมาอีกทีตอนเราฟังผลไขกระดูกเลยแล้วกัน หมอบอกว่าเราตอบสนองกับยาดีเชื้อมะเร็งเหลือน้อยกว่า 3% หรือ 5% นี่ล่ะ ไขกระดูกก็ทำงานปกติ แต่ผลตรวจสเต็มเซลล์ของเรากับพี่สาวไม่แมทกัน หมายความว่าถ้าเราจะปลูกถ่ายต้องจ่ายเงินเองทั้งหมดประมาณสามถึงห้าล้านบาท(บัตรทองจะจ่ายให้ถ้าพี่น้องเหมือนกัน 100%) หมอบอกว่าถ้าต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาก็ไม่ต้องหรอก ถ้ามันลำบากก็กินยาต่อไปนี่ล่ะเราก็รักษาของเราไป แล้วก็นัดมาเจอกันอีกทีเดือนหน้าแต่เปลี่ยนเป็นหมอคนอื่น แก ตอนนั้นเราดีใจมากทั้งเรื่องที่เชื้อมะเร็งมันเหลือน้อยแล้วก็ไม่ต้องปลูกถ่ายแล้ว รู้สึกชนะเจ๊ lv.999 (
wow, i love my roommate (2))ขึ้นมาเลยที่ความน่ากลัวของการปลูกถ่ายที่เจ๊สปอยล์เรามาจะทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว เราดีใจมาก โทรบอกพ่อ บอกเพื่อนสนิท เราแม่งโคตรวินเลยวินาทีนั้น ที่เหลือก็แค่ให้ยาให้ครบคอร์สสินะ มาเลย มึงมาเลยว้อย
หนึ่งเดือนผ่านไปเรามาเจอหมออีกครั้ง หมอดริฟต์เราแรงมากพูดง่ายๆเหมือนโดนถีบมาจากฟ้าไปเหวเลย หมอบอกว่าจริงๆโรคที่เราเป็นเนี่ย (Cml blast crisis) คือโดยปกติตัวโรคมันดุอยู่แล้ว หมอแนะนำให้ปลูกถ่าย ถ้าเราปลูกถ่ายโอกาสหายคือ 90% แต่ถ้าเราไม่ปลูกถ่ายเนี่ยโอกาสที่โรคจะกลับมาภายในหนึ่งปีก็สูงแล้วถ้าโรคกลับมาก็จะทำให้รักษายาก อาจจะรักษาไม่ได้ทำได้แค่รักษาแบบประคับประครองไป หรือถ้าเราโชคดี(หรือเปล่าวะ)โรคไม่กลับมาแล้วกินยาต่อไปเรื่อยๆ เราก็อาจจะอยู่ได้ห้าปี ก็หน้าชากันไป เอ๋อไปพักนึง ชีวิตนี้เคยได้ยินประโยคคุณมีเวลาเหลืออีกเท่านี้นะครับแค่ในหนังอะ ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินกับตัวเอง คิดไม่ออกว่าจะทำไงเลย เงินตั้งเยอะจะหามาจากไหนวะภายในเวลาไม่กี่เดือน งงกันไปหมดทั้งบ้าน ตอนอยู่ในห้องหมอก็ไม่ร้องไห้หรอก พอเห็นหน้าแม่เท่านั้นแหละ น้ำตาแม่งไหลออกมาเองเฉยเลย
เอ้อ ก็ยังพอมีเรื่องดีอยู่บ้าง เราไม่ต้องให้คีโมครั้งที่สองแล้ว เหมือนว่าโรคเรามันอยู่ในจุดที่กลับไปเป็นแบบเรื้อรังเฉยๆแล้ว ไม่ใช่เรื้อรังที่กลายมาเป็นเฉียบพลัน(งงไหม) พูดให้เข้าใจง่ายๆก็โรคสงบนั่นแหละมั้ง วันนั้นพอหยุดร้องไห้แล้วเราก็ให้พี่สาวไปซื้อบอนชอนมาให้ แกจำไว้อย่างนึงนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เทพเจ้าบอนชอนจะเยียวยาและปลอบใจแกเสมอ (ผู้ป่วยลูคีเมียที่หัวร้อนที่สุดในโลก,2017)
tbc
แต่เราก็เข้าใจว่าช่วงนั้นมันคงขำไม่ออกนั่นแหละ
นึกแล้วทรมานตามตอนไม่ได้กินของที่อยากกินอ่ะ มันน่าอึดอัดโคตร
ขอให้หายไวๆ เป็นกำลังใจให้นะ
ปล.เราซื้อเสื้อมาแล้วด้วย 5555
แอบเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ ขอให้สุขภาพแข็งแรงไวๆนะคะ <3