หากใครจะเอาผลงานแปลเราไปอ้างอิงหรือแชร์อะไรได้โปรดให้เครดิตด้วยค่ะ
TH Trans: HAISY_WM
ผมมี 2 เรื่องราวที่เป็นปริศนา ที่มันยังติดอยู่กับตัวผม ผมไม่เข้าใจมันเลย และบอกตรงๆเลยนะว่าผมกลัวที่จะค้นหาคำตอบ
ปริศนาแรกของผมคือ ผมอายุ 40 ปี ที่อยู่กับความซึมเศร้าและความวิตกกังวล ที่มันคอยเพิ่มขึ้นตลอด ไม่ว่าผมจะอยู่ที่อมเริกา ที่อังกฤษ หรือที่ไหนก็ตามในโลกตะวันตก
แล้วผมก็อยากจะเข้าใจว่าทำไม ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับพวกเรา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทำไมพวกเราถึงพบว่ามันยากขึ้นเรื่อยๆที่จะผ่านไปในแต่ละวันได้ ผมอยากจะเข้าใจมันจริงๆเพราะผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ผมจำได้ว่าผมไปหาหมอและผมก็อธิบายไปว่า ผมมีความรู้สึกแบบนี้ ความเจ็บปวดมันกระจายไปทุกๆที่ในตัวผม ผมไม่สามารถควบคุมมันได้ และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น ผมรู้สึกละอายใจนิดๆ
และหมอก็อธิบายให้ผมฟัง ซึ่งมันเข้าใจได้แต่มันฟังดูง่ายไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ผิดขนาดนั้น หมอบอกผมว่า “พวกเรารู้ว่าทำไมคนถึงมีความรู้สึกแบบนี้ คนบางคนมีเคมีในสมองที่ไม่ได้สมดุล และคุณก็เป็นหนึ่งในนั้น สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ จ่ายยาให้คุณ และความสมดุลของเคมีในสมองคุณจะกลับมาเป็นปกติ” เพราะงั้นผมก็เลยเริ่มกินยาที่มีชื่อเรียกวา่ Paxil หรือ Seroxat มันคือยาตัวเดียวกันแต่แค่ถูกเรียกต่างกันในแต่ละประเทศ ผมรู้สึกดีขึ้นมากๆหลังจากกินยา แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความเจ็บปวดต่างๆก็กลับมาหาผม เพราะงั้น ผมก็เลยได้รับยามากินมากขึ้นในเวลา 13 ปี ผมได้รับยามาทานในขนาดเต็มที่สุดเท่าที่จะทำได้อย่างถูกกฎหมาย
หลังจากเวลาผ่านไป 13 ปี ผมก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ และผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “มันเกิดอะไรขึ้น? นายทำทุกอย่างที่ถูกบอกแล้วนี่น่า ทำไมนายยังถึงรู้สึกแบบนี้อยู่?” เพราะงั้น การที่จะเข้าใจสองปริศนานี้ หนังสือที่ผมได้เขียนไปแล้ว มันจบลงจากการที่ผมเดินทางทั่วโลก กว่า 40,000 ไมล์ ผมอยากจะนั่งคุยกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดความซึมเศร้าและความกังวล และจะมีอะไรมาเยียวยาหรือแก้ไขปัญหาของมันได้บ้าง และผู้คนที่ผ่านอาการเหล่านี้มาเขาแก้ไขปัญหายังไงกัน และผมก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากคนที่มหัศจรรย์ที่ผมได้ทำความรู้จักผ่านการเดินทางครั้งนี้ แต่หัวใจหลักของการเรียนรู้ของผมคือ เรามีสาเหตุทางวิทยาศาสตร์ถึง 9 สาเหตุว่าทำไมคนเราถึงซึมเศร้าและวิตกกังวล สองในนั้นคือ ชีววิทยา ยีนส์ของคุณมันสามารถทำให้คุณอ่อนไหวมากขึ้นสำหรับปัญหาเหล่านั้น ถึงแม้ว่าพวกคุณจะไม่ได้เขียนโชคชะตาตัวเองก็ตามที และมันก็ยังมีสารเคมีในสมองที่มันเปลี่ยนเปลี่ยงเองได้เมื่อคุณซึมเศร้า และมันก็ทำให้พวกคุณใช้ชีวิตลำบากจากอาการเหล่านี้
แต่สาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล มันไม่ได้เกิดจากชีววิทยาของเรา แต่สาเหตุหลักๆเหล่านั้นมันเกิดจากการใช้ชีวิตของพวกเราเอง และเมื่อคุณได้เข้าใจพวกมันแล้ว คุณก็เจอวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆที่ควรจะถูกจัดรวมอยู่กับการรับยาต้านเศร้าด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเหงาหรือตัวคนเดียว วันหนึ่งคุณจะเป็นซึมเศร้า ถ้าวันหนึ่งคุณไปทำงาน และคุณไม่สามารถควบคุมงานตัวเองได้ คุณทำได้เพียงทำำตามสิ่งที่คุณถูกสั่งให้ทำ คุณมีสิทธ์ที่จะเป็นซึมเศร้า ถ้านานๆทีคุณจะออกจากบ้านไปเที่ยวตามสถานที่ธรรมชาติ คุณมีสิทธ์ที่จะเป็นซึมเศร้า และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ไม่ใช่พวกมันทั้งหมด แต่หลายๆอย่างจากพวกมัน
ทุกคนในที่นี้รู้ใช่ไหมครับว่าทุกคนต่างมีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างชัดเจนเลย คุณจำเป็นต้องมีอาหาร น้ำ ที่พัก และอากาศบริสุทธ์ ถ้าสิ่งเหล่านี้มันหายไปจากคุณ คุณจะมีปัญหาอย่างหนักและเห็นอย่างได้ชัด แต่ในเวลาเดียวกัน มนุษย์ทุกคนต่างก็มีความจำเป็นในด้านทางจิตใจเช่นเดียวกัน คุณต้องการจะรู้สึกว่าคุณเข้ากับที่ที่หนึ่งได้ คุณต้องการที่จะรู้สึกว่าชีวิตมันมีความหมายและเป้าหมาย คุณต้องการที่จะรู้สึกว่าผู้คนมองเห็นคุณและเห็นค่าคุณ คุณต้องการที่จะรู้สึกว่าคุณมีอนาคตที่มันจับต้องได้ และมันไม่ใช่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้น แต่ผมคิดว่าหัวใจหลักที่ปัญหามันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คือ มันไม่ใช่แค่สารเคมีในสมองเราเท่านั้น แต่การใช้ชีวิตของเราด้วยต่างหากที่ทำให้เราเผชิญกับเรื่องพวกนี้อยู่
และผมก็เริ่มตกตะกอน วันหนึ่งผมได้สัมภาษณ์กับจิตแพยท์จากแอฟริกาใต้ นามว่า ดร. เดเรค ซัมเมอร์ฟิลด์ (Derek Summerfield) เขาเป็นคนดีคนหนึ่งเชียวล่ะ ดร.ซัมเมอร์ฟิลด์เคยอยู่ที่กัมพูชาในปี ค.ศ. 2001 เป็นปีที่พวกเขาได้แนะนำยาต้านเศร้าให้กับผู้คนในประเทศนี้ และหอมท้องถิ่นไม่เคยได้ยินยาชื่อตัวนี้มาก่อน พวกเขาสงสัยและดร.ก็อธิบายว่ายามันคืออะไร และพวกเขาก็พูดกับดร.ว่า “พวกเราไม่ต้องการมัน เรามียาต้านเศร้าของพวกเราอยู่แล้ว” และดร.ก็พูดว่า “พวกคุณหมายความว่ายังไง?” เขาคิดว่าพวกเขาจะพูดถึงยาสมุนไพรเหมือน เซนต์จอห์นเวิร์ต (St. John’s Wort) และ แปะก๊วย อะไรประมาณนั้น แต่พวกเขาเล่าเรื่องให้ดร.ฟังแทน
พวกเขาเล่าว่า มีชาวนาคนหนึ่งในชุมชมแห่งนี้ที่ทำงานอยู่ที่นาข้าว มีวันหนึ่งเขาไปยืนอยู่ที่เหมืองจากสงสครามกับอเมริกาและเขาก็ถูกระเบิด ทำให้ขาของเขาพิการไป พวกเขาก็เลยทำขาเทียมให้เขา หลังจากนั้นเขาก็กลับไปทำงานที่ไร่ข้าว แต่ดูเหมือนว่า มันจะยากเกินไปที่จะทำงานใต้น้ำในเมื่อคุณใช้ขาเทียมอยู่ และผมก็เดาว่า มันคงจะเป็นอาการบอบช้ำทางจิตใจไม่น้อยที่จะต้องทำงานในที่ๆเขาเสียขาเขาไป เขาเริ่มร้องไห้ทั้งวัน และไม่อยากจะลุกขึ้นออกจากเตียง และอาการซึมเศร้าเขาก็เริ่มหนักขึ้น
หมอคนหนึ่งคุยกับชุมชนเพื่อที่จะช่วยแก้ไขปัญหา “บางที ถ้าเราเอาวัวไปให้เขา เขาอาจจะเป็นเจ้าของฟาร์มสำหรับนมเลยก็ได้นะ เขาจะได้ไม่ต้องมาเป็นชาวนาที่ไร่ข้าวอีกแล้ว” เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยนำวัวไปให้ชาวนาคนนั้น ผ่านไปสองอาทิตย์ เขาก็ไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป ภายในหนึ่งเดือน อาการซึมเศร้าเขาก็หายไป หมอในพื้นที่บอกกับดร.ซัมเมอร์ฟิลด์ว่า “นี่ใช่ไหม ยาต้านเศร้าที่คุณหมายถึง?”
ถ้าคุณกำลัังนึกถึงซีมเศร้าอย่างที่ผมเคยนึก คุณคงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกร้ายใช่ไหมครับ “ผมไปหาหมอเพื่อยาต้านเศร้า แต่หล่อนให้วัวผมแทน” แต่สิ่งที่หมอชาวกัมพูชารู้ดี มาจากยาต้านเศร้าที่ไม่ได้มาจากวิทยาศาสตร์อะไรเลย นำไปสู่ยาสำหรับโลกใบนี้ ที่ทาง องค์กรสุขภาพแห่งโลก (World Health Organization: WHO) กำลังพยายามบอกพวกเรามาหลายปีจากหลักฐานนี้
ถ้าคุณซึมเศร้า วิตกกังวล คุณไม่ได้อ่อนแอ คุณไม่ได้บ้า คุณไม่ใช่เครื่องจักรที่มีส่วนที่พัง คุณแค่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และมันก็สำคัญที่จะถึงหมอกัมพูชาเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ WHO ไม่ได้พูดถึงด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ได้บอกชาวนาคนนั้นว่า “เฮ้ เพื่อนยาก นายต้องมีสตินะ มันคือตัวนายเองที่จะต้องหาทางแก้ด้วยตัวเอง” ตรงกันข้าม พวกเขาพูดว่า “พวกเรามาที่นี่เป็นกลุ่มเพื่อที่จะดึงสติกับนาย เราจะมาหาทางแก้ไปด้วยกัน” นี่คือสิ่งที่คนเป็นซึมเศร้าต้องการ และพวกเขาควรจะได้รับมัน นี่เป็นเหตุผลที่หมอคนหนึ่งในอเมริกาได้ประกาศในวันสุขภาพแห่งโลกในปี ค.ศ 2017 ว่าพวกเราควรจะพูดเรื่องความไม่สมดุลทางสารเคมีให้น้อยลง และมาพูดเรื่องความไม่สมดุลในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น
ยาช่วยทำให้คนดีขึ้น และมันก็ทำให้ผมดีขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ก็แค่ชั่วคราว เพราะเอาจริงๆแล้วปัญหามันลึกกว่าชีววิทยา เพราะงั้นการแก้ไขปัญหามันก็ต้องลึกตามไปด้วย แต่สิ่งแรกที่ผมเรียนรู้ ผมจำได้ว่าผมคิดว่า “โอเค ผมสามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ ผมอ่านวิจัยมาเยอะ และได้สัมภาษณ์ผู่้เชี่ยวชาญมากมายที่จะมาอธิบายเรื่องนี้” แต่ผมก็คิดอีกว่า “พวกเราจะทำมันได้ไง?” เพราะว่าอาการซึมเศร้าของเราส่วนใหญ่ มันซับซ้อนและมีอะไรเกิดขึ้นมากมายมากกว่าในกรณีชาวนากัมพูชาคนนั้น
เราจะไปเริ่มต้นที่ไหนที่ไหนดี? แต่หลังจากการเดินทางมามากมายสำหรับหนังสือผม จากทั่วโลก ผมก็ยังเจอผู้คนมากมายต่อไป จาก Sydney ไปยัง Francisco ไปยัง Sao Paulo
ผมคอยพบปะผู้คนเรื่อยๆที่เข้าใจสาเหตุของอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล คอยแก้ไขปัญหามันอย่างเป็นกลุ่ม เห็นได้ชัดว่า ผมไม่สามารถเล่าได้ว่าคนมหัศจรรย์มากมายที่ผมได้พบปะและรู้จัก หรือแม้กระทั่งสาเหตุ 9 อย่างที่ทำให้เกิดซึมเศร้าและวิตกกังวล เพราะพวกเขาจะไม่ยอมให้ผมพูด Ted Talk ประมาณ 10 ชั่วโมงแน่ๆ และพวกคุณสามารถบ่นเรื่องนั้นกับพวกเขาได้ แต่ผมอยากจะเน้นแค่สองสาเหตุหลัก และสองวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องพวกนี้
เอาล่ะ มาพูดถึงอันดับแรกกัน พวกเราเป็นสังคมที่ขี้เหงาที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มันมีงานวิจัยที่ถามชาวอเมริกันว่า “คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สนิทกับใครไหม?” และ 39% นั้นตอบว่า “ไม่ได้สนิทกับใครแล้ว” สถิติสากลสำหรับความเหงา อังกฤษและประเทศอื่นๆของยูโรปอยู่หลังประเทศอเมริกา ถ้าหากว่าใครเชื่อมั่นในตัวเองเกินไปล่ะก็ ผมได้ใช้เวลาอย่างมากในการแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความเหงาที่มีชื่อว่า จอห์น คาคิโอพโพ (John Cacioppo) เขาอาศัยอยู่ที่ชิคาโก้ และผมคิดว่าคำถามเขามันทำให้พวกเราได้เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างในตัวของพวกเราเอง
ผู้เชี่ยวชาญ Cacioppo ถามว่า “พวกเรามีตัวตนอยู่ทำไม? ทำไมพวกเราถึงอยู่ที่นี่? ทำไมพวกเราถึงมีชีวิตอยู่?” เหตุผลสำคัญก็คือ บรรพบุรุษเราที่เป็นชาวแอฟฟริกา พวกเขาเก่งมากๆในด้านหนึ่ง พวกเขาไม่ได้ตัวใหญ่กว่าสัตว์ที่พวกเขาโค่นลงได้ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ได้เร็วกว่าสัตว์ที่พวกเขาล่าเลย แต่พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพวกเขาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและช่วยเหลือกันและกัน นี่มันเคยเป็นพลังวิเศษแบบจำพวก พวกเราเคยอยู่ด้วยกัน เหมือนกับพวกผึ้งที่วิวัฒนาการอาศัยอยู่ในรังผึ้ง มนุษย์วิวัฒนาการอาศัยอยู่กันเป็นเผ่า และพวกเราก็เป็นมนุษย์จำพวกแรกที่แยกตัวออกจากเผ่าพันธ์ของตัวเอง และมันก็ทำให้พวกเรารู้สึกแย่มาก แต่มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบบนี้ หนึ่งในฮีโร่ในหนังสือของผม ที่จริงแล้ว ในชีวิตของผม เขาคือ ดร.แซม อีเวอร์ริงตัน (Sam Everington) เขาเป็นหมอในทางตะวันออกของลอนดอน ซึ่งเป็นที่ผมอาศัยอยู่มาหลายปี และแซมค่อนข้างไม่สะดวกสบายเนื่องจากมีคนไข้มาหาเขาอย่างล้นหลามด้วยอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลอย่างรุนแรง เหมือนกับผม เขาไม่ได้ต่อต้านการใช้ยาต้านเศร้า เขาคิดว่าพวกยามันช่วยบรรเทาอาการสำหรับบางคนก็แค่นั้น แต่เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างได้ 2 อย่าง อย่างแรกคือ คนไข้ที่มีอาการซึมเศร้าและกังวลมากๆ ส่วนมากอาการเหล่านั้นมาจากความโดดเดี่ยว
และอย่างที่สอง ถึงแม้ว่ายาจะช่วยบรรเทาอาการให้สำหรับบางคน แต่สำหรับหลายๆคนแล้วมันไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเลย แต่มันคือการซ่อนปัญหาไว้
วันหนึ่ง แซมตัดสินใจที่จะริเริ่มวิธีที่แตกต่างออกไป มีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อว่า ลิซ่า คันนิงแฮม (Lisa Cunningham) เธอได้มารักษากับเขา และผมก็ได้รู้จักเธอทีหลัง ลิซ่าปิดตัวเองจากทางบ้านเพราะอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลถึง 7 ปี และตอนที่เธอมาหาดร.แซม เขาบอกกับเธอว่า “ไม่ต้องกังวลอะไร พวกเราจะคอยจ่ายยาให้คุณ แต่พวกเราก็จะช่วยคุณในทางอื่นด้วย พวกเราอยากให้มาที่ศูนย์นี้ สองครั้งต่อหนึ่งสัปดาห์ เพื่อที่จะมาพบกับกลุ่มคนที่มีอาการเหมือนกับคุณ พวกเราไม่ได้จะให้คุณหรือคนอื่นๆเล่าเรื่องแสนเศร้า แต่พวกเราจะพยายามหาอะไรที่มีความหมายต่อพวกคุณที่พวกคุณสามารถทำด้วยกันได้ พวกคุณจะได้ไม่ต้องเหงาและไม่คิดว่าการมีชีวิตอยู่ไม่ได้มีประโยชน์อะไร”
การพบปะครั้งแรกของลิซ่า มันทำให้ลิซ่าอาเจียนออกมาเพราะความวิตกกังวล ทุกอย่างมันมากเกินไปสำหรับเธอ แต่ผู้คนในกลุ่มก็คอยลูบหลังเธอ และพากันพูดประมาณว่า “พวกเราจะทำไงดี?” คนที่อาศัยอยู่ด้านตะวันออกในลอนดอนอย่างผม พวกเขาไม่รู้วิธีการทำสวน พวกเขาเลยหาวิธีกันประมาณว่า “ทำไมพวกเราไม่เรียนการทำสวนล่ะ?” มันมีพืิ้นที่หนึ่งที่อยู่ด้านหลังออฟฟิศของหมอ “ทำไมพวกเราไม่ทำให้ตรงนั้นกลายเป็นสวนดีล่ะ?” และพวกเขาก็เริ่มยืมหนังสือจากห้องสมุด เริ่มดู Youtube เริ่มให้นิ้วมือตัวเองไปอยู่ในดิน เริ่มเรียนรู้จังหวะของฤดู มันมีหลักฐานมากมายที่บอกพวกเราว่าธรรมชาติของโลกใบนี้คือยาต้านเศร้าที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็เริ่มทำอะไรที่มากกว่านั้น อะไรที่สำคัญมากกว่านั้น เริ่มก่อตั้งกลุ่ม เริ่มที่จะเป็นห่วงกันและกัน และถ้าหนุึ่งในพวกเขาไม่ได้มาที่ศูนย์ คนอืนๆก็จะตามหาเขาและถามว่า “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” และพยายามช่วยหาทางออกด้วยกันในวันนั้น
เรื่องราวของลิซ่ามันทำให้ผมคิดว่า “เมื่อสวนเริ่มผลิบาน พวกเราก็จะผลิบานเช่นเดียวกัน” วิธีการนี้เรียกว่า “กิจกรรมทางสังคม” (Social Prescibing) มันถูกใช้อย่างแพร่หลายในทวีปยูโรป วิธีนี้มันได้ผลจริงๆต่อคนที่มีอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล วันหนึ่ง ผมจำได้ว่าผมยืนอยู่ที่สวนที่ลิซ่า และเพื่อนที่เคยซึมเศ้ราช่วยกันสร้างขึ้นมา มันเป็นสวนที่สวยจริงๆครับ และมันก็ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสตาจารย์ ฮิวจ์ แมคเคย์ (Hugh Mackay) ในประเทศออสเตรเลีย
ผมได้คิดอะไรหลายอย่าง เวลามีคนรู้สึกเศร้าหมองในวัฒนธรรมแบบนี้ พวกเรามันจะพูดกับพวกเขา ผมก็ด้วย เรามักจะพูดว่า “คุณก็แค่เป็นตัวของตัวเอง” และผมก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่พวกเราควรพูดกับคนเหล่านั้นจริงๆแล้ว มันควรจะเป็น “ไม่ตัองเป็นตัวเอง เป็นพวกเรา เป็นหนึ่งในพวกเรา” แทนต่างหาก
การแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่การแยกตัวออกห่างไปอยู่คนเดียว ซึ่งการกระทำแบบนี้นี่แหละที่ทำให้คนมีอาการหนักมากกว่าเดิม มันอยู่ติดกับการเชื่อมต่อกันอีกครั้ง กับอะไรที่มันใหญ่กว่าคุณ และมันก็เชื่อมต่อกับอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล ที่ผมอยากจะพูดถึง เพราะงั้นทุกคนรู้ใช่ไหมครับว่าอาหารขยะมันทำให้ร่างกายเราป่วย ผมไม่ได้พูดให้ตัวเองดูดีกว่าคุณหรอก เพราะผมก็กินแมคโดนัลมาก่อนที่จะมาพูด TED Talk ตอนนี้ ผมเก็นว่าพวกคุณกินอาหารที่ีมีสุขภาพจาก TED และผมก็รู้สึกว่า ไม่นะ แต่อาหารขยะมันทำให้ร่างกายเราป่่วย แต่มันก็มีคุณค่าต่อความคิดเราและมันก็ทำให้ใจเราป่วย หลายพันปีมาแล้ว นักปราชญ์หลายๆคนพูดว่า ถ้าคุณคิดว่าชีวิตมันมีแค่เงิน สถานะ และการอวดตัว คุณจะต้องรู้สุึกแย่แน่ๆ มันไม่ใช่คำพูดจาก Schopenhauer โดยตรง แต่มันคือส่วนสำคัญที่เขาต้องการจะสื่อถึง
แต่มันแปลกนะครับที่ไม่มีใครศึกษากับเรื่องนี้เลย จนกระทั่งผมได้รู้จัักกับศาสตราจารย์ ทิม เคซเซอร์ (Tim Kasser) ที่ทำงานอยู่ที่ น็อกซ์วิทยาลัย (Knox College) ใน อิลลินอยส์ เขาเป็นคนที่วิจัยเรื่องนึ้มานานถึง 30 ปี และงานวิจัยของเขาก็ได้บอกอะไรที่สำคัญกับพวกเราหลายอย่าง
อย่างแรก ถ้าคุณยิ่งเชื่อว่าการซื้อสิ่งของมันทำให้คุณหายเศร้าและทำให้คุณมีชีวิตที่ดีได้ คุณก็จะยิ่งซึมเศร้าและวิตกกังวลมากขึ้น อย่างที่สอง สังคมที่พวกเราอยู่ พวกเราถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่าการที่เราซื้อนู่นซื้อนี่มันจะทำให้พวกเรามีความสุขมากขึ้น ในทั้งหมดชีวิตของผม ภายใต้โฆษณาต่างๆของและ อินสตาแกรม และทุกอย่างที่เหมือนสิ่งพวกนี้
และเมื่อผมคิดถึงอะไรแบบนี้ มันก็ทำให้ผมตระหนักได้ว่า พวกเราถูกเลี้ยงมาแบบนี้ตั้งแต่เกิด อย่างการกิน KFC เพื่อจิตวิญญาณของพวกเรา อะไรเทือกนั้น พวกเราถูกสอนให้มองหาความสุขในที่ๆผิด มันเหมือนกับอาหารขยะที่ไม่ได้เติมเต็มความต้องการสารอาหาร และมันยิ่งทำให้คุณรู้สึกย่ำแย่ อาหารขยะไม่ได้เติมเต็มความต้องการในจิตใจเราด้วย และมันยังพรากชีวิตที่ดีไปจากเรา
แต่ตอนที่ผมได้ใช้เวลาร่วมกับศาสตราจารย์เคซเซอร์ และผมก็ได้เรียนรู้พวกนี้ ผมรู้สึกแปลกๆในหลายๆอารมณ์ เพราะว่าอีกด้าน ผมคิดว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องที่ท้าทาย ผมผ่านมันมาแล้วในตอนที่ผมรู้สึกเศร้าหมอง และผมก็เคยพยายามที่จะอวดสิ่งของต่างๆ เป็นการแก้ไขปัญหา และผมก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมวิธีนั้นมันไม่ได้ผลต่อผม
ผมคิดอีกด้วยซ้ำว่า มันไม่ชัดเจนหรือไง มันไม่น่าเบื่อหรือไง ถ้าผมพูดกับทุกคนตรงนี้ จะไม่มีใครคนไหน ณ ที่แห่งนี้ ที่คิดจะไปนอนเล่นบนเตียง และนึกถึงรองเท้าที่ได้ซื้อมา หรือจำนวนรีทวีตที่ตัวเองได้มา พวกคุณจะนึกถึงช่วงเวลาที่พวกคุณมีความรัก ความหมาย และความสัมพันธ์ในชีวิตคุณซะมากกว่า ผมคิดว่ามันเกือบจค่อนข้างน่าเบื่อที่ผมคอยพูดกับศาสตราจารย์เคซเซอร์ว่า “ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกมากกว่าดิมนะ?” และเขาก็ตอบผมว่า “ในบางครั้ง พวกเรารู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่วัฒนธธรมของพวกเราไม่ได้ใช้ชีวิตจากมัน” พวกเรารู้จักมันอย่างดีจนมันกลายเป็นเรื่องที่ซ้ำซาก แต่พวกเรากลับไม่ได้ใช้ชีวิตจากมัน ผมคอยถามตัวเองว่า ทำไม ทำไมนะ ทำไมกัน ทั้งๆที่พวกเรารู้อะไรที่ลึกซึ้งแบบน้ีแล้ว แต่ทำไมพวกเราถึงไม่ใช้ชีวิตแบบนั้น และเมื่อเวลาผ่านไป ศาสตราจารย์เคซเซอร์บอกผมว่า “เพราะว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่กับเครื่องจักรที่มันถูกออกแบบให้พวกเราละเลยกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตยังไงล่ะ” ผมใคร่ครวญกับพูดนี้มากๆ “เพราะว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่กับเครื่องจักรที่มันถูกออกแบบให้พวกเราละเลยกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตยังไงล่ะ” และศาสาตราจารย์เคซเซอร์ต้องการที่จะแก้ไขปัญหานี้ เขาได้ทำการวิจัยกับเรื่องนี้มาอย่างมาก ผมจะยกตัวอย่างหนึ่งให้ และผมอยากให้ทุกคนได้ลองทำกีบครอบครัวและเพื่อนดูนะครับ
ผู้ชายคนหนึ่งชื่อว่า นาธาน ดันกัน (Nathan Dungan) เขามีกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่มารวมตัวกันและพูดคุยกัน ในกลุ่มจะพูดถึงช่วงชีวิตที่สำคัญและมีความหมายต่อชีวิตพวกเขา ทุกคนมีความหมายในการใช้ชีวิตแตกต่างกัน สำหรับบางคนอาจจะเป็นเล่นดนตรี เขียน ช่วยเหลือคนอื่น ผมมั่นใจว่าทุกคนในที่นี่สามารถจินตนาการบางอย่างออกไปด้วยได้ใช่ไหมครับ? หลังจากนั้น คนในกลุ่มก็เริ่มที่จะถามกันและกันว่า “โอเค แล้วคุณจะอุทิศตัวเองให้มากขึ้นกับช่วงเวลาที่มีความหมายเหล่านั้นยังไงล่ะ? แล้วก็ ฉันไม่รู้สิ ทำไมพวกเราต้องมาซื้อของไร้ประโยชน์ที่มันไม่ได้จำเป็นต่อชีวิตเราเลยแล้วโพสต์ลงมันผ่านโซเชียลมีเดีย ให้คนมาอิจฉาด้วยล่ะ อย่าง ‘โอ้พระเจ้า น่าอิจฉาจังเลย!” และสิ่งที่พวกเขาค้นพบจากการรวมตัวกันครั้งนั้นก็คือ มันไม่ต่างอะไรจากการเสพติดแอลกอฮอร์ การที่คนมารวมตัวกันแบบนี้ มาพูดคุยถึงความหมายชีวิตแบบนี้ และคอยดูแลกันและกันแบบนี้ มันทำให้คนเห็นคุณค่าของทั้งตัวเองและกันและกันมากขึ้น มันทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะปล่อยอาการซึมเศร้าที่รักษาอย่างผิดๆออกไป และนอกเหนือจากนั้นพวกเขาได้เจอสารอาหารที่มีคุณค่าต่อทางจิตใจต่อพวกเขาจนมันทำให้อาการซึมเศร้าออกไป
แต่ด้วยการแก้ไขเหล่านี้ ที่ผมได้เห็นและได้เขียนมัน และที่ผมไม่ได้พูดมันออกมาในที่นี่ มันทำให้ผมคอยคิดว่า ทำไมมันใช้่เวลานานขนาดนี้ กว่าจะผมจะเข้าใจอะไรลึกซึ้งแบบนี้ ในจุดหนึ่งของชีวิต พวกเราได้รู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ทำไมมันถึงยากเย็นที่จะเข้าใจมัน ผมคิดว่ามันมีหลายเหตุผมเลยทีเดียว แต่ผมคิดว่ามันมีเหตุผลเดียวที่เราจะเปลี่ยนการเข้าใจเกี่ยวกับอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล
มันเป็นเรื่องจริงที่ชีววิทยามันส่งผลต่ออาการซึมเศร้าและวิตกกังวล แต่ถ้าพวกเรายอมให้มันมันเป็นทุกอย่างของพวกเรา อย่างที่ผมได้เคยทำมันมานานแล้ว และผมจะต้องเถียงกลับว่า วัฒนธรรมของพวกเรา ที่มันบอกเป็นนัยกับผู้คนว่า “ความเจ็บปวดของคุณมันไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก มันแค่เป็นอะไรบางอย่างที่ปฏิการอย่างบกพร่อง เหมือนกับปัญหาชั่วคราวที่เกิดขึ้นกับโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ มันแค่เป็นสายที่พันกันในหัวของคุณ” แต่ผมเริ่มคิดเปลี่ยนไปในตอนที่ผมได้เรียนรู้ว่าอาการซึมเศร้ามันไม่ใช่อะไรที่ปฏิการอย่างบกพร่อง แต่มันคือสัญญาณ อาการซึมเศร้าของคุณมันคือสัญญาณที่กำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับคุณ
มันต้องมีเหตุผลที่เรารู้สึกอะไรแบบนี้ และมันเป็นอะไรที่เห็นได้ยากในความเจ็บปวดทุรนทุรายจากอาการซึมเศร้า ผมเข้าใจมันจริงๆจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง แต่ด้วยความช่วยเหลือที่ถูกต้อง ผมสามารถแก้ไขปัญาหานี้และพวกเราสามารถแก้ไขปัญหานี้ด้วยกันได้ แต่การที่จะทำอย่างนั้นได้ ขั้นตอนแรกของพวกเราคือ หยุดด่าท่อสัญญาณเหล่านี้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ ความบ้า หรือมันเกิดจากชีววิทยา สำหรับคนบางคนเท่านั้น
พวกเราต้องเริ่มที่จะฟังเสียงของสัญญาณเหล่านั้น เพราะว่าพวกมันกำลังบอกอะไรบางอย่างกับพวกเรา บางอย่างที่สำคัญมากๆต่อชีวิตพวกเราที่พวกเราควรจะฟังมัน มันเป็นตอนที่พวกตั้งใจฟังเสียงของพวกมันจริงๆเท่านั้น และเราต้องให้เกียรติและให้ความเคารพต่อสัญญาณเหล่านี้ด้วย เราถึงจะได้เห็นอิสระ สิ่งที่หล่อเลี้ยง และการแก้ไขปัญาหาที่ลึกขึ้น พวกวัวเหล่านั้นที่มันกำลังรอคอยเราอยู่
ขอบคุณครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in