เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
TranslationHaisy_WM
Why I’m glad that I’m an ‘overthinker’ - Annalisa Barbieri
  • Original Source:

    ไม่อนุญาติให้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์นะคะ หากใครจะเอาผลงานแปลเราไปอ้างอิงหรือแชร์อะไรได้โปรดให้เครดิตด้วยค่ะ
    TH Trans: Haisy_WM

    ฉันจำได้ว่า ครั้งแรกที่ฉันถูกบอกว่าอย่าไปคิดอะไรมากเลย มันเป็นตอนที่ฉันจะให้นมลูก “ไม่ต้องคิดไรมาก” เพื่อนฉันพูด “แค่ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ”
    แต่การกระทำอะไรแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำ เพราะฉันต้องคอยเข้าใจทุกอย่างที่ฉันจะทำก่อนเสมอ เมื่อมีคนพูดประมาณว่า “ใครจะไปสามารถเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ XYZ?” หรือใครจะไปคาดเดาผลลัพธ์ล่วงหน้าได้ และฉันก็มักจะตอบพวกเขาเสมอว่า “ฉันสามารถทำได้” ฉันเพิ่งตระหนักได้ว่าสำหรับคนอื่นแล้ว ฉันเป็นคิดมาก แต่สำหรับฉัน คนอื่นเป็นคนคิดน้อย


    แน่ล่ะ ว่าไม่ต้องเป็นคนฉลาดก็รู้ได้ว่าฉันน่ะเป็นคิดมากตั้งแต่เด็ก ฉันรักเรื่องวุ่นๆและเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ในวัยเด็ก มื้อเย็นมักจะถูกเสิร์ฟในเวลาเดิมเสมอและมันก็อร่อยเสมอ ทั้งพ่อและแม่ฉันต่งก็คอยอยู่กับฉันมาตลอด ฉันโตมาในที่บ้านที่ไม่ได้พูดคุยอะไรเกี่ยวกับอารมณ์เลย จะโมโห จะอาละวาด หรืออยู่ดีๆก็เงียบ มันมักจะเกิดขึ้นอยู่แบบนี้ และฉันก็ต้องคอยสังเกตเองตลอดว่า ถ้าเงียบแบบนี้ แสดงว่าฉันคงทำอะไรผิดไป 


    บางครั้งฉันก็ตอบคำถามก่อนที่ลูกๆฉันจะถามฉันเสียอีก และนั่นก็ทำให้พวกเขาคิดว่าฉันมีพลังวิเศษ


    ฉันกลายเป็นคนช่างสังเกตไปตามธรรมชาติ สามารถสังเกตอุณหภูมิห้อง หรือแม้แต่กระทั่งสังเกตการเคลื่อนไหวเล็กๆจากผู้คน ฟังทั้งภาษาและน้ำเสียงของพวกเขา และมันก็กลายเป็นธรรมชาติของฉันไปแล้ว


    บางครั้ง อย่างเช่นวันนี้ ทั้งลูกๆและสามีฉัน ต่างคิดว่าฉันเป็นพวกอ่านใจคนได้ และแน่นอนว่าฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉันแค่สังเกตจากที่คนพูด สังเกตว่าอะไรเกิดขึ้น และฉันก็คิดมากว่าพวกเขาจะทำอะไรหรือพูดอะไรออกมา เพราะฉะนั้น บางครั้งฉันก็เลยตอบคำถามคนอื่นก่อนที่พวกเขาจะถามฉันเสียอีก และนั่นก็ทำให้ทุกคนคิดว่าฉันมีพลังวิเศษ


    มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกันมาก แต่ฉันเคยเข้าร่วมโรงเรียนทหารมาก่อน มันเป็นที่ๆคุณจะต้องใช้สมองคิดอย่างมากสำหรับภารกิจที่ง่ายที่สุดแต่มันมักจะมีกับดักอยู่ทุกที่ “สร้างสะพานโดยใช้อิฐ 120 แท่ง?” แน่นอนล่ะ ว่าต้องนับก้อนอิฐก่อนเผื่อพวกเขาไมไ่ด้ให้มันครบจำนวน ใจความหลัก: คอยหมั่นตรวจพื้นฐานอยู่เสมอ ในตอนที่ฉันกำลังทำข้อสอบอยู่ จะต้องมีใครบางคนเดินมาส่งข้อความให้กับผู้คุมสอบ และหลังจากนั้นคุณก็จะต้องอธิบายลักษณะของคนๆนั้นในขณะที่คุณกำลังให้ความสนใจกับสิ่งอื่นอยู่ 
    ใจความหลักในที่นี้คือ อย่าประมาท ครั้งหนึ่งฉันเคยทำให้ผู้ตรวจข้อสอบตกใจโดยการที่ฉันอธิบายลักษณะของคนๆนั้นด้วยรายละเอียด และเขาก็กลับหน้ากระดาษ A4 และเขียนโน้ต (มันช่วยฉันเพราะฉันแอบชอบผู้ชายคนนั้นอยู่พอดี ฉันเคยสังเกตเขาอยู่หลายชั่วโมง แต่บางครั้งฉันก็จดรายละเอียดของคนอื่นในสมองฉัน) 


    วันทำงานของฉันในฐานะผู้คิดมากที่ทรมาน ณ เดอะ กาเดียน คิือสิ่งสำคัญและจำเป็น มีครั้งหนึ่งฉันเคยได้รับการบ่น และฉันถูกเรียกเข้าพบในห้องออฟฟิศของอิดิทเตอร์ และถูกถามให้โชว์งานต่างๆของฉัน เพราะฉันสามารถคาดเดาถึงปัญหาได้ ฉันถึงได้โชว์โน้ตต่างๆของฉันในหลายๆหน้าให้เขาได้ดู และเขาพูดว่า “โอ้ ฉันเข้าใจแล้วล่ะ”


    แน่ล่ะ มันต้องเป็นอะไรที่เหนื่อยล้ามากแน่ๆ ฉันไม่ได้ตระหนักหรอกว่าวันหนึ่งจะมีใครมาถามว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ (ราวกับเด็ก ฉันเคยเป็นนักช่างฝัน) เพราะฉันเป็นคนเงียบๆ ฉันผ่านการคิดต่างๆภายในหนึ่งนาทีและฉันก็ตอบเขา คนพวกนั้นต่างหน้าซีดและพูดกับฉันว่า “ท่ีคิดทั้งหมดนั่น ใช้เวลาแค่ 60 วิ เองเหรอเนี่ย?”


    ฉันจะต้องระวังเป็นพิเศษอย่างมากที่จะให้ตัวเองพักจากเรื่องพวกนี้บ้าง เพราะอาการเหนื่อยล้ามันไม่ใช่เรื่องไกลตัว และฉันจะต้องระวังตัวที่จะไปคิดแทนคนอื่น หรือเอาความทรงจำคนอื่นเข้ามาในสมองฉัน เพราะว่าอารมณ์ทั้งหมด และขั้นตอนการทำงานของมัน มันมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีอยู่ในนั้น การเป็นคนคิดมากสามารถนำไปสู่แง่ลบได้ เพราะมันอาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวล ฉันได้ปรึกษากับ ซูซานน่า แอบส์ (Susanna Abse) นักจิตวิเคราะห์ ที่ฉันถามเธอถึงความแตกต่างระหว่างคิดมากกับวิตกกังวล
    “การย้ำคิดย้ำทำ และการทบทวน มันเป็นเรื่องแตกต่างกัน” เธอกล่าว “มันขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังคิดซ้ำไปซ้ำมา (โดยที่หาทางแก้ปัญหาไม่ได้) หรือคุณสามารถหาประโยชน์หรือเรียนรู้อะไรบางอย่างได้จากการกระทำนี้” แอบส์ยังพูดอีกว่า “การเป็นนักคิด ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป แต่การที่ครุ่นคิดและมันไม่ได้พาไปไหนเลย นั่นแหละเป็นปัญหา และมันเป็นสัญญาณของอาการวิตกกังวล
    ความแตกต่างก็คือ การที่โดนครอบงำ แต่ไม่มีพลัง และการคิดมากมันจะนำไปสู่คำตอบ อย่างแรกมันไม่ได้ดีต่อตัวคุณเลย และถ้าหากคุณเป็นแบบนี้ล่ะก็ (ฉันก็เคยเป็นเมื่อก่อน) ในภายหลัง คุณอาจจะต้องหาสาเหตุที่ทำให้คุณวิตกกังวล ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนคิดมาก แต่มันสามารถใช้เวลานานระดับหนึ่งที่จะหาว่าอะไรทำให้คุณวิตกกังวล ฉันจินตนาการว่าตัวเองกำลังไขปัญหาสำหรับต้นตอ และฉันก็รู้วิธีที่จะไขมันเพราะว่าฉันรู้สึกไม่ดีและรู้สึกถูกคุกตามจากมัน คุณก็ลองทำมันได้เหมือนกันด้วยตัวเอง หรือจะเชื่อใจเพื่อนตัวเองที่พวกเขาจะถามคุณว่า “แล้วอะไรอีกล่ะ?” เพื่อที่จะช่วยเหลือคุณ อีกคำถามที่เป็นประโยชน์ต่อคุณก็คือ “รากปัญหา”: มันคือสิ่งที่คำให้คุณรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า? สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ฉันมักจะรู้สึกดีและผ่อนคลายอยู่เสมอเวลาฉันได้อยู่กับคนที่คิดมาก  ในทางตรงกันข้าม ฉันมักจะรู้สึกเหนื่อยล้า และ “ไม่ปลอดภัย” เลยเวลาที่ต้องอยู่กับคนไม่คิดมาก


    ถ้าคุณเป็นคนคิดมากล่ะก็ พยายามอย่าไปเที่ยวกับคนที่ไม่คิดมาก ไม่งั้นคุณจะต้องคิดแทนพวกเขาสำหรับทุกเรื่อง


    ทิปแรกของฉันก็คือ: ถ้าคุณเป็นคนคิดมากล่ะก็ พยายามอย่าไปเที่ยวกับคนที่ไม่คิดมาก ไม่งั้นคุณจะต้องคิดแทนพวกเขาสำหรับทุกเรื่อง ฉันเป็นคนชอบไปเที่ยวคนเดียว และฉันพยายามจะไม่ไปเที่ยวกับคนที่ไม่คิดมาก เพราะว่าไม่อย่างนั้นล่ะก็ มันจะให้ความรู้สึกว่าฉันกำลังไปทัศนศึกษาที่โรงเรียนแน่ๆ บางครั้งความวิตกกังวลก็เป็นผลต่อคนคิดมากเหมือนกัน เพราะว่าคุณมักจะคิดแล้วคิดอีก และวางแผนสำหรับทุกอย่าง แต่บางครั้งมันก็ยังมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น และคุณจะต้องคิดให้มากขึ้นกว่า คุณจะรู้ว่าคุณจะต้องถอยหลังออกมาและหยุดพักสักหน่อย เพราะว่าเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ฉันมักจะตรวจเช็กตัวเอง (ฉันคิดว่า เทคนิคการปรับเปลียนความคิดและพฤติกรรม หรือ CBT เป็นประโยชน์ต่อตัวฉันอย่างมาก) 


    ในการใช้ชีวิตของฉัน ฉันรักที่ตัวเองเป็นคนคิดมาก และฉันก็โอบกอดทุกอย่างที่เข้ามาในขชีวิตฉัน มันเป็นรางวัลทางจิตใจ ที่ฉันได้สู้กับมันและฉันเอาชนะมันมาได้แล้ว แต่ถ้าในบางครั้งมันมีอะไรผิดพลาดไป ฉันอยากให้ทุกคนลองทำตามทิปนี้ เพราะฉันคิดว่ามันเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน การที่ให้ความสนใจอยู่กับเรื่องเดียวก็เป็นเรื่องที่ยากพออยู่แล้ว 


    1) โยคะ: มันใช้เวลาประมาณ 10 นาที ที่จะทำมัน ฉันเคยเกลียดโยคะ และหลายๆคนก็มักจะแนะนำฉันให้ฉันทำมัน ยกขาแค่หนึ่งข้าง มันเป็นอะไรที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในครั้งแรกที่ทำ แต่ถ้าคุณทำมันสำเร็จล่ะก็ มันจะช่วยทำให้สมองคุณปลอดโปล่ง และการหายใจคุณก็จะช่วยเรื่องสมดุลระหว่างอารมณ์และตรรกะในสมอง


    2) ฉันได้เรียนรู้มาว่า การพยายามที่จะไม่ “ทำให้สมองคุณไม่คิดอะไร” ไม่ได้ประโยชน์อะไร และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น แทนที่จะเป็นอย่างนั้น สมองคุณจะยิ่งให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณพยายามจะไม่สนใจมันมากขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น พยายามนับถอยหลังให้ถึง 3 จาก 100 การมองนอกหน้าต่าง (ถ้าคุณไม่ใช่คนขับรถ) หรือการนั่งบนรถไฟเป็นอะไรที่ช่วยเยียวยาจิตใจได้ดีอย่างมาก และมันช่วยให้สมองคุณโล่งได้


    3) การทำกิจกรรมอะไรที่มันซ้ำๆคือเพื่อนของคุณ: นี่มันคิอเหตุผลที่ว่าทำไม การวิ่ง ถึงกลายเป็นเพื่อนซี้ของคนที่คิดมาก การถักก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน มันเป็นกิจกรรมที่คุณไม่ต้องคิดอะไร (แต่การถักแบบแฟร์ไอล์ และ การถักแบบสี่เข็ม) แต่มันเป็นอะไรที่ซึมซับ ถ้าฉันไม่มีอะไรอยู่ในมือ ฉันก็จะฟังเพลงและขยับตัวไปกับจังหวะดนตรี (แนวเพลง ยุค 1990s คือสไตล์ฉันเลย)  มันเป็นการผ่อนคลายที่สุดยอดมาก และมันทำให้คลื่นสมองของฉันได้พักผ่อนไปด้วย


    4) ถ้าคุณเริ่มที่จะรับอะไรไม่ไหว ให้คุณหยุดคิดอะไร และปล่อยใจให้สบายไปประมาณ ​5 นาที และถามตัวเองว่า “ฉันกำลังต้องการอะไรอยู่ในตอนนี้?” หลังจากนั้นก็ให้ความสนใจกับสิ่งนั้น การนอนลงกับพื้นก็เป็นอะไรที่มีประโยชน์เหมือนกัน “ฉันกำลังได้ยินอะไรอยู่? ฉันกำลังมองเห็นอะไรอยู่?” มันจะช่วยให้คุณได้ออกมาจากความยุ่งเหยิงของโลกใบนี้


    5) การคิดมากมันสามารถหลั่งอดรีนาลีน เพราะฉะนั้นมันเป็นอะไรที่มีประโยชน์มากๆ ที่คุณจะเตรียมการเล็กๆน้อยๆที่จะปล่อยสารนั้นออกมา แต่มันต้องไม่เป็นอะไรที่ผาดโผนอย่างกระโดดบันจี้จัมพ์ เพราะมันจะมากเกินไปสำหรับคนคิดมาก


    ทิปสุดท้ายที่ฉันจะฝากทิ้งไว้ก็คือ: การอาบน้ำเย็น ค่อยๆเริ่มที่จะลองอาบน้ำเย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศา การอาบน้ำเย็นมันมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ แต่แค่สามนาทีนั้นที่ฉันได้อาบน้ำเย็นนั้น ฉันไม่ได้นึกถึงอะไร มันคือสวรรค์ 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in