Title: Rain drop
Author: tomei
Category: Angst , BL
Pairing: Ming/Yan
Rating: Mature
Spoilers: Infernal Affairs movie
Author note: แต่งเพราะไม่มีฟิคอ่านค่ะ ; w ; )
Summary: ถ้าจบอย่างแฮปปี้เอนด์ก็ดีสินะ
-----------------------------------------------------------
คุณมองผีเสื้อครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ก่อนที่โลกของคุณจะพลันมืดลง
กรุ่นกลิ่นดอกไม้ เสียงเพลงที่ขับขาน ความเย็นฉ่ำชื่นของสายฝน
ทั้งหมด .... ผมนำคืนมาให้คุณได้นะ
"กล่องสุดท้ายแล้วล่ะ ขอบคุณทุกคนมากที่มาช่วย"
นายตำรวจหยั่นกล่าวกับเพื่อนผองพี่น้องร่วมอาชีพ ที่เข้ามาช่วยขนข้าวของย้ายเข้าห้องใหม่ หลังจากคดีของแซมสิ้นสุดลง เมื่อเรื่องนี้จบ อายุงานการเป็นสปายอันแสนยาวนานก็ปิดฉากลงด้วย ผู้ชายซึ่งมีใบหน้าซูบตอบแลดูอ่อนน้อมคนนั้นกล่าวต่อ
"ไหนๆก็ไหนๆ ให้ฉันพาทุกคนไปเลี้ยงข้าวสักมื้อก่อนกลับไหม"
สิ้นคำเชิญชวนที่นุ่มนวล เสียงไชโยก็ดังขึ้นคับห้องแคบๆของแฟลชตำรวจ ให้ผู้กองหมิงซึ่งก็มาช่วยงานด้วย ยืนมองดูฝ่ายนั้นยิ้มและหัวเราะอย่างสดใสอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ห้อมล้อมจากที่ไกลๆ ช่างเป็นสถานการณ์ที่คุ้นตาและพาให้สะท้านในอกทุกครั้ง
ลู่คินหมิงนึกย้อนไปยังสมัยที่ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนตำรวจ ... ชางหวินหยั่น ผู้ชายซึ่งได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในรุ่น ความหวังของวงการ ผู้ซึ่งสามารถทำให้ตัวเองกลายเป็นที่รักได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเสกสรรปั้นหน้าเช่นเขา
"ผู้กองหมิง เป็นอะไรไปหรือเปล่า"
จู่ๆเจ้าของห้องก็ยื่นหน้าเข้ามาจ้องใกล้ ทำเอาผู้ที่กำลังเหม่อถึงกับสะดุ้งจนเกือบร้องออกมา ดวงตาสีดำเจือโศกคู่นั้นยังคงมองมาทางผู้กองหนุ่มคล้ายวิเคราะห์ จากนั้นก็ค่อยๆยิ้มให้อย่างชวนมอง "สงสัยผมใช้งานคุณเยอะไปสินะถึงหิวจนค้างไปเลย ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะ"
"ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย"
คนมาช่วยงานรีบบอกปฏิเสธ แต่มือของเจ้าของห้องก็คว้าหมับจับเข้าที่ข้อมือลู่คินหมิงไว้ พร้อมกับกึ่งลากกึ่งจูงไปยังด้านนอกพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใส พอรู้ตัวอีกที ตัวเขาก็เปลี่ยนจากการเฝ้ามองอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ เป็นก้าวเดินเคียงข้างท่ามกลางวงล้อมของผู้คนมากมายเสียแล้ว
"ว่าไปก็อยากฟังเรื่องราวของคุณตอนอยู่ในกลุ่มของแซม แต่คนเยอะขนาดนี้คงจะเสียงดังแย่งกันพูดมากกว่า"
ผู้กองหมิงกล่าวเป็นการเริ่มต้นในการหาเหตุการณ์ในการนัดเจออย่างไพรเวท แต่แค่พูดแค่นี้ทุกคนก็ต่างแซวและโวยวายว่าในทำนองไม่มีใครแย่งพูดสักหน่อยกันระงม เป็นที่ให้ถกเถียงต่อปากต่อคำกันอย่างสนุกสนาน สักพักมือที่อบอุ่นของชางหวินหยั่นย้ายเข้ามาจับหัวไหล่คนข้างกายอย่างสนิทสนม
"ปล่อยพวกนี้ไป เดี๋ยวกินข้าวเสร็จเราไปหาอะไรดื่มลำพังกันสองคน"
สิ้นเสียงกระซิบที่บรรจงป้อนผ่านใบหู ดวงตาเรียวก็หันไปมองคนข้างกาย ร่างนั้นผละห่างแล้วหันไปยิ้มแย้มพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นๆเช่นปกติ มันดูไร้จุดประสงค์ใดเจืออยู่ในบทสนทนาเช่นที่เขากำลังคิดอยู่ ผู้กองหนุ่มได้แต่ลูบอกที่กำลังสั่นไหวให้สงบ คงเพราะตัวเองนั้นสกปรกเกินกว่าจะคิดอะไรที่บริสุทธิ์ได้
แต่ช่างเถอะ...มันจบแล้ว
ในที่สุดผมสามารถเดินเคียงข้างคุณ
ภายใต้แสงอาทิตย์นี้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
"ผู้กองหมิง..."
เสียงของคนที่แอบชื่นชมมาเนิ่นนานกำลังสั่นพร่าเจือไปกับเสียงหอบคราง ชื่อนั้น...เป็นของเขา ลู่คินหมิงปรือตามองภายในความมืดสลัวของห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยกล่องข้าวของที่เพิ่งขนย้ายเข้ามา หัวที่มึนตื้อจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์พาให้คิดอะไรไม่ออก มันน่าจะทรมานและรวดร้าว แต่เขากลับรู้สึกดื่มด่ำและเปี่ยมสุขกับบางสิ่งอันอุ่นร้อนซึ่งกำลังเสียดสีอยู่ด้านล่าง
"คุณหยั่น... ?"
นายตำรวจมองอดีตมาเฟียที่กำลังเปลือยเปล่าอยู่ใต้ร่างด้วยสติที่กึ่งหลับกึ่งตื่น นี่อาจเป็นฝันลามกที่เคยฝันอยู่บ่อยครั้ง ภาพที่อีกฝ่ายจะยอมอ้าเรียวขา เปิดให้โอกาสให้เขาได้กระแทกกระทั้นกายแรงๆเข้าไป เพียงแต่คืนนี้มันช่างสมจริงกว่าเคย แถมฝ่ายนั้นเองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างกระตือรือล้น
ลู่คินหมิงจำได้แค่ว่าเขาดื่มกับอีกคนจนเมามาก ก่อนจะพากันโบกรถแท็กซี่กลับท่ามกลางสายฝนที่ค่อยๆตกลงมา เมื่อมาถึงห้องของชางหวินหยั่น เขาสองคนก็รีบถอดเสื้อผ้าเปียกแฉะ แล้วพยายามลื้อกล่องที่ตั้งอยู่ระเกะระกะเพื่อหาเสื้อมาเปลี่ยน แต่ก็ไม่เจอแม้แต่ผ้าเช็ดชามสักผืน
"...ผมหนาว"
ร่างด้านใต้ครวญหาความอบอุ่นพลางเคลื่อนสะโพกเร่งเร้าแก่นกายร้อน ก่อนส่งลิ้นอุ่นมาตวัดเลียในโพรงปากอย่างออดอ้อน เพียงแค่นี้สติของผู้กองหนุ่มก็กระเจิดกระเจิงจนไม่สามารถทบทวนเรื่องราวก่อนหน้าได้อีก
จังหวะที่เร้าร้อนมากขึ้นจนต้องหอบหายใจนี่ดูจะเริ่มห่างไกลความฝัน และเริ่มเด่นชัดขึ้นเมื่อคนในอ้อมกอดเริ่มถอยทั้งใบหน้าซีดเผือด เสียงเรียกชื่อฟังชัดเจนต่างกันออกไป
"ผู้กอง ?"
และนั่นทำให้ผู้ฟังเริ่มรู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดอยู่คือเรื่องจริง แต่ในขณะที่ฝ่ายนั้นกำลังจะหนีจากผู้ที่คร่อมกายอยู่ก็ตัดสินใจลุกล้ำดันกายที่เต็มไปด้วยความต้องการกลับเข้าไปอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพที่อีกฝ่ายกำลังบิดกายอย่างทรมานและสุขสมช่างกระตุ้นสัญชาตญาณดิบที่พุ่งสูงขึ้นอย่างเร็ว
"แต่...ผมอยากกอดคุณอย่างคนรักมากกว่า..."
เสียงสั่นเครือเรียกให้มืออุ่นของชางหวินหยั่น เข้ามาปาดน้ำตาที่ไหลลงมาจากใบหน้าคมเข้มให้ ฝ่ายนั้นเม้มปาก กลอกตาขึ้นด้านบนเหมือนคิดอะไรอยู่ ก่อนจะโอบกอดอีกฝ่ายกลับและลูบไปตามแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบประโลม
"เอาสิ ผมก็ไม่ชอบวันไนท์แสตนด์เท่าไหร่"
แค่คำอนุญาตนั้น ... ปมที่ถักทออยู่ในอกก็คลายลง
ท่ามกลางแสงไฟที่มืดสลัว พายุข้างนอกเริ่มโหมพัดแรงขึ้น เสียงลมดังจนไม่สามารถจำสิ่งใดได้ รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว ลู่คินหมิงเริ่มสร่างเมา เขานั่งขัดสมาธิมองร่างที่หลับอยู่บนพื้นข้างกายตัวเองกับร่องรอยมากมาย ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อทำอะไรง่ายๆให้อีกฝ่ายทาน และก็ไม่มีตัวเลือกไหนง่ายไปกว่าการต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
"ทำอาหารเช้าอยู่เหรอคนดี ... กลิ่นหอมจัง"
เจ้าของห้องเข้ามาสวมกอดโอบเอวเปลือยเปล่าจากด้านหลัง พร้อมกับก้มดอมดมผิวกายที่ซอกคอ คำว่าคนดีที่ออกเสียงอย่างน่ารักน่าชังนั่นสร้างความขัดเขินให้คนฟังไม่น้อย ชางหวินหยั่นวางคางที่ประดับด้วยไรหนวดบนไหล่อีกฝ่ายเพื่อชะโงกดูว่ากำลังทำอะไร แต่ขนบนหน้านั่นมันพาให้ผู้ที่กำลังต้นบะหมี่อยู่จั๊กจี้จนหดไหล่
"เห ? นี่คุณบ้าจี้อย่างนั้นเหรอ"
"ไม่ๆ คุณคิดไปเอง"
"อย่างนี้ต้องลองพิสูจน์ดูว่าคิดไปเองหรือเปล่า"
"อย่าสิ ไม่เล่นนน"
ผู้กองหมิงถึงกับสละมือจากอาหารแล้ววิ่งหนีพร้อมเสียงหัวเราะ แต่อีกคนก็ยังขยับทำมือขยำๆวิ่งตามไล่จับอย่างขบขัน
ผมอยากเป็นคนดี
เพราะผมรู้ ว่านั่นเป็นสเปคของคุณ
"ผมอุตส่าห์เสี่ยงตายทำงานเป็นสายมาตั้งหลายปี แต่สุดท้ายให้มาทำงานธุรการแบบนี้เนี่ยนะ ผู้กำกับหยางนี่น่าเตะชะมัด"
อดีตสปายจากกรมตำรวจกล่าวอย่างฉุนเฉียวพร้อมนั่งกระแทกเก้าอี้นวม ผู้กองหมิงได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจขณะมาเอาเครื่องแบบใหม่ที่ทางการตัดให้จากห้องแผนกธุรการอันกว้างใหญ่ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ชางหวินหยั่นนั่งอยู่คนเดียว
"เขาแค่อยากให้คุณได้มีเวลาพักผ่อนบ้างเท่านั้น ลุยมาตั้งหลายปี นี่คุณก็แค่รอยศสักเดือนแล้วค่อยกลับไปทำงานเต็มตัว แต่ถ้าคุณอยากจะไปเตะเขาให้ได้ก็อย่าลืมเรียกผมไปด้วยแล้วกัน"
ลู่คินหมิงกล่าวเจือขำ ทำให้คนฟังส่ายหน้าพร้อมอมยิ้ม ก่อนจะกล่าวขึ้นเหมือนนึกขึ้นมาได้
"เอาเถอะพักก็พัก ว่าแต่เย็นนี้คุณว่างใช่ไหม เราไปหาซื้อเครื่องเสียงกันเถอะ"
"เครื่องเตียง ?"
"เครื่องเสียง"
เจ้าหน้าที่หยั่นกล่าวเน้นคำชัด พร้อมกับเอาปลายเท้าสะกิดหน้าแข้งอีกฝ่ายเป็นรหัสมอส ทำเอาคนที่เมื่อครู่หัวเราะเพราะแซวอีกฝ่ายได้ ต้องกำมือกระแอมหน้าแดงเรื่อ มันก็จริงอยู่ที่ว่าเตียงคงไม่ค่อยจำเป็นสำหรับเขาสองคนเท่าไหร่
"ผมถามถึงแฟนคนก่อนๆคุณได้ไหมอาหมิง ผมแค่อยากรู้ไว้ ว่าอย่างไหนไม่ใช่สเปคคุณ จะได้ไม่ทำ"
"อา อันที่จริงผมเคยคบอยู่แค่คนเดียวเอง"
"หืม ? จริงสิ คุณหน้าตาหล่อเหลาอนาคตไกล นึกว่าน่าจะเปลี่ยนคู่เป็นว่าเล่น"
"ฮะฮะ ไม่หรอก คุณดูตรงไหนว่าผมจะเปลี่ยนแฟนบ่อยขนาดนั้น"
ผู้กองหนุ่มยิ้มพลางเอามือโบกปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้หนีมือของคนรักที่กำลังจับคางของตัวเองอยู่ ชางหวินหยั่นดูจะมีความสุขกับการพินิจใบหน้านี้
"ดูที่เอวดีมั้ง แล้วคนเดียวคนนั้น ทำไมคุณถึงเลิกกับเขา"
"... เธอเสียชีวิตน่ะ ต่อหน้าผม"
ลู่คินหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่สร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากใจ แต่เพราะน้ำเสียงและแววตาที่แม้จะเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย คนมองด็รู้ว่าผู้พูดกำลังฝืนและเจ็บปวดอยู่ จึงวางมือลงบนแผ่นแก้มตรงหน้าเพื่อปลอบประโลม
"ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะไม่จากคุณไปแบบนั้น"
ริมฝีปากอุ่นลงประทับเหมือนเป็นสัญญา เป็นจูบเบาๆที่พาให้หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด มือนั้นลูบหัวที่ปกคลุมด้วยผมรองทรงสูงของลู่คินหมิงซ้ำไปซ้ำมาเหมือนปลอบหมาตัวใหญ่
การคบหายังคงเป็นความลับ เพราะมันเป็นเรื่องที่สังคมยังไม่ยอมรับ ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องระวังให้อยู่ในขอบข่ายของเพื่อนสนิท อันที่จริงมันก็ไม่ยากนักสำหรับเขาสองคน เพียงแต่บางครั้งก็นึกอิจฉากคนที่สามารถแสดงออกทางความรักอย่างเต็มที่ในที่สาธารณะได้เหมือนกัน
"อยากเดินจับมือคุณโดยไม่แคร์สายตาใครจังเลยนะ"
วันหนึ่งผู้กองหมิงก็เปรยขึ้นมาเมื่อเห็นคู่รักหนุ่มสาวกำลังเดินจับมือประสานกันอย่างมีความสุข ดวงตาเรียวที่ดูเด็ดเดี่ยวหมองลงจนคนมองรู้สึกเจ็บปวด ชางหวินหยั่นเลิกคิ้วถามอย่างอยากได้คำตอบ
"มันจำเป็นขนาดนั้น ?"
"ผมแค่เบื่อเรื่องหลบๆซ่อนๆน่ะ"
"ผมเข้าใจ ...อันที่จริงมันก็ทำได้ แต่คุณจะใช้วิธีผมไหมล่ะ"
"หืม ? ยังไง ?"
ไม่ทันได้ถามจบดี กุญแจมือก็หล่นเข้ามายังข้อมือข้างหนึ่ง ผู้กองหนุ่มร้องเฮ้ยเบาพร้อมมองคนหัวดีข้างกายสับอีกด้านเข้ากับตัวเขาเอง ก่อนจะติดป้ายตำรวจบนอก
"เหมือนผู้ร้ายที่ถูกตำรวจจับแบบนี้ คนในสังคมคงไม่ตั้งคำถามแล้วมั้งถ้าเราจะจับมือกัน"
"แล้วถ้าเจอเพื่อนล่ะ ?"
"ก็บอกว่าเราเล่นพนันกันแล้วเผลอทำกุญแจหายสิ"
เจ้าหน้าที่หยั่นบอกพลางเอาเสื้อมาคลุมมือที่เข้ากุมอีกฝ่ายไว้ คู่สนทนาที่มองพฤติกรรมอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ก็ค่อยๆก้มหน้าคลี่ยิ้มกว้างออกมาก่อนกล่าวเจือขำ แล้วกุมมือนั้นกลับ
"ยอมแพ้เลย คิดได้ยังไงมุกนี้"
"ก็ผมเป็นตำรวจนี่"
ปัง
ยามเมื่อเสียงปืนดังขึ้น นั่นหมายถึงคมเขี้ยวของมัจจุราชได้เข้ามาเกี่ยวกระชากวิญญาณของใครสักคน ผู้กองหมิงหันมองคนข้างกายที่ค่อยๆทรุดตัวลงพื้นพร้อมกับรอยกระสุนบนหน้าผาก เขาจะตามคนร้ายไปแต่เพราะกุญแจมือที่คล้องเขาทั้งคู่อยู่ทำให้ไม่สามารถตามไปได้
ความสุข มีชื่อเล่นอีกอย่างว่าภาพฝัน
ทำไม
....
ทั้งที่ทุกสิ่งในโลกต่างสว่างไสวเช่นนี้
ดวงตาของคุณกลับเลือกที่จะเจอกับกุญแจ ซึ่งนำพาไปสู่อนาคตอันมืดมิด
"มาค่ะคุณหมิง วันนี้นั่งพักที่ตรงนี้ดูเพื่อนๆเล่นบอลเนอะคะ"
พบาบาลสาวเข็นรถเข็นซึ่งมีชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลานั่งอยู่ ให้ไปพักตรงพื้นหญ้าข้างสนาม ดวงตานั้นเหม่อลอยไม่สนใจผู้พูดทำเพียงแต่มองไปยังฟ้ากว้าง เธอเองก็ไม่ใส่ใจกับการไร้การตอบสนองนั้น เนื่องจากคนไข้ที่ส่งมาโรงพยาบาลนี้ล้วนแต่ไม่ปกติทางด้านจิตใจ และคนไข้ผู้ซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจอนาคตไกลคนนี้ก็เช่นกัน
"คุณพยาบาลคะ ผอ.เรียกพบด่วนน่ะค่ะ"
ผู้ช่วยพยาบาลวิ่งมาทางเธอ เธอมองซ้ายขวาระหว่างอดีตผู้กองหมิงกับห้องผู้อำนวยการที่ต้องไป เมื่อประเมินว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งเพิกเฉยต่อโลก ไม่สามารถออกเสียงหรือเดินได้คงจะไม่สามารถหนีไปจากโรงพยาบาลที่แน่นหนาแห่งนี้ได้ภายในสิบนาที เธอก็ตัดสินใจตามผู้ช่วยพยาบาลไป
อดีตนายตำรวจนั่งเหม่อมองฟ้า ก่อนจะเคาะนิ้วเบาๆเป็นรหัสมอสเพื่อเรียกใครคนหนึ่ง เรียกหาเสมอ ... แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่เคยมาเลย จนกระทั่งในวันนี้
ร่างของชายหนุ่มผู้ที่มักวางท่าและแต่งกายตามสบายคล้ายกับพร้อมอยู่บ้านตลอดเวลา กำลังเดินมาทางผู้ที่นั่งอยู่อย่างช้าๆ กรอบหน้าซึ่งประกอบด้วยหนวดเคราบาง และเส้นผมสีดำยุ่งกำลังลู่ไปกับสายลม ขับเน้นดวงตาที่ดูแฝงประกายเศร้าให้เด่นชัด
"ผู้กองหมิง ... "
น้ำเสียงที่เรียกชื่อนั้นสลักลึกไว้ในความทรงจำ ดั่งเทปที่ไม่มีวันถูกทำลาย ผู้ที่นั่งอยู่ขยับริมฝีปากเรียกกลับ แต่มันไร้เสียงใดออกมา ชางหวินหยั่นจึงพูดต่อ
"คุณพูดไม่ได้เพราะยิงตัวเองในวันนั้นสินะ ว่าแต่...ว่างไปเดินเล่นกับผมหน่อยไหม"
เงาร่างนั้นดูโปร่งใสมากกว่าคนทั่วไป แต่อดีตผู้กองก็ตัดสินใจที่จะลุกเดินตามคำเชิญนั้น
ลู่คินหมิงก้าวเดินช้าตามอีกฝ่ายไปพร้อมกับความทรงจำที่สับสน ถึงแม้ไม่แน่ใจว่าสิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือหลอกลวง เขาก็พร้อมเดินตามเงาร่างที่เคยเฝ้ามอง เคยโอบกอดแม้จะแค่ในความฝัน แต่ร่างกายที่ไม่ได้เดินมานานนับสิบเดือนยากจะทำตามใจนึก ระยะห่างระหว่างเขาสองคนเริ่มเพิ่มมากขึ้น
...นี่สินะ ความเป็นจริง...
"คุณเนี่ยนะ"
เจ้าหน้าที่หยั่นเดินกลับมาจับมืออีกฝ่าย เพื่อเดินไปท่ามกลางผู้ป่วยในโรงพยาบาล คนเหล่านั้นต่างส่งยิ้มให้ อดีตนายตำรวจมองมืออันบอบบางแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุข ก่อนขยับนิ้วเคาะเป็นรหัสสื่อสารเบา
"ผมก็เหมือนกัน พอไม่มีคุณอยู่ที่ไหนก็ดูจะเป็นนรกที่ไร้กาลเวลาเสียหมด แต่ถ้าคุณจะไม่ไปกับผม ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ"
ลู่คินหมิงยิ้มก่อนจะประสานมือกับอีกฝ่ายแน่นขึ้น คนข้างกายส่งยิ้มให้แล้วฮัมเพลงเบาๆในคอ เพลงที่ทั้งสองคนเคยนั่งฟังร่วมกันในกาลก่อน หนองน้ำกว้างที่เดินไปหา พาให้นึกถึงคืนที่เราสองคนเปียกฝนไปทั้งตัว แล้วทุกสิ่งรอบกายก็ค่อยๆเงียบลงพร้อมกับรอยจูบที่แสนคิดถึง
เวลาสำหรับผมบนโลกนี้เคยหยุดลง
เมื่อไม่มีคุณ สีสันทุกอย่างพลันหาย
และพอเจอคุณ ทุกอย่างมันกลับเริ่มใหม่อีกครั้ง แม้ดูเหมือนเป็นจุดจบก็ตาม
.......................................
end
เป็นใครนะที่กำลังเคาะหน้าต่างฉัน เป็นใครกันที่กำลังดีดรัวเครื่องสาย
ช่วงเวลานั้นเวลาที่ถูกลืมเลือน กลับคืนสู่ส่วนลึกในใจฉันเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ
เป็นใครนะที่กำลังเคาะหน้าต่างฉัน เป็นใครกันที่กำลังดีดรัวเครื่องสาย
ภาพแห่งความสุขนั้นในความทรงจำ ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในจิตใจฉันอย่างช้า ๆ
ฝนตกเบา ๆ ที่ ค่อย ๆ โปรยปรายลงมา กระทบกับหน้าต่างฉันไม่ขาดสาย
คะนึงถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดเวลา มีเพียงฉันที่อยู่นิ่งเงียบเพียงคนเดียวเท่านั้น
Author note : เพิ่งเคยดูค่ะ สำหรับผู้สนใจอยากดูบ้าง ลองไปตามลิงค์นี้นะคะ
ถ้าตอนไหนหาไม่เจอ เปลี่ยนตัวเลขเอาค่ะ ,, U w U )
ชื่อเต็มของตัวละครพอดีว่าหาจาก wiki ภาษาอังกฤษน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าสะกดถูกไหม #ซับแรงมาก
ถ้ามีคนทราบก็บอกได้นะคะ ยินดีแก้ไข ,,' - ' ) ขอบคุณล่วงหน้าค่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in