ตอนนั้น...จำได้ว่าหลังจากกลับจาก The Page Museum แล้ว
เรากรี๊ดกับพิพิธภัณฑ์ที่นี่มาก
ใครจะไปเที่ยวที่ไหนก็ไปเถอะ จังหวะนี้ขอไปมันแต่พิพิธภัณฑ์นี่แหละ
สัปดาห์นี้เราเลยตัดสินใจว่าจะไป Natural History Museum of Los Angles กัน
เราไปถึงกันตั้งแต่เช้าเลยแวะเข้าไปเดินเล่นในสวนกันก่อน
ถึงล่ะ
เข้าไปก็อู้ววววววววววววววววววววววว
Jurassic Park Theme นี่ดังก้องกังวาลอยู่ในหัว
(ตอนนั้น Jurassic World ยังไม่ได้สร้าง... ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าเรื่องราวที่เล่ามันผ่านมานานแล้ว)
ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่มาก แบ่งเป็นโซนไดโนเสาร์ต่างๆตามแต่ละยุค
มีทั้งแบบบนบกและในน้ำ พร้อมคำบรรยายประกอบและสื่อแสงสีเสียงที่ตื่นตาตื่นใจ
ตรงนี้จำได้ว่าเราโมโหเธอเว้ย
โกรธมากเรื่องถ่ายรูป
เราถ่ายรูปเธอออกมาโคตรดี
แต่ทำไมถ่ายเราออกมาแล้วห่วยจังวะ
โมโห!
ตั้งใจถ่ายก็ไม่สวย พอแอบถ่ายตอนที่เราเผลอก็น่าเกลียด
พอมาตอนนี้ก็คิดได้ว่าแม่งเป็นการชวนทะเลาะแบบงี่เง่าฉิบหาย
จนวันเกิดปีที่ 22 เธออัดรูปเรามาให้เยอะแยะเลย
ทั้งรูปจากทริปนี้ที่ไปด้วยกันกับตอนอื่นๆที่แอบถ่ายไว้
เธอบอกว่าที่ชอบถ่ายรูปเราไว้ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ
ก็เพราะสายตาเธอมีแต่เราคนเดียวนี่แหละ
ซึ้งใจน้ำตาไหลริน
(จะดึงดราม่าทำไมวะ)
ขึ้นมาชั้นสองกันบ้าง
เอาเท้าไปเทียบกับรอยเท้าที่เก่าแก่ที่สุดของไดโนเสาร์ที่ค้นพบในแคลิฟอเนีย!
ไข่ไดโนเสาร์แหละแก๊! ตื่นเต้นมาก
มีอธิบายถึงเรื่องราวของการขุดซากฟอสซิลด้วยนะว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง
พอหมดโซนของไดโนเสาร์แล้วก็จะมาเจอฮอลล์ส่วนกลางจ้ะ
จากนั้นก็จะเป็นโซนหินและแร่ต่างๆ
ทั้งที่เป็นอัญมณี คริสตัล และอื่นๆอีกมากมาย
จบปุ๊บก็ไปเดินต่อ จะเข้าสู่ยุคของสัตว์ในปัจจุบันแล้วล่ะ
เด็กๆกรี๊ดพี่หมีโพลาแบร์มากๆ
มีงู แมงมุม และแมลงอื่นๆให้ดูด้วยนะ ในตู้ๆกระจกนั่นแล
จริงๆน่าจะมีห้องอื่นด้วยมั๊ง ถ้าจำไม่ผิด
แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมา ก็เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆนี่แหละ
เดินข้างในจนครบแล้วก็ออกมาด้านนอกบ้าง
และไหนๆก็เข้าเมืองแล้ว รู้สึกว่าเวลาเรายังเหลือ ไปเดินเล่นกันต่ออีกพิพิธภัณฑ์ก็ได้นะ
เลยเดินมาที่ California Science Center
เข้ามาก็เจอนี่เลยจ้ะ
กรี๊ดกับคนข้างๆ โอ้ยยยย ที่นี่ต้องมีความพีคซ่อนอยู่แน่ๆ เดินมามั่วๆแล้วเจอที่นี่เนี่ย
นั่นไงฮะ ความพีคแบบโชคช่วย เดินมาแบบงงๆก็ได้เข้าไปดู Space Shuttle Endeavour
อธิบายกันก่อน
กระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ เป็นกระสวยอวกาศลำดับที่ 5 ขององค์การนาซ่าที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานเป็นลำสุดท้ายต่อจากยานชาเลนเจอร์ ยานเอนเดฟเวอร์ได้รับเลือกให้ปฏิบัติภารกิจสำคัญมากมาย เช่น ปล่อยดาวเทียม เชื่อมต่อกับสถานีอวกาศเมียร์ของรัสเซีย
และลำเลียงชิ้นส่วนของสถานีอวกาศนานาชาติ
เอาจริงๆเราตื่นเต้นมาก
เราชอบท้องฟ้า ชอบดวงดาว ชอบอวกาศ ดูหนังไซไฟ
หนังที่ชอบที่สุดในชีวิตที่ให้คะแนน 9.5/10 ซึ่งเป็นการให้คะแนนหนังที่มากที่สุดในชีวิต
เพราะอยากเหลือ 0.5 เอาไว้สำหรับเอนจอยกับหนังเรื่องอื่นคือ Interstellar
และคิดว่าตอนตายจะเก็บเงินสำรองไว้หนึี่งก้อนสำหรับส่งเถ้ากระดูกของตัวเองไปโปรยบนอวกาศ
ไม่เคยไปเห็นโลกสีน้ำเงินจากนอกโลกก็ให้กระดูกตัวเองไปเป็นดาวตกแทน
เพราะเคยอ่านในหนังสือ The Catelogue of Death: สูตรสุคติ ว่าสามารถทำแบบนี้ได้
ตอนที่เดินผ่านประตูเข้าไปเห็นยานอวกาศของจริงคือน้ำตาจะไหล
นี่แหละคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสติปัญญาของมนุษยชาติ
มนุษย์จ้องมองดวงดาวมาหลายพันปี คำนวณ ค้นคว้า ศึกษาเกี่ยวกับจักรวาลอันไกลโพ้น
และเฝ้าฝันถึงสิ่งที่อยู่ไกลออกไป
ย้อนไปสู่จุดกำเนิดของสิ่งทั้งปวงจนถึงสุดขอบของเอกภพที่ขยายตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ยานเอนเดฟเวอร์คือสิ่งที่สะท้อนความพยายาม
ในการสนองความกระหายใคร่รู้อันไม่สิ้นสุดของมนุษยชาติ
(ถ้าไม่นับเรื่องการแสดงแสงยานุภาพของเหล่าประเทศมหาอำนาจในยุคสงครามเย็นนะ)
(ระหว่างที่เขียนอยู่คือกดเปิดเพลง Interstellar ไปด้วย ความแกรนด์ของ Hans Zimmer ทำให้ขนลุก)
ชีวิตนี้ได้เห็นยานอวกาศของจริงด้วยตาของตัวเองแล้วว่ะ
เจ๋งสัส!
คนเราเกิดมาเพื่ออะไร
เราเองก็ตอบไม่ได้หรอกนะ
แต่เรารู้ว่า... จากนี้เป็นต้นไป
เราจะต้องใช้ชีวิตเพื่อไปสัมผัสกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่แบบนี้
เกิดมาแล้ว ต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม
(และวันนี้แหละคือจุดเปลี่ยนเส้นทางการเดิน ความคิด และอาชีพที่จะทำในอนาคต)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in