“เธอจะตายได้ถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับคนอื่น”ผมกระซิบ
“ใช่แล้วฉันตายแน่ถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับพวกในเครื่องแบบคนอื่น แต่ก็ไม่ใช่กับคุณนี่”เธอทำแบบเดิมนั่นคือการเอียงคอมองผม คล้ายกับสุนัขหุ่นยนต์ที่เรามีกันทุกบ้าน“พวกเขาพูดว่าสิ่งที่ทำไปล้วนทำเพื่อให้ทุกคนเท่าเทียมแต่ความเท่าเทียมนั้นคืออะไรกันล่ะ ฉันหมายถึงจริงๆ แล้วน่ะ มันคืออะไรกันแน่และคุณมั่นใจได้ยังไงว่าสิ่งที่ปลูกฝังคุณมามันคือสิ่งที่ถูกต้อง”
ผมเหลือบมองกระจกมองหลัง “รู้มั้ยฉันว่าเราควรจบเรื่องนี้กันได้แล้ว เธอจะลงตรงไหนของวอลเตอร์เรย์?”
“ถนนสายที่แปด”
“บ้านเธออยู่ตรงนั้น?”
“ไม่ใช่ ฉันมีของที่ต้องซื้อจากตรงนั้น”
“ฉันอยากให้เธอเอาโทรศัพท์มือถือมาให้ฉัน”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะมันไม่สมควรมีอยู่”
“แต่มันทำอะไรไม่ได้แล้ว”เธอเขย่าโทรศัพท์มือถือในมือไปมา “ยุคสมัยก่อนนั้นดีมากคุณปู่เล่าว่าพวกเขามีสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นอยากรู้อะไรก็แค่เข้าไปในเครือข่ายนั้น เราคุยกันในระยะไกลได้ด้วย”
“ตอนนี้เราก็คุยกันในระยะไกลได้”ผมแย้ง
“ใช่แต่ด้วยโทรศัพท์บ้านที่มีสายหงิกงอพวกนั้นและมีคนอีกกลุ่มหนึ่งคอยฟังบทสนทนาของเราอยู่ในที่ที่ห่างออกไป”
ผมรู้สึกว่าตัวเองอับอาย“นั่นเป็นเรื่องที่ควรกระทำ เธอไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหา ถ้าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด”
ผมได้ยินสตาร์ดัสต์หัวเราะคิกเป็นเสียงหัวเราะที่สดใสที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน ผมหมายถึง...แน่นอนผมเคยได้ยินผู้หญิงหัวเราะ พวกเธอหัวเราะขำตอนนั่งดูโทรทัศน์ฉายภาพละครเรื่องมิสเตอร์สูทในฉากที่ตัวเอกซึ่งเป็นคนของเครื่องแบบแห่งความผาสุกเข้าไปทลายถิ่นซ่องสุมของพวกต่อต้านความผาสุกและคนพวกนั้นก็หนีลงท่อไม่ต่างจากหนูสกปรก
ผมสูดลมหายใจเข้าโดยฉับพลันรถคล้ายจะเป๋ไปแวบหนึ่ง
“เฮ้ ขับดีๆ หน่อยคุณเครื่องแบบ”สตาร์ดัสต์ว่า
“เธอเป็นพวกต่อต้านความผาสุก”ผมหันไปเบิกตากว้างมองเธอ ในสมองคล้ายจะได้คำตอบว่าทำไมเธอถึงกล้าพูดกล้าทำอะไรที่ไม่สมควรแบบนี้แถมยังมีความคิดที่เป็นอันตรายต่อสังคม
สตาร์ดัสต์กะพริบตาราวกับไม่ได้รับรู้อะไรทั้งสิ้น“ใครต่อต้านใครนะ?”
“เธอ” ผมย้ำ “กับปู่ของเธอคือพวกต่อต้านความผาสุก”
สตาร์ดัสต์ส่งเสียงหัวเราะขำอีกครั้งคราวนี้ไม่ใช่แค่การหัวเราะเบาๆ แต่เป็นหัวเราะปากกว้างแบบไม่น่ามองพอเธอเริ่มจับลมหายใจได้เธอก็ส่งเสียงพูด
“ไม่มีใครต่อต้านใครทั้งนั้นโนอาทุกคนแค่ต้องการสิ่งที่เรียกว่าความผาสุกที่แท้จริงกลับคืนสู่วอลเตอร์เรย์เท่านั้น”
เธอก็คือพวกต่อต้านนั่นแหละ
“นายหยุดรถตามกฎอีกแล้ว”เธอพึมพำเบาๆ ราวกับยุง
“เธอควรลงไปได้แล้ว”
“ตรงนี้เหรอ” เธอมองผม
“หรือไม่ก็ให้ฉันจับเธอไป”
“ไม่เอาน่าคุณเครื่องแบบฉันรู้ว่าโรงเรียนพวกนั้นสอนอะไรคุณ มันก็เหมือนๆ กับที่สอนทุกคนในสังคมนั่นแหละคุณหวาดกลัวคนแบบฉัน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่บ้ามาก พวกเราไม่มีอะไรน่ากลัวเลยทำไมคุณต้องกลัวกะอีแค่ความคิดจำพวกหนึ่งด้วยล่ะ”
ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่อาวุธที่เรามีในมือแต่มันคือความคิด
“ฉันนั่งมองไอ้นั่นมาสักพักหนึ่งแล้ว”สตาร์ดัสต์ชี้นิ้วไปที่เอกสารปึกหนึ่งที่โผล่ออกมา“คุณกับพวกเครื่องแบบจะไปทำลายอารยธรรมมนุษย์ที่เรียกว่าสนามเด็กเล่น”
“ฉันคิดว่าเธอควรลงไป...”ผมกุมขมับที่ปวดร้าวของตัวเอง ความคิดทั้งหลายกำลังบั่นทอนอยู่เงียบๆ ภายในตัวผม
“คุณรู้มั้ยว่าสนามเด็กเล่นมีไว้ทำอะไรก็ตามชื่อนั่นแหละ มันเอาไว้ให้เด็กเล่น สมัยก่อนพ่อแม่หรือคุณครูจะพาเด็กๆมาที่นี่เพื่อเล่นของเล่นกัน พวกเด็กๆ จะได้เจอเพื่อนใหม่ ได้ออกกำลังกาย ได้วิ่งเล่นแต่ความผาสุกในแบบของพวกคุณกลับกลายเป็นว่าเด็กๆ ควรเรียนหนังสือไม่ใช่วิ่งเล่นพวกเขาควรทำตามตารางเวลาที่กำหนดไว้แล้ว พ่อแม่ทั้งหลายล้วนเย็นชา น่าสงสารไม่มีใครเคารพจิตใจของความเป็นเด็กเลยสักคน”
“หยุดพูดเถอะ...” ผมวิงวอนขอร้อง
“พวกคุณตามทำลายสิ่งเหล่านี้สิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมไร้ค่า เจอเมื่อไหร่ก็ทำลายฉันจำได้ว่าเมื่อปีกลายพวกเครื่องแบบแห่งความผาสุกไปเจอกระท่อมเล็กๆ ที่เก็บสิ่งที่เรียกว่าหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์เข้าในกระท่อมหลังหนึ่งสุดท้ายพวกคุณก็เผาหมดทั้งหนังสือทั้งกระท่อม นั่นเพราะอะไรกัน”
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก“เพราะเราไม่ได้รับอนุญาตให้ศึกษาสิ่งเหล่านี้” ผมว่า“เพราะการมีอยู่ของมันคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
“ไม่หรอก โนอา พวกคุณก็แค่กลัว”สตาร์ดัสต์ตอบกลับมาเสียงเรียบ แต่ดูไร้ความเห็นใจอย่างยิ่งก่อนที่เธอจะเหลือบตามองไปยังสัญญาณไฟจราจรเบื้องหน้า “ออกรถได้แล้วคุณควรทำตามกฎของคุณ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in