.
.
- (500) Days of Summer นำแสดงโดย Joseph Gordon- Levitt และ Zooey Deschanel ได้เปลี่ยนการนำเสนอมุมมองความรักของภาพยนตร์รอมคอม (Romantic Comedy) และได้เติมเต็มส่วนที่ขาดหายของนักค้นหาความรักในชีวิตจริง
- นับตั้งแต่การเปิดตัวของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้มีแนวคิดมากมายเกี่ยวกับวิธีที่ภาพยนตร์ได้นำเสนอเรื่องราวความรักอย่างที่ควรจะปรากฏออกมา ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเหล่านี้ทำให้เกิดการโต้เถียงกันมากมายในวงการภาพยนตร์ แต่สิ่งหนึ่งที่คนดูจะได้รับอย่างแน่นอนเลยคือ ภาพยนตร์เรื่องนี้บรรยายถึงความรู้สึกอกหักได้อย่างสมจริงจนสามารถรู้สึกได้ และเต็มไปด้วยบทเรียนอันมีค่าจากมุมมองจากทั้งสองตัวละคร
- จากบทความที่แล้ว ที่ได้ทำการวิเคราะห์ตีความเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่าง Tom และ Summer ภายใน 500 วัน ซึ่งอาจจะอธิบายและไขข้อกระจ่างให้กับผู้อ่านในประเด็นที่เกิดข้อถกเถียงได้พอสมควร แต่ในบทความนี้ ผมจะนำเสนอบทเรียนและแง่คิดที่ภาพยนตร์ได้นำเสนอ และหลังจากการตกตะกอนมาพอสังเขป ผมจึงสรุปบทเรียนและแง่คิดได้ดังนี้ ...
.
➡️ อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องแบกรับความคาดหวังของคุณ
- Tom มีความคิดที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Summer นั่นคือความคิดที่ว่า 'พวกเขาจะอยู่ด้วยกันตลอดไป' คนดูจะเห็นมุมมองที่แท้จริงของทอมเกี่ยวกับวิธีที่เขารับรู้ตัวตนของซัมเมอร์ และความคาดหวังในความสัมพันธ์ของพวกเขาตลอดทั้งเรื่อง แต่นั่นไม่ใช่ในความเป็นจริงเลย
- Tom เสียใจหนักมากเมื่อ Summer เลิกกับเขา และรับรู้ว่าแท้จริงแล้วซัมเมอร์แทบจะไม่มีวิธีคิดเช่นเดียวกันกับเขาเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคิดที่เขามีต่อซัมเมอร์นั้น ปราศจากการมองจากความเป็นจริงในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ทอมจับเธอยัดใส่ชุดความคิดของเขา บงการเธอว่าควรจะเป็นเช่นนั้น ควรจะตอบแทนเขาเช่นนี้ เป็นความคิดโรแมนติกในแง่มุมของเขาคนเดียว ซึ่งจะเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับคนดู ว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องตอบสนองความคาดหวังของคุณเสมอไป ความรักมันคือความสมดุลจากความคาดหวังของคนสองคน
▪︎
➡️ เราจะไม่มีทางก้าวข้าม (Move On) หากเราจมอยู่กับอดีต
- แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ควรจะงอแงฟูมฟาย หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าเศร้าเช่นการเลิกราที่ยากลำบาก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ตีแผ่ชีวิตและความหดหู่ของ Tom หลังจากที่เขาคิดว่าโลกของเขาได้สิ้นสุดไปพร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Summer ไว้อย่างชัดเจน
- จากการที่เขาได้ไปพูดคุยกับ Rachel น้องสาวของเขา และเธอได้ให้แง่คิดกับเขาข้อหนึ่ง เธอบอกทอมให้มองความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองให้ดีๆและให้สมจริง จนทำให้เขาตาสว่าง ซึ่งในที่สุด Tom ก็สามารถหลุดจากความสัมพันธ์อันเป็นพิษ และพบว่าเขารู้สึกมีความสุขอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับ Summer แล้วก็ตาม เหตุผลเดียวที่เขาสามารถก้าวต่อไปได้ก็คือ เขาสามารถปล่อยวางเรื่องซัมเมอร์ไว้กับอดีตได้ และเรียนรู้ที่จะโฟกัสกับโอกาสใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
▪︎
➡️ มันไม่ผิดที่จะให้ความสำคัญกับการงานมากกว่าเรื่องรักๆใคร่ๆ
- Tom หมกมุ่นอยู่กับแต่ความคิดเรื่องความรัก และอยากจะรักษาสถานะให้ตัวเองไว้ในความสัมพันธ์อยู่เสมอ ตลอดเรื่องราว เขาใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อพยายามทำให้ชีวิตคู่ของเขาสมบูรณ์แบบ
- หลังจาก Summer บอกเลิกกับเขา แทนที่ Tom จะกระโดดเข้าสู่ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ทอมได้เรียนรู้ว่าเขาสามารถเปลี่ยนไปโฟกัสกับอาชีพการงานของเขาได้ และเขาได้ทุ่มเทเวลาและพลังทั้งหมดในการเป็นสถาปนิก ซึ่งเดิมเป็นอาชีพในฝันของเขา ภาพยนตร์ได้พิสูจน์ว่า ชีวิตไม่ได้เกี่ยวพันกับเรื่องความรักทั้งหมด และเป็นเรื่องที่ดีที่จะดูแลตัวเองบ้าง รวมไปถึงให้ความสำคัญกับอาชีพการงาน ซึ่งนั้นจะทำให้เกิดเรื่องดีๆตามมา
▪︎
➡️ แนวคิดเรื่อง 'คนที่ใช่' (The One ) มีแค่ในมโน
- ตลอดทั้งเรื่อง Tom ได้เชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์ว่าเขานั้นได้พบ 'คนที่ใช่' เข้าให้แล้ว เขาคิดว่าการค้นหารักแท้ของเขาได้จบลง และเขาทั้งสองจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น
- Tom รู้สึกท้อแท้และคิดว่าเขาจะไม่มีวันพบรักกับใครอีกแล้ว เพราะ Summer นั้น คือคู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด และเธอก็ได้ทำลายชีวิตของเขา โดยทำให้เขาความล้มล้างความเชื่อในความรัก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าทอมสามารถเยียวยาชีวิต และสามารถก้าวต่อไปได้ จนกระทั่ง เขาได้พบคนใหม่ในตอนท้าย ทำให้แนวคิดเรื่อง 'คนที่ใช่' นั้นดูไม่เป็นความจริงเสมอไป 'คนที่ใช่' บางทีมันคือคนที่เราแน่ใจแล้วว่า เรากับเขาจะสามารถสานสัมพันธ์กันต่อไปได้ ไม่ใช่แนวคิดที่เราจะสร้างขึ้นมา เพื่อมากำหนดชีวิตของเขา รวมถึงชีวิตเราให้อยู่ในกรอบ และเป็นกับดักในความสัมพันธ์ในอนาคตเมื่อมันจบลง
▪︎
➡️ เป็นโสดก็ไม่ได้แย่
- มีแนวคิดอย่างหนึ่งของ Tom ในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำร้ายเขามากๆในช่วงท้ายของเรื่อง นั่นคือตั้งแต่ที่เขาเริ่มคบหากับ Summer ทอมคิดว่าตัวเขาต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอให้ตลอดรอดฝั่ง และหากเขาไม่สามารถรักษาไว้ได้ เขาก็จะต้องสูญเสียส่วนหนึ่งของชีวิตไป จะเห็นได้จากชีวิตของเขาหลังโดนซัมเมอร์ยุติความสัมพันธ์ ชีวิตของเขาแทบไม่เป็นอันทำอะไร ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่และอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่เกิดจากคาดหวังอันล้นเกินไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างของเขากับซัมเมอร์
- ในท้ายที่สุด เราจะได้เรียนรู้จาก Tom ว่าเราจะไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ หากเราไม่รู้วิธีปล่อยวางและเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวของเราเอง แน่นอนว่ามันอาจจะเหงาในบางครั้ง แต่อย่างน้อย ชีวิตเราไม่ได้มีเราตัวคนเดียวเสมอไป แต่ยังมีครอบครัวหรือเพื่อนของคุณ ที่พวกเขาจะคอยซัพพอร์ตคุณเสมอ
▪︎
➡️ ไม่มีทางที่บังคับใครสักคนมารักเราได้หรอก
- ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หมุนรอบความคิดของ Tom เกี่ยวกับสิ่งที่เขาคาดหวังต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ Summer เขาพยายามอย่างหนักเพื่อให้เธอรักเขาในแบบที่เขารักเธอ แต่มันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย ไม่ว่าเขาจะพยายามและต้องการมันมากขนาดไหน ซัมเมอร์ก็ไม่มีวันจะมีความรู้สึกแบบเดียวกับเขาได้
- เรื่องนี้ ทำให้เราได้รู้แล้วว่า เราไม่สามารถทำให้ใครรักเราได้ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดกับความจริงข้อนี้ แต่ทุกคนนั้นมีทางเลือกและความรู้สึกของตัวเอง และบ่อยครั้งมันก็ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกและความคาดหวังของเราเสมอไป
▪︎
➡️ ความคาดหวังของเรา (ส่วนใหญ่) มักจะไม่เหมือนกับความเป็นจริง
- ฉากที่โดดเด่นที่สุดฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือช่วงเวลา "ความคาดหวังกับความเป็นจริง" ที่ Tom พบกับ Summer อีกครั้งหลังจากที่พวกเขานั้นได้เลิกรากันไป เขาจินตนาการว่าพวกเขามีค่ำคืนที่ยอดเยี่ยมและแม้กระทั่งคิดไปเองว่าพวกเขาจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง แต่ในความเป็นจริง พวกเขาแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยในงานสังสรรค์นั้น และทอมก็กลับบ้านไปอย่างสิ้นหวัง
- เป็นเรื่องอันตรายที่จะปล่อยให้ความคาดหวังของเราเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ได้เข้าควบคุมความคิดทั้งหมดของเรา เราไม่อาจปล่อยให้ความคาดหวังครอบงำส่วนที่ดีของเรารวมถึงความสัมพันธ์ที่กำลังไปได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามารถสร้างความคาดหวังนั้นได้ แต่หมายความว่าเราต้องระมัดระวังความกดดันที่เกิดจากความคาดหวังนั้น เราต้องรู้จักควบคุมมัน และบางครั้ง เราอาจจะปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราและเขา นำพาชีวิตเราไปอย่างสบายๆและเป็นธรรมชาติบ้าง
▪︎
➡️ อย่าได้ละเลยสัญญานเตือนที่บ่งบอกว่าความสัมพันธ์กำลังถึงจุดจบ
- เมื่อ Summer เลิกกับ Tom เธอชี้ให้เห็นว่าข้อผูกมัดในความสัมพันธ์นั้นมันไม่ได้ผล ทอมประหลาดใจ อกหัก และจมดิ่งลงในห้วงอารมณ์ซึมเศร้าอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยเห็นสัญญาณเตือนของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนกำลังไปเลยเหรอ? หรือเขาแค่เพิกเฉยที่จะเห็นสัญญานเหล่านี้?
- การละเลยต่อสัญญาณเตือนถึงความสัมพันธ์ที่อาจนำความสัมพันธ์ไปถึงจุดจบ มันดูง่ายกว่าและเจ็บปวดน้อยกว่า เพราะเรากำลังหลอกตัวเองว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดี หรือเดี๋ยวมันอาจจะดีขึ้น แต่ในความเป็นจริง มันแต่จะพาทำให้ตัวเราประสบกับปัญหา เรากำลังอยู่ในห้วงจินตนาการอันหอมหวานที่กำลังจะพังทลายในที่สุด ดังนั้น เราจึงควรหมั่นสังเกตอีกฝ่าย รวมถึงบริบทโดยรอบอยู่เสมอ ว่ากำลังเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่? และกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีหรือเปล่า? เพื่อในท้ายที่สุด เราจะได้พร้อมรับมือกับมัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in