เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หนังหนึ่งคืน | OnenightCinemaOnenightz.
จับขาเมาท์กับเรื่องราวสุดวีนใน Mean Girls
  • Mean Girls (2004) ???
    Director : Mark Waters
    Genres : Comedy
    My Score : 8.0 / 10
    [ภาพยนตร์มีความยาว 1 ชั่วโมง 37 นาที]
    .
    ➡️ Prologue : บทเกริ่น

    - มาเล่นเกมจิตวิทยากันก่อนจะเข้าเรื่อง ให้ลองนึกภาพ หากคุณคือเด็กใหม่ในชั้นมัธยมปลาย วันแรกที่คุณก้าวเข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียน คุณจะนั่งกับคนกลุ่มไหน? จะนั่งกับกลุ่มนักกีฬาที่กำลังอัดโปรตีนเขย่า? จะนั่งคุยเรื่องธาตุตัวใหม่กับกลุ่มเด็กเนิร์ด? หรือจะนั่งกับกลุ่มเด็กสาวหน้าห้องที่กำลังคุยเฟื่องเรื่องซีรีส์เกาหลีที่เข้าใหม่ใน Netflix ดี? เลือกยากใช่มั้ย? แต่ประเด็นเลยคือ ทุกคนล้วนมีแก๊งของพวกเขาอยู่แล้ว
    - ภาพยนตร์เรื่อง Mean Girls เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการปรับตัวและการเอาตัวรอดในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เมื่อ Cady Heron เข้าเรียนที่ North Shore High หลังจากที่ต้องศึกษาด้วยตัวเองที่บ้าน (Homeschooled) กับพ่อแม่ของเธอ ที่เป็นนักสัตววิทยาในแอฟริกามาตลอดทั้งชีวิต เธอจึงค้นพบได้อย่างรวดเร็วว่า โรงเรียนมัธยมปลายกับทุ่งหญ้าสะวันนาในแอฟริกานั้น ไม่ได้แตกต่างจากกันมากนัก จะเป็นผู้ล่าหรือถูกล่า การที่คุณเลือกที่นั่งในโรงอาหาร จึงเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอดของคุณ (ที่ภาพยนตร์เปรียบเปรย)
    - Mean Girls ได้กลายเป็นราชินีขึ้นแท่นภาพยนตร์ยอดนิยมใน Box Office ในสมัยนั้น เพราะกลุ่มผู้ชมวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กสาวที่ได้เห็นชีวิตตัวเองและเพื่อนร่วมชั้นของพวกเธอบนหน้าจอภาพยนตร์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเห็นว่าลำดับชั้นทางสังคมภายในโรงเรียนมัธยมสุดหฤโหดของพวกเขา และกฎเกณฑ์ของความนิยมในตัวบุคคล (กลุ่มไอดอล คนฮอต คนป็อบ) ได้ถูกชำแหละ และทำลายล้างด้วยการเสียดสีอันชาญฉลาดโดยภาพยนตร์เรื่องนี้
    - และ Mean Girls ไม่เพียงทำให้โรงเรียนมัธยมปลายกลายเป็นสนามรบของกลุ่มแก็งโดยกฎเกณฑ์ซึ่งซุ่มซ่อนอยู่ราวกับทุ่นระเบิด ภาพยนตร์เรื่องได้นี้เผยแหล่งของทุ่นระเบิดเหล่านั้น และทำให้เราได้รู้สึกว่า ชีวิตของเรา ไม่ว่าจะยังอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลายหรือเคยได้รับผลกระทบจากชีวิตในโรงเรียนมากเพียงใด แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนคงภาวนาให้ประเด็นที่เกิดขึ้นเหล่านี้มันดีขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน แต่มันเป็นอย่างนั้นหรือยัง?
    - อ่านมาจนถึงตอนนี้ ก็อย่าได้ตัดสินว่า มันจะเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอความเลวร้ายในชีวิตของเด็กมัธยมปลายอย่างเดียวนะ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้นำเสนอเรื่องราวชีวิตมัธยมปลายอันชวนหัว รวมถึงได้ซุกซ่อนประเด็นสุดอบอุ่นใจ ที่ให้ข้อคิดกับคนดูไว้ด้วย ซึ่งไม่ว่าตอนนี้คุณจะเป็นหรือเคยเป็นนักเรียนสุดเนิร์ด นักกีฬาสุดแกร่ง หรือนักเรียนหัวศิลป์สุดติส ผมจะพาพวกคนเดินทัวร์โรงเรียน North Shore High และร่วมค้นหาความหมายภายในภาพยนตร์ไปด้วยกัน พร้อมกันหรือยัง? ... งั้นมาเริ่มกันเลย
    .

    ➡️ Epic Story of Cady Heron : วิวัฒนาการของสาวเนิร์ดสู่ควีนบี

    - ตลอดทั้งเรื่องของภาพยนตร์เรื่อง Mean Girls มีเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่ช่วยพัฒนาประเด็นปัญหาและโครงเรื่อง รวมถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร การแบ่งโครงเรื่องออกเป็นสี่ส่วนใหญ่ๆ จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์การโต้ตอบที่เกิดขึ้นตลอดช่วงต่างๆ ในตัวละคร Cady Heron เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นได้โดยง่าย ซึ่งเราจะแบ่งเหตุการณ์ออกเป็นสี่ส่วนคือ Pre-Plastic (ช่วงก่อนเข้าแก๊งพลาสติก) , Plastic (ช่วงที่อยู่ในแก๊งพลาสติก) , Queen B (ช่วงรุ่งโรจน์) และ Post Burn Book Fallout (ช่วงหลังจากเหตุการณ์ Burn Book) ด้วยสิ่งนี้จะช่วยแสดงให้เห็นว่า ประเด็นสำคัญๆบางอย่างที่เกิดขึ้น มันสอดคล้องและส่งผลกับสถานะของนักเรียนในกลุ่มต่างๆในโรงเรียน North Shore High ได้อย่างไร

    ? Pre-Plastic (ช่วงก่อนเข้าแก๊งพลาสติก)
    ▫️เกิดเหตุการณ์สำคัญมากๆในช่วงการปูเรื่อง เมื่อ Cady ตัวละครหลัก ได้สัมผัสกับวันแรกของการเรียนมัธยมปลาย North Shore High เหตุการณ์เหล่านี้ได้แนะนำตัวละครหลักในฐานะเด็กใหม่สุดไร้เดียงสา ในการศึกภายใต้ระบบของรัฐ และเป็นการช่วยวางโครงเรื่องให้ผู้ชมได้คุ้นเคยได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานี้ เคดี้มักถูกมองว่าเป็นผู้ยอมจำนน และเธอค่อนข้างมีความเสี่ยงที่จะถูกชักใยจากนักเรียนคนอื่น
    - ในวันเปิดเรียนวันแรก ครูแนะนำเคดี้ว่าเป็น “นักเรียนใหม่จากแอฟริกา (New Student from Africa)” จึงทำให้เคดี้ได้รับฉายานี้ในหมู่เพื่อนร่วมชั้นของเธอ
    - ระหว่างการพบกันครั้งแรกกับ Janis และ Damian เคดี้ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ทั้งเจนิสและเดเมียน ต่างก็ชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของแก๊งพลาสติกและรวมถึงอิทธิพลแก๊งต่อคนในโรงเรียน รวมถึงคำอธิบายลักษณะต่างๆของสมาชิกภายในแก๊ง ซึ่งประกอบไปด้วย Gretchen Wieners, Karen Smith และควีนบีอย่าง Regina George
    - เคดี้ได้พบกับแก๊งพลาสติกในโรงอาหารตอนช่วงพักกลางวัน หลังจากได้พูดคุยกันในเบื้องต้นแล้ว เธอได้รับเชิญให้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกับแก๊งตลอดสัปดาห์ที่เหลือ
    - เจนิสได้ช่วยเคดี้ตัดสินใจให้ตอบรับคำเชิญของแก๊งพลาสติก นั่นจึงเป็นการเริ่มต้นแผนการของเจนิส ที่จะใช้เคดี้เป็นอุบายในการวางแผนแก้แค้นเรจิน่าและแก๊งของเธอ เหตุการณ์นี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงของเคดี้ให้เป็นพลาสติกคนใหม่

    ? Plastic (ช่วงที่อยู่ในแก๊งพลาสติก)
    ▫️แม้ว่าการเข้าแก๊งพลาสติกของ Cady ในช่วงแรก จะเป็นแค่แผนการแก้แค้นของ Janis แต่เคดี้ก็เริ่มที่จะซึมซับความเป็นพลาสติกไปอย่างช้าๆ โดยเจนิสได้รวบรวมข้อมูลทุกอย่างของแก๊งพลาสติกผ่านเคดี้ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เรื่องราวดำเนินต่อไป การมีส่วนร่วมของเคดี้ในแก๊งพลาสติก ได้เปลี่ยนเริ่มพฤติกรรมของเธอ  ดังนั้น ความภักดีของเธอจึงเริ่มเปลี่ยนจากเจนิสและ Damian เป็น Regina ,Gretchen และ Karen ในที่สุด
    - เคดี้ได้บอกว่า วิชาคณิตศาสตร์เป็นคาบหนึ่งที่เธอรู้สึกสบายใจเมื่อได้เรียนในโรงเรียนใหม่ เพราะว่าคณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เหมือนกันโดยไม่คำนึงถึงชนชาติหรือระบบการศึกษา อย่างไรก็ตาม ในระหว่างชั้นเรียนคณิตศาสตร์ เธอได้พบกับ Aaron Samuels ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่น่ารัก แต่เขาดันบังเอิญเป็นแฟนเก่าของเรจิน่า
    - เรจิน่ารู้เรื่องที่เคดี้ชอบแอรอน เมื่อแอรอนบอกกับเธอว่าเคดี้หมกมุ่นอยู่กับเขา เธอได้ใส่ไฟให้ร้ายเคดี้เมื่อเธอพูดคุยกับเอรอน ซึ่งในท้ายที่สุด เรจิน่าก็ปลุกความสัมพันธ์ของเธอกับแอรอนให้เกิดขึ้นอีกครั้ง จึงเป็นตัวจุดชนวนความเกลียดชังของเคดี้ที่มีต่อเรจิน่า
    - ขณะที่เคดี้ เจนิส และเดเมียนวางแผนทำลายล้างแก๊งพลาสติก เคดี้ยังคงออกไปเที่ยวกับสาวๆในแก๊งอย่างต่อเนื่อง และเริ่มซึมซับนิสัยและพฤติกรรมของความเป็นพลาสติกมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน เคดี้แสร้งทำเป็นไม่ได้เป็นเพื่อนกับเจนิสและเดเมียนในที่สาธารณะ เพื่อเก็บแผนการของพวกเขาไว้เป็นความลับ อย่างไรก็ตาม "การกระทำ" นี้ยังคงดำเนินต่อไปอีกนาน ก่อนที่เคดี้จะแปลงร่างเป็นสมาชิกของแก๊งพลาสติกอย่างสมบูรณ์
    - ก่อนการแสดง Jingle Bell Rock ของพวกเธอ เรจิน่าต้องการให้เกร็ตเช็นและเคดี้เปลี่ยนที่กัน ซึ่งนั่นทำให้ความจงรักภักดีของเกร็ตเช็นต่อเรจิน่าเริ่มสั่นคลอน ระหว่างการแสดง เกิดการขัดข้องทางเทคนิคจนทำให้เพลงหยุด เคดี้ช่วยกู้สถานการณ์ โดยให้คนดูร้องเพลงตาม นี่คือจุดที่เราได้เริ่มเห็นว่า เคดี้ได้มีบทบาทในการเป็นผู้นำของแก๊งพลาสติก
    - เคดี้ใช้แผนการสี่วิธีเพื่อจัดการกับแก๊งพลาสติก โดยทำให้สัมพันธ์ของพวกเธอเกิดรอยร้าว และทำให้พวกเธอต่อต้านกันและกัน เคดี้วางหมากนี้ด้วยตัวเธอเอง โดยไม่ปรึกษาเจนิสและเดเมียน ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นพลาสติกอย่างแท้จริง

    ? Queen B (ช่วงรุ่งโรจน์)
    ▫️เมื่อ Regina ถูกทำให้อับอายต่อหน้าสาธารณะในโรงอาหารของโรงเรียน Cady ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นควีนบีคนใหม่โดยอัตโนมัติ และเป็นผู้นำของแก๊งพลาสติกในที่สุด ในบทบาทนี้ Gretchen และ Karen เริ่มติดตามเธอทุกการเคลื่อนไหว เหมือนที่พวกเธอเคยทำกับเรจิน่า และตอนนี้ เคดี้ก็ได้กลายเป็น "สาวใจร้าย (Mean Girl)" โดยสมบูรณ์แล้ว
    - เหตุเกิดขึ้นในโรงอาหาร ซึ่งเป็นที่เดียวกันกับที่ความสัมพันธ์ของเคดี้กับแก๊งพลาสติกได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งเรจิน่าได้ถูกไล่ออกจากแก๊ง เนื่องจากละเมิดกฎข้อหนึ่งของพวกเธอ นี่คือจุดที่เคดี้กลายเป็นควีนบี และได้ตำแหน่งผู้นำของแก๊งพลาสติกในที่สุด
    - ตัวตนและบทบาทที่แท้จริงของเคดี้ในฐานะควีนบีได้ถูกเปิดเผย เมื่อแอรอนได้เจอกับเคดี้ในงานปาร์ตี้ของเธอ และอธิบายว่าเธอเป็นร่างโคลนของเรจิน่า และทันทีหลังจากนั้น เจนิสและเดเมียนได้เจอกับเคดี้ หลังจากที่รู้ความจริงว่าเคดี้ไม่ได้เชิญพวกเขาให้ไปงานปาร์ตี้ และกล่าวหาว่าเธอนั้นร้ายกาจและแสบขนาดไหน
    - แฟนของเรจิน่าบอกความจริงเกี่ยวกับ Kalteen Bar ว่าเป็นขนมเพิ่มน้ำหนักของนักกีฬา จึงทำให้เรจิน่าเห็นถึงเจตนาร้ายของเคดี้ที่มีต่อเธอ จากนั้นเธอก็เริ่มแผนโดยเพิ่มชื่อตัวเองเข้าไปในหนังสือเผาเพื่อน (Burn Book) แล้วเอาไปฟ้องกับครูใหญ่ จากนั้นเธอก็แจกจ่ายสำเนาหน้าหนังสือไปทั่วโรงเรียนเพื่อให้ทุกคนอ่าน การกระทำนี้ทำให้ทุกคนในโรงเรียนเห็นว่า เรจิน่าเป็นเหยื่อและเคดี้เป็นตัวการ ซึ่งทั้งหมดทำให้นักเรียนหญิงในโรงเรียนทะเลาะกันเอง และต่อต้านแก๊งพลาสติก รวมถึงต่อต้านตัวเคดี้เองอีกด้วย

    ? Post-Burn Book Fallout (ช่วงหลังจากเหตุการณ์เผาเพื่อน)
    ▫️ในที่สุด ความจริงเกี่ยวกับแผนการของ Cady ที่จะทำลาย Regina และแก๊งพลาสติกก็ถูกเปิดโปง หลังจากหนังสือเผาเพื่อน (Burn Book) ถูกเปิดเผยต่อสายตาทุกคน  เคดี้ยอมรับตัวเองเพื่อแก้ไขการกระทำของเธอ และฟื้นฟูมิตรภาพระหว่าง Janis ,Damian รวมถึง Aaron ในระหว่างเรื่องราวในช่วงนี้ เด็กสาวในโรงเรียนได้โต้ตอบกันโดยยอมรับความบาดหมางในครั้งก่อน และเปิดใจเกี่ยวกับความรู้สึกระหว่างกันและกัน เหตุการณ์นี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกในหมู่สาวๆทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในกลุ่มแก๊งไหนก็ตาม
    - หลังจากเกิดการชุลมุนขนาดใหญ่ภายในโรงเรียน จากเนื้อหาแห่งความเกลียดชังใน Burn Book เด็กผู้หญิงทุกคนในชั้นมัธยมปลาย โดนบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมเปิดใจ ที่นำโดยครู Norbury กิจกรรมนี้นำสาวๆ มารวมกันในโรงยิม โดยให้พวกเขาสารภาพสิ่งที่พวกเขาเคยโกหกหรือตกเป็นเหยื่อคำนินทาของเพื่อนร่วมชั้น
    - ในที่สุดเคดี้ก็ยอมเป็นแพะ โดยการยอมรับว่าเป็นเจ้าของ Burn Book ด้วยความพยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดและได้รับการให้อภัย เธอยังตกลงที่จะเข้าร่วมกับการแข่งขันตอบโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (Mathletes) และค่อยๆฟื้นคืนความไว้วางใจจากครูนอร์เบอรี่ รวมถึงเพื่อนๆของเธอ
    - เมื่อเธอเข้าการแข่งขัน และได้ชัยชนะกลับมา เธอถูกเพื่อนในทีมเกลี่ยกล่อมให้เข้าร่วมงานพร็อม และเธอก็ตอบตกลง เมื่อเธอเข้ามาในงาน เธอก็ค้นพบว่า เธอชนะการโหวต Spring Fling Queen เธอจึงใช้โอกาสนี้ได้บอกความในใจกับเพื่อนร่วมชั้นของเธอ และได้รับความไว้วางใจและการยอมรับจากพวกเขาอีกครั้ง ด้วยการหักมงกุฎเป็นส่วนๆ และมอบให้แก่เพื่อนของเธอ รวมถึงรุ่นน้องหลายๆคน เคดี้ได้ทำลายกรอบเกณฑ์ที่แยกเด็กสาวออกเป็นกลุ่มเป็นแก๊งต่างๆ ในที่สุด เคดี้ก็ได้รับการให้อภัยจากเจนิสและเดเมียน เพื่อนกลุ่มแรกของเธอ และสุดท้าย เธอก็ได้รับรักจากแอรอนสมใจ
    .
    ➡️ High School Crisis : ปัญหาฉบับวัยว้าวุ่น

    - ปัญหาส่วนใหญ่ที่นำเสนอในภาพยนตร์ ล้วนเกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครซึ่งเป็นวัยรุ่น และเป็นปัญหาที่นักเรียนมัธยมปลายส่วนใหญ่กำลังเผชิญอยู่ในทุกๆวัน บางก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครในแก๊งเดียวกัน หรือเป็นปัญหาที่เกิดระหว่างตัวละครที่มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน  ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาโครงเรื่องเท่านั้น แต่ยังสะท้อนแก่ผู้ชมที่กำลังเผชิญหน้าหรือกำลังประสบปัญหาคล้ายคลึงกันนี้ในโรงเรียนที่ตนกำลังเรียนอยู่

    ? เริ่มจากปัญหาของเด็กใหม่ที่หลายๆคนล้วนเคยเจอ เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆ และยังไม่มีแผนที่จะรับมือกับมัน ปัญหานี้นำเสนอผ่านตัวละคร Cady ในวันแรกที่เปิดเรียน เธอพยายามที่จะเข้ากับสังคมใหม่และเริ่มหาเพื่อนใหม่ แต่ถึงอย่างนั้น เพื่อนใหม่ของเธอ (Janis กับ Damian) ใช้ประโยชน์จากความไร้เดียงสาของเด็กใหม่ เพื่อหลอกล่อให้เธอโดดเรียน เคดี้ยังคงถูกเพื่อนร่วมชั้นชักใยและกลั่นแกล้ง ทำให้เธอตกเป็นเป้าของความอับอายได้ง่าย ตัวอย่างเช่น Jason เพื่อนร่วมห้องของเธอ เขาได้เข้าหาเคดี้ต่อหน้านักเรียนคนอื่นๆในโรงอาหาร และถามคำถามที่เต็มไปด้วยความหมายอันสองแง่สองง่าม “Is your muffin buttered? - เธอทาเนยบนมัฟฟินหรือเปล่า?” ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า มีคนหลายคนหัวเราะคิกคักจากคำพูดนี้ของเจสัน

    ? ปัญหาต่อมาที่ถูกนำเสนอคือ ความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งที่ดูเก๋ดูเท่ นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่ Cady เริ่มวางแผนจะเข้าแก๊งพลาสติก เราจะเริ่มรู้ว่าความหมายในชื่อของภาพยนตร์ Mean Girls นั้นเป็นเรื่องของคนที่มีความเก๋ ความเท่ และดูไม่เหมือนใคร เราจะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างระหว่างวิธีที่ผู้คนในโรงเรียนปฏิบัติต่อแก๊งพลาสติก กับแก๊งของ Janis และ Damian ซึ่งเกี่ยวข้องกับความนิยมที่แตกกันของกลุ่มคนในสองแก๊ง และนี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เคดี้ชื่นชอบในการเป็นจุดสนใจของคนในโรงเรียน ซึ่งมันก็เชื่อมโยงกับชีวิตมัธยมปลายในชีวิตจริง ที่จะมีคนกลุ่มหนึ่งหรือหลายๆกลุ่ม เป็นที่นิยมและถูกพูดถึงอยู่เสมอ
    - เคดี้ต้องการที่พิสูจน์ตัวเองว่าเธอเจ๋งกว่าคนอื่น และเธอจะเริ่มคิดว่าเรจิน่าและเพื่อนๆของเธอ นั้นดูงี่เง่าและไร้สาระ ซึ่งนี่เป็นเรื่องจริงสำหรับชีวิตวัยรุ่น ที่สักครั้ง เราต้องคิดว่าเราเจ๋งสุดในแก๊งบางแหละ เคดี้ยังคงค้นพบความรู้สึกและมีจุดหมายเป็นของตัวเอง และนั่นหมายถึงการพยายามสร้างบุคลิกที่แตกต่าง แต่ก็ยังเลียนแบบเพื่อนในแก๊งของเธอไปพร้อมๆกันนั่นเอง

    ? Cady ชอบ Aaron Samuels ตั้งแต่แรกเห็น แต่เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เพราะเธอไม่เคยใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นเลยนอกจากพ่อแม่ของเธอ และเธอก็ไม่เคยเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายมาก่อน ไม่นับเรื่องที่แอรอนกับ Regina เคยเดทกัน นั่นจึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับประสบการณ์ด้านความรักของเคดี้
    - ในขณะที่วัยรุ่นจำนวนมากไม่ได้มีภูมิหลังเหมือนกับเคดี้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังคงสับสนเกี่ยวกับโลกแห่งการออกเดท เมื่อพวกเขาอยู่ในโรงเรียนมัธยม อาจเป็นเรื่องยากที่จะรู้วิธีเข้าหา รวมถึงวิธีเปลี่ยนคนที่เราชอบให้มีความสัมพันธ์ฉันแฟน แต่ช่วงเวลามัธยม ก็เป็นเวลาที่ดีในการเริ่มต้นมีความสัมพันธ์กับใครสักคน ไม่ว่าจะจบลงด้วยดี ด้วยร้าย หรือไม่จบลงและคบมาถึงปัจจุบัน แต่นั่นจะเป็นประสบการณ์ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนอื่นหรือคนปัจจุบัน ให้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน 

    ? ถ้าสังเกตดีๆ ตั้งแต่ Karen ตัวละครสุดต๊องในแก๊งพลาสติก จนถึง Damian เพื่อนชายสุดสาวของ Janis ทุกตัวละครหลักในภาพยนตร์ล้วนมีความรู้สึกกังวล (Insecure) ซึ่งเป็นประเด็นในเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตในโรงเรียนของใครหลายๆคน
    - หากขยายความในคำว่า "กังวล" ในบริบทนี้ก็จะประมาณว่า การกลัวว่าจะไม่เป็นที่รัก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ Regina ใจร้ายต่อคนรอบตัวที่สนิทกับเธอ เธอจะกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเธอเสมอ เรจิน่าสร้างแก๊งพลาสติก เพื่อที่เธอจะได้รู้สึกดี เธอสร้างบุคลิค รวมถึงภาพลักษณ์ที่ทำให้หลายคนในโรงเรียนหลงรัก แม้แต่ Cady เอง ที่ดูเหมือนเธอมีความพิเศษที่ดูเหนือกว่าใครๆ ทั้งหน้าตาและความสามารถทางคณิตศาสตร์ แต่สุดท้าย เมื่อเธอเข้าแก๊งพลาสติก เธอก็คือคนหนึ่งที่อยากเป็นจุดสนใจ ไม่มั่นคง และอยากให้คนอื่นรักเธอเช่นกัน

    ? ประเด็นการกลั่นแกล้ง (Bully) เป็นประเด็นที่พบได้ในทุกตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งเป็นผู้กระทำและถูกกระทำ โดยภาพยนตร์นำเสนอออกมาชวนหัว จนบางทีเราอาจจะลืมไปว่า มันคือประเด็นที่จริงจังขนาดไหน
    - Regina George คือตัวอย่างที่ดี ที่เราจะได้เห็นพัฒนาการความร้ายกาจของเธอตลอดเรื่อง เรจิน่าเป็นหนึ่งในตัวละครวัยรุ่นที่คนยกย่องว่าที่ใจร้ายที่สุดในวัฒนธรรมป๊อป เธอสร้างหนังสือเผาเพื่อน (Burn Book) ซึ่งเธอและเพื่อนๆในแก๊ง สามารถเขียนล้อเลียนทุกคนในโรงเรียนลงบนหนังสือเล่มนี้ได้
    - Mean Girls ทำให้ประเด็นนี้มีความชัดเจนขึ้น โดยตัวละครเรจิน่าที่มีความเป็นสาวใจร้ายตามแบบฉบับ รวมถึงเป็นควีนบีในคาบคนพาลด้วย เธอชอบที่จะได้รับความรักจากทุกคน และเธอไม่เคยคิดว่าการกระทำของเธอส่งผลกับคนอื่นอย่างไร  เธอควบคุมวิธีที่เพื่อนคิด การแต่งตัว แม้แต่การกระทำของสมาชิกภายในแก๊ง เพื่อให้ภาพลักษณ์ของแก๊งพลาสติกออกมาดูดี ซึ่งส่งผลดีกับตัวเธอยิ่งขึ้นไปอีก

    ? ในช่วงตอนท้ายๆของภาพยนตร์ หลังจากเกิดการแพร่สะพัดของความลับในหนังสือเผาเพื่อน (Burn Book) ในฉากที่นักเรียนหญิงรวมตัวกันในโรงยิม และเริ่มพูดคุยกันอย่างจริงใจและจริงใจมากขึ้นครู Norbury ต้องการให้นักเรียนบอกขอโทษซึ่งกันและกัน และเธอต้องการให้สาวๆ ตระหนักว่าพวกเธอควรมีน้ำใจต่อกันและกันมากกว่านี้ ซึ่งเราจะเห็นว่า เหล่าสาวๆล้วนรู้สึกผิด และตระหนักว่าพวกเธอคิดผิด และถึงแม้พวกเธออาจจะคิดว่าพวกเธอนั้นแตกต่าง แต่จริงๆแล้ว พวกเธอมีอะไรที่เหมือนกันมากกว่าที่ตัวเองคิดไว้ในตอนแรก สาวๆกังวลเกี่ยวกับการเป็นจึดสนใจ แต่ในความจริงแล้ว พวกเธอเพียงต้องการได้รับการชื่นชมในสิ่งที่พวกเธอเป็น

    ? Regina George มีคำพูดตลกๆมากมายในภาพยนตร์ จนมีหลายคนใช้เป็นมีม หนึ่งในคำพูดสุดตลกของเธอคือ "Is butter a carb? - เนยนี่เป็นคาร์โบไฮเดรตปะ?"
    - ภาพยนตร์ได้นำเสนอประเด็นที่เป็นปัญหามากๆของช่วงวัยรุ่น นั่นคือ ความกังวลเกี่ยวกับอาหาร ภาพลักษณ์ และรูปลักษณ์ภายนอก เรจิน่ากังวลอยู่เสมอว่าน้ำหนักเธอจะขึ้น (และดูเหมือนว่า เธอจะไม่มีความรู้เรื่องโภชนาการเลย) เธอกลัวที่จะดูไม่ดี และไม่มีใครมองเธอ ทั้งเรื่องอาหาร ภาพลักษณ์ และรูปลักษณ์ ล้วนเป็นประเด็นที่มีความสัมพันธ์กันมากๆ ที่จะทำให้เกิดความกังวล และเสียความมั่นใจได้โดยง่าย ภาพยนตร์ก็สะท้อนประเด็นนี้อย่างตรงไปตรงมา Cady หลอกเรจิน่าให้กิน Kalteen Bar เพื่อเพิ่มน้ำหนัก เพื่อให้ Aaron Samuels เลิกสนใจเธอ ซึ่งก็ดูได้ผลดีด้วย แต่สุดท้าย เมื่อทุกปัญหาคลี่คลาย ตัวละครทุกคนก็ละทิ้งอัตตา เริ่มเรียนรู้จะรักตัวเองมากขึ้น และปล่อยความกังวลเหล่านี้ออกไป

    ? การซุกซ่อนความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเอง - Cady เก่งคณิตศาสตร์ และแอบชอบ Aaron Samuels แต่เธอไม่ต้องการให้ Regina และเพื่อนในแก๊งคิดว่าเธอไม่เจ๋ง ดังนั้นเธอจึงลงเอยด้วยการซุกซ่อนความสามารถ ความหลงใหล และความสนใจ เก็บไว้ไม่ให้ใครรู้
    - ราวกับหนังชีวิต เพราะว่าวัยรุ่นจำนวนมาก รวมถึงผม ล้วน (เคย) ซ่อนสิ่งที่ตัวเองสนใจด้วยเหตุผลเดียวกับเคดี้ เป็นเรื่องยากที่จะไม่กลัวโดนถูกตัดสินจากคนรอบข้าง ด้วยสิ่งที่เราชอบบางเรื่องอาจจะดูงี่เง่าและดูไม่เจ๋ง แต่บางที สิ่งเหล่านั้นคือตัวตนของเรา เป็นสิ่งที่เราทำออกมาได้ดีและทำให้เรามีความสุข บางทีการเป็นตัวของตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่เราสนใจ มันจะทำให้เราเป็นคนที่พิเศษมากกว่าคนอื่นในวันหนึ่ง
    .

    ➡️ Gender Roles and Stereotypes : พื้นที่ของยัยตัวร้ายกับนายคนนั้น

    - สิ่งหนึ่งที่สื่อนำเสนออย่างเข้าใจผิดมากที่สุดในปัจจุบันคือเรื่อง "เพศ" ในสื่อประเภทต่างๆ เราเห็นแนวคิดมากมายเกี่ยวกับความหมายของเพศ วิถีทางเพศ รวมถึงอิทธิพลของเพศที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเรา สังคมที่เราอาศัยอยู่ในวันนี้ ทำให้เราเชื่อและระบุตัวตนของเราด้วยแบบแผนบางอย่าง  แบบแผนทางเพศ / การเหมารวมทางเพศ (Gender Stereotypes) มีมาตั้งแต่การกำเนิดอารยธรรมมนุษย์  ตัวอย่างง่ายๆที่จะอธิบายสิ่งนี้คือ ผู้ชายมักกุมอำนาจ (ปิตาธิปไตย) โดยได้รับความเป็นต่อทางชีวภาพ (ในมโนทัศน์) โดยมีร่างกายที่ใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า ในทางกลับกัน ผู้หญิง มักถูกมองว่าไม่มีอำนาจ และดูด้แยค่ากว่า เธอมีหน้าที่อยู่บ้านกับลูกๆ และทำงานบ้าน ทั้งหมดนี้เป็นอุบายเพื่อสนองกิเลสตัณหาของสามีเท่า แบบแผนเหล่านี้ยังคงถูกนำเสนอในสื่ออย่างสม่ำเสมอ ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Mean Girls ไม่เพียงแต่สื่อให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องเพศเท่านั้น แต่ยังใช้การเหมารวมหลายอย่าง ที่มีส่วนนำไปสู่ความหมายเชิงลบของสื่อในเรื่องเพศ ซึ่งมีอิทธิพลต่อชุดความคิดในกลุ่มคนดูที่ขาดวิจารณญาน

    ? การนำเสนอความเป็นเพศหญิงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างกว้างและเป็นไปตามแบบแผนเท่านั้น ในจุดเริ่มต้นของเรื่อง Cady Heron จะโดนกำหนดให้เป็นสาวหน้าใหม่ (The New Girl) โดยอัตโนมัติ และความแตกต่างของเธอ ทำให้เธอดูแปลกแยกโดยทันที เธอเป็นคนฉลาด ซึ่งหมายความตามการเหมารวมเลยคือเธอเป็นเด็กเนิร์ด ซึ่งต่อมา เคดี้เริ่มตั้งใจทำให้ตัวเองดูโง่และสอบตกวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อที่จะดูเก๋ขึ้นในสายตาคนในแก๊งพลาสติก และเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มที่เธอชอบมากขึ้น ซึ่งดูจะเป็นการด้อยค่าตัวเองไปหน่อย ซึ่งสอดคล้องกับ Regina George สาวมัธยมปลายในฝันสุดคลาสสิก เธอคือสาวผมบลอนด์ สวย โด่งดัง และได้ใจหนุ่มๆทุกคน ซึ่งตามการเหมารวมทางเพศข้อหนึ่งคือ ผู้หญิงจะรู้สึกมีเสน่ห์ ต่อเมื่อมีผู้ชายตามจีบ ซึ่งเป็นบทบาทที่ผู้หญิงมักโดนกำหนดให้กังวลเรื่องชีวิตรักโรแมนติกเท่านั้น
    - แก๊งพลาสติก นำทีมโดยเรจิน่า จอร์จ ร่วมกับสาวอีกสองคน Gretchen และ Karen แก๊งพลาสติกได้ให้แนวคิดแก่สาวๆ ว่าควรอยู่ในจุดสนใจ จึงจะเป็นที่นิยมและทุกคนจะชอบเรา ข้อความที่หนังเรื่องนี้ส่งมาคือ รูปลักษณ์และความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุข ซึ่งสร้างบรรทัดฐานในมโนทัศน์ของสาววัยรุ่นหลายๆคน ที่นำความยุ่งเหยิงมาแก่หญิงสาวเหล่านั้นในที่สุด
    - แต่สุดท้าย ภาพยนตร์ก็ได้เฉลยตอนจบที่มีความสุข โดยทำลายแบบแผนและการเหมารวมบางประเด็น นับตั้งแต่ฉากเปิดใจในโรงยิม ที่ภาพยนตร์สะท้อนคุณค่าที่แท้จริงของตัวละครหญิงแต่ละคน ผ่านคำขอโทษและความในใจ ซึ่งสุดท้ายแล้ว พวกเธอได้ค้นพบความงามที่แท้จริงจากอัตลักษณ์ที่หลบซ่อนภายในตัวเธอ และนั่นคือสิ่งที่นำพาความสุขสมหวังกลับมายังชีวิตของพวกเธอในท้ายที่สุด

    ? การนำเสนอเพศชายในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นเป็นภาพเหมารวมที่ชัดเจนอย่างที่นำเสนอในเพศหญิง เนื่องจากบทภาพยนตร์ ขาดการเน้นความสำคัญของตัวละครชาย ตัวละคร Aaron Samuels จึงเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการพูดถึง ในช่วงต้นของภาพยนตร์ แอรอนถูกมองว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เขาหล่อเหลา มีความเป็นผู้นำ เป็นนักกีฬา และเป็นที่คลั่งไคล่ของสาวๆโรงเรียนมัธยมปลาย North Shore High แอรอนตกอยู่ภายใต้ภาพเหมารวมของความเป็นชาย ที่มีความเป็นผู้นำ เข้มแข็งและมีกล้าม ขณะที่ภาพยนตร์ดำเนินไป ภาพลักษณ์ของเขาก็หมดความสำคัญลง เมื่อภาพยนตร์เข้าสู่ช่วงการแข่งเสน่ห์ระหว่าง Regina และ Cady ตัวละครแอรอนเริ่มเป็นหมาก ที่ตกอยู่ภายใต้การบังคับของผู้หญิงที่เป็นตัวละครหลักเพียงเท่านั้น การท้าทายทางภาพเหมารวมของตัวละครแอรอน เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เมื่อเขาต้องเป็นครูสอนพิเศษตามแผนการของเคดี้ ซึ่งในท้ายที่สุด เขาจับได้ว่าเธอแกล้งทำเป็นสอบตก เพื่อหาโอกาสคุยกับเขา และกล่าวหาว่าเธอนั้นไม่ต่างจากเรจิน่าเลย ซึ่งเหตุการณ์นี้ใช้แบบแผนของความเป็นชาย ทำให้สาวสวยที่กำลังป็อบที่สุดในโรงเรียน ไม่สามารถพิชิตใจผู้ชายที่หล่อเหลาที่สุดคนนี้ได้ 
    - นอกจากตัวละครแอรอนแล้ว ยังมีตัวละครหลักอีกคนที่เป็นผู้ชาย นั่นคือ Damian ชายหนุ่มที่ “TooGgay to Function - เกย์จัดจนใช้การแทบไม่ได้” ซึ่ง Janis เพื่อนสนิทได้พูดถึงเขา เดเมียนเป็นตัวละครชายที่มีสีสันมาก และเป็นแบบอย่างที่ดีของภาพเหมารวมในตัวละครชายรักชาย ด้วยความเป็นเกย์ของเขา ทำให้เขาแสดงออกมาอย่างผู้หญิง และมีแค่เพื่อนผู้หญิงเท่านั้นที่เขาเลือกคบ ดูเหมือนว่าเขาจะชอบสีชมพู และเคารพบูชาแก๊งพลาสติกเช่นเดียวกับผู้หญิงคนอื่นๆในโรงเรียน นี่คือตัวละครผู้ชายที่แสดงบทบาทของเพศหญิงโดยแท้ ซึ่งตอกย้ำทัศนคติแบบ LGBTQ+ โดยสมบูรณ์
    - โดยรวมแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้วาดภาพตัวละครชาย ให้มีความก้าวร้าวทางร่างกาย หรือมีความต้องการทางเพศ ตามแบบแผนของตัวละครชายในสื่ออื่นๆ แต่ตัวละครชายในเรื่องนี้ ได้ช่วยพัฒนาโครงเรื่องให้ถึงเป้าหมายได้โดยสมบูรณ์
    .
    ➡️ Symbols ,Allegory and Motifs : มีมเกิร์ล

    - Mean Girls เป็นภาพยนตร์ที่มีการล้อเลียนประสบการณ์ในช่วงชีวิตมัธยมปลายในประเทศอเมริกา แม้ว่าจะเล่าอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ดูเหมือนจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้น ภาพยนตร์ก็ได้สอดแทรกสัญลักษณ์สำคัญหลายชิ้น เพื่อขยายภาพความเป็นจริงให้ดูชัดเจน และให้คนดูได้เก็บประเด็นนั้นไปคิดต่อ นอกจากนี้ การปลูกฝังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันระหว่าง Cady กับวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดการตีความได้อีกมากมาย

    ? แฟชั่นของเคดี้
    - ในขณะที่เสื้อผ้าของทุกตัวละครในภาพยนตร์ Mean Girls เป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคมของพวกเขา แต่ Cady ได้เริ่มเรื่องราวของเธอด้วยกางเกงยีนส์ เสื้อยืด และเสื้อคลุมสำลีลายสก็อต เธอก็ดูเหมือนนักเรียนมัธยมปลายทั่วไปคนหนึ่ง
    - เมื่อเรื่องราวได้ดำเนินไป เธอได้ละทิ้งเดนิม เปลี่ยนเป็นกระโปรงสั้นทิ้งเสื้อยืดเชยๆ เปลี่ยนเป็นเสื้อครอป กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอเริ่มแต่งตัวเหมือน Regina ควีนบี แฟชั่นที่เธอสวมเป็นสัญลักษณ์ของส่วนหนึ่งในแก๊งพลาสติก  เหมือนเธอกำลังประกาศตัวเองว่า "เฮ้ ฉันอยู่กับพวกเธอแล้ว!" การแต่งตัวของเคดี้ เป็นตัวแทนภายนอกของสภาวะภายในของเธอ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราสามารถตัดสินหนังสือได้จากหน้าปก ตอนนี้ เธอไม่เพียงแค่เริ่มแต่งตัวเหมือนเรจิน่า แต่เธอเริ่มแสดงออกและพูดเหมือนเรจิน่าแล้วด้วย
    - "I had learned to control everyone around me - ฉันเรียนรู้วิธีควบคุมทุกคนรอบตัวฉัน" เธอบอกกับเราผ่านเสียงในหัว ก่อนเชิญ Aaron Samuels มาปาร์ตี้เล็กๆที่บ้านของเธอโดยไม่มีเรจิน่า ในขณะที่พ่อแม่ของเธอไม่อยู่ เธอบอกกับแอรอนว่า "It's just gonna be a few cool people, and you better be one of them, biotch - มีแค่คนเท่ๆ 2-3 คน เธอควรมาเป็นหนึ่งในนั้นนะ พ่อตัวดี" ด้วยคำเชิญสุดอ่อยเช่นนี้ แอรอนจะต้านทานได้อย่างไร? การควบคุมผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Aaron นั้นถอดแบบมาจากเรจิน่า จอร์จเหมือนก็อปวาง
    - เคดี้เลิกสวมเชือกผูกข้อมือที่แม่ของเธอทำให้เธอ เชือกผูกข้อมือนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงรากเหง้าของเคดี้ ก่อนจะมาเรียนที่ North Shore ซึ่งเธอเป็นเด็กที่หัวใสและใจดี และเคยภูมิใจที่ได้เชือกผูกข้อมือจากแม่ การถอดเชือกผูกข้อมือจึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่า ทัศนคติของเคดี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เธอคือพลาสติกที่หลงลืมรากเหง้าของตัวเอง

    ? สังคมของสัตว์ป่า
    - ภาพยนตร์เรื่อง Mean Girls ทิ้งฉากแฟนตาซีที่ Cady จินตนาการสังคมโดยรอบเป็นสังคมของสัตว์ในแอฟริกาไว้อยู่สามตอน ฉากหนึ่ง เธอจินตนาการเกี่ยวข้องกับแก๊งพลาสติกรุ่นใหม่ ซึ่งสุดท้ายก็ถูกรถโรงเรียนเฉี่ยวไป และอีกสองฉาก เคดี้นึกภาพตัวเองและเพื่อนร่วมโรงเรียนของเธอเป็นสังคมสัตว์ในอุดมคติ
    - การที่เคดีจินตนาการว่านักเรียนมันยมปลาย North Shore High เป็นสัตว์ป่า เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ดิ้นรนของเคดี้ เพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมของพวกเขา  พิธีกรรมของพวกเขา ที่เธอไม่ค่อยคุ้นเคย อย่างการออกไปเที่ยวและนั่งเล่นรอบๆน้ำพุในห้างสรรพสินค้า ดังนั้นเธอจึงเชื่อมโยงพวกเขากับสิ่งที่เธอรู้ดีที่สุด นั่นคืออาณาจักรของสัตว์
    - จินตนาการของ Cady ยังเป็นภาพแทนของการปฏิเสธกลุ่มคน และประเพณีของ North Shore High ซึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียนของเธอไม่ได้ออกมาดูดีในจินตนาการทั้งสอง ฉากห้างสรรพสินค้า พวกเขากลายเป็นลิง กินเห็บของกันและกัน และต่อสู้กันจนพลัดตกลงไปในน้ำพุ  ในภาพจินตนาการ เคดี้ยังมองเพื่อนในโรงเรียนนั้นมีวิวัฒนาการน้อยกว่าเธอ ฉากโรงอาหาร เคดี้นึกภาพตัวเองกำลังกระโจนใส่เรจิน่าราวกับแมวป่า เธอพยายามฉีกเรจิน่าออกเป็นชิ้นๆ ขณะที่แอรอนกำลังขู่ จนเผยฟันและน้ำลายที่แตกฟองตรงมุมปากของเขา ฉากนี้เคดี้ทำร้ายเรจิน่า เพื่อปกป้องแอรอน ราวกับว่าเขาคือเนื้อแดงชิ้นโต

    ? กติกาของแก๊งพลาสติก
    - การเป็นพลาสติกคือเรื่องยาก มีกติกามากมายที่เราต้องปฏิบัติตาม หากต้องการเป็นส่วนหนึ่งในโต๊ะอาหารกลางวันของแก๊ง เช็คลิสต์ได้เลยว่าเราจะปฏิบัติตามรายการ (ที่ยังไม่สมบูรณ์) นี้ได้หรือเปล่า?
    ▫️วันพุธเราใส่สีชมพู
    ▫️สวมยีนส์และกางเกงวอร์มเฉพาะวันศุกร์
    ▫️ห้ามใส่เสื้อกล้าม 2 วันติด
    ▫️รวบผมหางม้าได้อาทิตย์ละวัน
    - กฎและพฤตินัยเหล่านี้ในวันพุธ เป็นสัญลักษณ์ของภาพลักษณ์และความสามัคคีของแก๊งพลาสติก ซึ่งแสดงให้คนในโรงเรียนเห็นว่า พวกเธออยู่ด้วยกัน พวกเธอเป็นหนึ่งเดียว ใครไม่ปฏิบัติตาม ก็ย้ายก้นไปนั่งที่อื่นได้เลย
    - กติกาของแก๊งพลาสติก ยังเป็นสัญลักษณ์ถึงการควบคุมของ Regina เหนือ Gretchen, Karen และ Cady ในชั่วขณะหนึ่ง การปฏิบัติตามกติกาเหล่านี้หมายถึงการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และเกร็ตเช็นและแคเรนก็เต็มใจทำตามกฎโง่ๆที่เรจิน่าสร้างขึ้นมา เพราะพวกเธอยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งดาวเด่นในสังคมมัธยมปลาย
    - การที่เรจิน่าสวมกางเกงวอร์มในวันจันทร์ เพราะเธอจ่ำม้ำจนสวมกระโปรงไม่ได้แล้ว เกร็ตเช็นจึงเตือนเธอว่าวันนี้คือวันจันทร์ เรจิน่าก็หูทวนลมและพูดว่า "Those rules aren't real - กฏนั่นไม่จริงจังสักหน่อย" จุดนี้จึงเป็นการพังทลายของกติกาอันศักดิ์สิทธิ์ที่เธอได้สร้างขึ้น และทำให้สมาชิกในแก๊ง หมดความภักดีในตัวเธอ

    ? แจกันสืบเผ่าพันธุ์ของเผ่านาเบลี
    - เมื่อใดที่แจกันสืบเผ่าพันธุ์ของเผ่านาเบลีไม่เพียงแต่เป็นแจกันทั่วไปอีกต่อไป? คำตอบคือ เมื่อมันเป็นตัวแทนของชีวิต Cady ก่อนที่จะชีวิตในโรงเรียน North Shore High จะฝังกรงเล็บเข้าไปในตัวเธอไง
    - แจกันนี้เป็นสัญลักษณ์ของตัวตนดั้งเดิมที่ไม่เคยเสียหายของเธอ แต่ตอนนี้ เธอฝังไว้อย่างเป็นทางการ หรือในทางเทคนิคแล้ว เธอซ่อนมันเอาไว้ใต้อ่างล้างจาน ในตอนที่เธอจัดปาร์ตี้เล็กๆที่บ้าน (แต่สุดท้ายกลายเป็นงานใหญ่ซะงั้น) และเหตุการณ์นั้น กลายเป็นหนึ่งในคืนที่แย่ที่สุดในชีวิตของเธอ หากสังเกต ตั้งแต่เคดี้ซ่อนแจกันไว้ใต้อ่างล้างจาน ค่ำคืนของเธอก็แย่ลงเรื่อยๆ ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เธอหวัง เพื่อนสนิทของเธอก็เท และคู่ปรับตลอดกาลอย่าง Regina ก็วางแผนแก้แค้นเธอ
    - หลังจบงานปาร์ตี้ เคดี้ก็ลืมแจกันไปเสียสนิท ซึ่งเป็นการแสดงถึงความเคลื่อนไหวใต้จิตสำนึกที่บ่งบอกว่า เธอได้เปลี่ยนไปเป็นพลาสติกอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในภายหลัง แม่ของเธอก็พบว่ามันโดนซ่อนอยู่ใต้อ่างล้างจาน จึงเกิดบทสนทนาว่า
    แม่ของเคดี้ : ทำไมแจกันเผ่าของแม่ไปอยู่ใต้อ่างล้างจาน?
    เคดี้ : หนูไม่รู้
    แม่ของเคดี้ : นี่คือแจกันสืบเผ่าพันธุ์ของเผ่านาเบลี มันมีความหมายกับลูกบ้างไหม?
    เคดี้ : ไม่มี
    แม่ของเคดี้ : นี่เธอเป็นใครกัน?
    - แม่ของเคดี้รู้ว่าพวกเธอกำลังพูดถึงอะไร เคดี้ที่เธอรู้จัก (หรือในตอนนี้ คิดว่าเธอรู้) จะไม่มีวันโยนแจกันการสืบเผ่าพันธุ์ของเผ่านาเบลีลงในอ่างล้างจานแน่ๆ เคดี้ที่เธอรู้จักจะแสดงความเคารพและนึกถึงคนอื่นเสมอ แต่น่าเสียดาย ในช่วงเวลานี้ เคดี้ที่รักของเธอ ถูกซ่อนอยู่ลึกกว่าใต้ก้นแจกัน บางทีตัวตนเธออาจจะหายไปในท่อระบายน้ำนั่นแล้ว

    ? มงกุฎราชินีสปริงฟลิง (The Spring Fling Queen Tiara)
    - มงกุฎและรัดเกล้าเป็นสัญลักษณ์ของความเหนือกว่า แสดงถึงอำนาจอันสูงสุด เราจะเห็นมงกุฎได้ในหนังย้อนยุค ที่มีโครงเรื่องแสดงถึงการปกครองในอารยธรรมต่างๆ และตัวละครที่สวมคือพระราชาและราชินี
    - แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ใช่อย่างที่กล่าวมา มงกุฎราชินีสปริงฟลิง เป็นสัญลักษณ์ของความเหนือกว่าผ่านความนิยม เธอได้รับการโหวตจากเพื่อนร่วมระดับชั้นในคะแนนสูงที่สุด แต่ Cady ไม่ได้รับการโหวตเพราะเธอเก่งแคลคูลัส เธอได้มันมาเพราะเธอโด่งดังมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนอื่นคิดว่าเธอเป็นผลัก Regina ใส่รถบัส (ซึ่งเธอไม่ได้ทำ) เคดี้ได้รับตำแหน่งราชินีสปริงฟลิงเป็นความสำเร็จของการแย่งชิงจุดสนใจระหว่างเธอและเรจิน่า
    - เธอไม่ใช่แค่ราชินีสปริงฟลิง แต่เธอยังเป็นควีนบีอีกด้วย ในฉากงานพร็อม เมื่อเคดี้หักมงกุฎ คนในห้องโถงต่างใจหาย เธอปฏิเสธเครื่องสวมหัวอันแวววาว และพยายามสร้างความหมายให้กับสิ่งนี้แทนในแบบฉบับของเธอ เธอกำลังชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมสปริงฟลิงทั้งหมดนี้งี่เง่าขนาดไหน ตั้งแต่การลงคะแนน ชุดราคาแพง ไปจนถึงมงกุฎพลาสติกราคาถูก มงกุฎเป็นสิ่งที่สร้างสงครามทางชนชั้นในโรงเรียนมัธยมปลาย North Shore High และเคดี้ก็ไม่ต้องการมันอีกแล้ว
    - ขณะที่เธอโยนเศษมงกุฎให้กับหญิงสาวในห้องโถง เธอพูดว่า "I think everybody looks like royalty tonight. - ฉันคิดว่าคืนนี้ทุกคนก็ดูดีมีสกุลกันทั้งนั้น" เรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เธอตระหนักเพื่อเรียนรู้ นั่นเป็นเพราะการทะเลาะวิวาทอย่างรุนแรงระหว่างเด็กสาววัยรุ่น เรจิน่าถูกรถบัสชน ตำรวจค้นบ้านของครู Norbury เกรดคณิตศาสตร์ของเธอที่ดิ่งลงเหว เธอต้องใจร้ายกับใครหลายๆคน รวมถึงแม่ของเธอเอง และใช่ บางบทเรียนก็ยากที่จะเรียนรู้มากกว่าบทเรียนอื่นๆ แต่สิ่งสำคัญคือเราเริ่มต้นเรียนรู้บทเรียนนั้นหรือยัง
    .

    ➡️ Epilogue : บทส่งท้าย

    - โดยสรุปแล้ว เราพบว่าภาพยนตร์เรื่อง Mean Girls เป็นการสะท้อนภาพวัฒนธรรมมัธยมปลายของอเมริกาที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี เนื้อหาภายในภาพยนตร์ มีการใส่ใจในรายละเอียดในการนำเสนอ ซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้นในภาพยนตร์ประเภทเดียวกัน การพัฒนาบทเกิดจากความเข้าใจในปัญหาของวัยรุ่น จากเหตุการณ์ ปัญหา และทัศนคติที่นำเสนอ ยังคงมีความเกี่ยวข้องในสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนในปัจจุบัน มีหลายๆประเด็นได้ถูกนำเสนอ ตัวละครก็เป็นตัวแทนของกลุ่มคนต่างๆในสังคมภายในโรงเรียน ซึ่งสร้างความประทับใจให้แก่คนดูในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นในระดับมัธยม
    - แม้จะมีการผลิตซ้ำในอีกหลายๆเวอชั่นในเวลาต่อมา ก็ไม่อาจนำเสนอและสะท้อนประเด็นได้ครบเครื่องและสนุกเท่ากับฉบับนี้ ด้วยการเขียนบทอย่างชาญฉลาดของ Tina Fey และการแสดงที่ยอดเยี่ยมจากนักแสดงระดับแนวหน้า ภาพยนตร์เรื่อง Mean Girls สามารถก้าวข้ามบรรทัดฐานของภาพยนตร์ประเภทเดียวกันได้ มันได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่แม้แต่ผู้ชายหลายคนก็ยังยอมรับว่าพวกเขาดูได้สนุกและมีส่วนร่วมกับมันได้ง่าย จึงเป็นเหตุผลที่ดี ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกพูดถึงมาจวบจนปัจจุบัน ทั้งในแง่เรื่องราว ในแง่ประเด็น หรือในแง่สื่อที่โด่งดังในวัฒนธรรมป๊อบ ทำให้เมื่อเราหยิบภาพยนตร์เรื่องนี้มารับรับชมอีกกี่ที มันก็จะรู้สึกคุ้มค่าทุกครั้งที่ได้ดู

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in