Fic: 魔道祖师
Rate: 15
Paring: วั่งเซี่ยน
เมื่อยามราตรีมาถึงนั่นคือช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย
เสียงไซเรนรถตำรวจที่ดังไปทั่วท้องถนนของเมืองหลวงประเทศ C ไม่ได้ทำให้ผู้คนแตกตื่นสักเท่าไรแต่รอบด้านของคฤหาสน์สกุลโม่ที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองกลับไม่ใช่
สกุลโม่นั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นเศรษฐีใหม่ที่ได้เชิดหน้าชูตาจากการเกาะชายกางเกงของประมุขสกุลจินจินกวงซาน ราชาแห่งการเดินเรือผู้โด่งดังด้านชื่อเสียของประเทศ
โปรดอย่าเข้าใจผิดคำพูดข้างต้นนี้มิได้มีเจตนาชื่นชมแต่อย่างใด
“สารวัตรหลานคุณมาได้เวลาพอดีเลยครับ พอดีร่างของเหยื่อมัน...”นายตำรวจที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ถูกเรียกมาก่อนหน้านี้เข้าประชิดตัวชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทที่มีตราตำรวจและซองปืนเหน็บไว้ที่เอว กระซิบกระซาบเรื่องรายละเอียดคดีเงียบๆระหว่างเดินไปภายในคฤหาสน์หรูหราที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร
ชายคนนั้นมีใบหน้าหล่อเหลารูปร่างสูงโปร่งสง่างาม ดวงตาสีอำพันคมกริบกวาดมองไปยังฝูงชนทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางประการแต่เมื่อไม่เห็นสิ่งใดก็หันกลับมาตั้งใจฟังต่อเงียบๆ
ในขณะเดียวกันนั้นเองบนดาดฟ้าของอาคารสูงที่ห่างไปสามบล็อกมีชายหนุ่มคนหนึ่งฉีกยิ้มกว้างอย่างถูกใจและดูสนุกสนาน ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งคู่นั้นที่เปลี่ยนจากสีทับทิมกลับมาเป็นสีเทาหม่นเช่นเดิมเปล่งประกายระยิบระยับ ริมฝีปากบนใบหน้าหล่อเหลาติดหวานฉีกยิ้มกว้างเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นบนชั้นวางและอยากได้จนตัวสั่น
เขาสวมชุดรัดกุมสีเข้มทั้งเสื้อยืดคอวีสีดำไร้ลวดลาย สกินนี่ยีนส์ขาดๆสีซีดและโอเวอร์โค้ทหนังสีดำมีฮู้ดยาวถึงเข่า เขาสวมบู้ทที่เหมือนกับของที่พวกทหารใช้กันมากกว่ารองเท้าแฟชั่นแต่ในมือนั้นกลับควงขลุ่ยสีดำประดับพู่ไหมสีแดงก่ำและหยกสีเขียวสดโดยไม่กลัวว่ามันจะร่วงลงไปข้างล่างแต่อย่างใด แถมตอนนี้เจ้าตัวยังเย้ยฟ้าท้าลมด้วยการยืนอยู่บนขอบปูนเล็กๆบนดาดฟ้าโดยไม่กลัวตกอีกต่างหาก
“ยอดเยี่ยม!
“เรื่องนั้นเวินหนิงเกรงว่าจะไม่เหมาะ”
“รู้แล้วน่ะ”
“ไปกันเถอะ วันนี้ฉันมีนัดกับอาจารย์หญิงเสียด้วยสิ”
-------------------------------------------------------------
“ช้า!”
“เมตตาผมด้วยเถอะคร้าบ”
“งานเป็นไงบ้าง รายงานมาซิ” หล่อนเดินไปนั่งไขว่ห้างหลังโต๊ะทำงานไม้ใหญ่โตด้วยมาดราวราชินี ส่วนทางด้านเจ้าคนที่หล่อนค่อนขอดเสมอว่าทั้งเหยาะแหยะและไม่มีวินัยนั้นเอามือไพล่หลังและยืนกางขาออกเล็กน้อยอย่างมั่นคง รายงานเสียงดังฟังชัด
“ยืนยันภารกิจ สมาชิกทั้งสกุลโม่ทั้งหมดไม่มีชีวิตรอดเลยแม้แต่คนเดียวครับ” เว่ยอู๋เซี่ยนยิ้มเล่นปอยผมที่ร่วงลงมาจากมวยผมที่ตนเองรวบไว้ครึ่งศีรษะ สิ่งที่ใช้แทนปิ่นกับเป็นวัตถุยาวเรียวที่มีรูปลักษณ์คล้ายดาบเล่มหนึ่ง “ผมกับเวินหนิงพยายามไล่ตามแล้วแต่เจ้านั่นไวกว่าที่คิด เฮ้อ ทำไมทางกองต้องให้ผมทำงานนี้คนเดียวด้วยนะ...”
เมื่อท่าทางเป็นการเป็นงานเปลี่ยนเป็นเหลาะแหละอวี๋ฟูเหรินพลันปาปากกาใส่ด้วยความหมั่นไส้อย่างสุดซึ้งซึ่งแน่นอนว่าเจ้าศิษย์ตัวแสบของนางคนนี้ย่อมหลบได้อย่างง่ายดาย
“ภาษิตว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอคือผู้ฝึกวิถีมารเพียงหนึ่งเดียวของกองกำลังลับแล้วจะเป็นใครได้อีก!”
“เอาเหอะๆ อาจารย์หญิงคนดี ศิษย์น้อยๆคนนี้ของอาจารย์หิวจนไส้จะขาดแล้ว ไปกินข้าวกันน้า~”
เพียงพริบตาเดียวคนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานพลันหายไปอยู่ด้านหลังเก้าอี้หนัง สองมือบีบนวดไหล่บางทั้งยังบีบเสียงเล็กเสียงน้อยประจบประแจงเจ๊ใหญ่บ้านสกุลเจียงอย่างน่าเตะเป็นที่สุดแถมยังแหย่จนอวี๋จื่อเยวียนโวยวายได้สำเร็จ บางทีก็ให้รู้สึกว่าเจ้าเด็กบ้านี่ถ้าไม่ทำให้เธอโกรธให้ได้คงนอนไม่หลับ
ภาพเว่ยอู๋เซี่ยนถูกอวี๋ฟูเหรินดึงหูถูลู่ถูกังออกมาจากห้องทำงานส่วนตัวบุวัสดุกันเสียงอย่างดีของเธอเป็นภาพที่คนในคฤหาสน์สกุลเจียงคุ้นตาเป็นอย่างดีจนไม่มีใครคิดเป็นอื่น นอกจากนี้สมัยคุณชายเว่ยคนนี้ยังเด็กเขายังถูกนายหญิงของบ้านเลี้ยงดูด้วยหมัดเท้าเข่าศอกจนเนื้อตัวฟกช้ำไปไม่น้อย
“เสี่ยวเยวียน”
“คุณลุงเจียง”
“อาเซี่ยนพักนี้ไม่ได้เจอเลยนะ อาเฉิงเองก็บอกว่าไม่ค่อยเห็นเธอที่มหาลัยเหมือนกัน”
“พอดีทำเรื่องจบไว้เรียบร้อยแล้วน่ะครับเลยมีเวลาไปยุ่งเรื่องอื่นได้ ทางด้านอาเฉิงเองก็คงยุ่งไม่เบาสินะครับ?”
“ใช่ รายนั้นน่ะบ่นเป็นหมีกินผึ้งทุกวันเลยล่ะว่ามีแต่งาน” เขายิ้มและดึงมือขาวของภรรยาไปทางบันได เมินเรื่องอื่นที่หลานชายเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ “ถ้าอย่างนั้นเธอทำตัวตามสบายนะ ลุงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ชายหนุ่มรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา เอาขาพาดพนักวางแขนอย่างไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นักแถมยังเอาหมอนอิงมาปิดหน้าตัวเองกะงีบเอาแรงสักพักด้วย น่าเสียดายที่ในจังหวะที่กำลังจะเคลิ้มหลับนั่นเองกลับโดนเสียงแปดหลอดปลุกจนสร่างเสียก่อน
“เว่ย อู๋ เซี่ยน!นายหายหัวไปไหนมาหะ!!!”
“โอ๊ย สวรรค์ อาเฉิงคนดี นายอย่าทำแบบนี้กับพี่ชายได้ไหม” เขาโอดครวญเมื่อถูกเจียงเฉิงลูกชายเพียงคนเดียวของเจียงเฟิงเหมียนและอาจารย์หญิงอวี๋จื่อเยวียนกระชากคอเสื้อและเขย่า “ฉันทำเรื่องจบอะไรเรียบร้อยแล้วเหลือแค่รับปริญญาเท่านั้นเอง”
เจียงเฉิงขมวดคิ้ว พึมพำเสียงค่อย
ชายหนุ่มเพียงแค่แบมือทั้งสองข้างเสมอไหล่เป็นคำตอบ ทั้งบ้านนี้มีเพียงแค่อาจารย์หญิงเท่านั้นที่รู้ว่างานจริงๆของเขาคืออะไร ส่วนคนอื่นๆนั้นก็แค่เห็นว่าเขาเป็นทหารเหมือนอาจารย์หญิงที่ปลดประจำการแล้วเท่านั้นเอง
เมื่อเจียงเฉิงเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะและปล่อยให้อีกฝ่ายลงไปนอนกับโซฟาแต่โดยดี ยึกยักไปมาสักครู่ก็ถามคล้ายเกริ่นไปหาเรื่องบางอย่าง
“...ถ้าเกิดมีผู้ชายคนนึงมาทำดีกับนายนายจะคิดว่ายังไง?”
“ต้องดูก่อนว่าทำดีนี่ดีในแง่ไหน”
“ไอ้บ้านี่!”
------------------------------------------------------
หลังจากกินมื้อเย็นที่คฤหาสน์สกุลเจียงเสร็จเว่ยอิงก็กลับคอนโดของตัวเองที่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมืองที่หรูหราไม่แพ้กัน แต่ไม่คิดว่าทันทีที่เปิดประตูเข้ามาจะเจออะไรแบบนี้เข้า
ภายในห้องชุดสุดหรูที่มีผู้พักอาศัยอยู่แค่คนเดียวกลับมีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งรอเจ้าของห้องอยู่ เขายังคงสวมสูทสีเข้มเช่นเดิมดวงตาคมกริบสีอ่อนมองเจ้าของห้องนิ่งในขณะที่ผมสีดำตัดสั้นดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยแต่กับเสริมให้เขาดูดิบเถื่อนมากยิ่งขึ้น ใบหน้าหล่อเหลามองตามการกระทำของเว่ยอู๋เซี่ยนเหมือนนายพรานจับจ้องเหยื่อ
“อุ๊ย พี่รองหลานแอบเข้าห้องเค้าแบบนี้คิดจะทำมิดีมิร้ายเค้าใช่ไหม ลามกที่สุดเลย~”
“เว่ยอิง อย่าแรด”
“แค่ก ก็ได้ๆ ตกลงดึกดื่นป่านนี้พี่มานี่มีอะไรล่ะ” เขายักไหล่น้อยๆ ถอดรองเท้าเหวี่ยงไว้ด้านหนึ่งลวกๆ เสื้อโค้ทเองก็แขวนไว้ที่ราว “
“...วันนี้มีคดีทีบ้านสกุลโม่ เหยื่อตัวแห้งเหมือนถูกสูบเลือดเนื้อออกไปจนหมด” หลานวั่งจีนำรูปภาพจากสถานที่เกิดเหตุออกมาวางบนโต๊ะให้เจ้าของห้องดูที่ละภาพ แต่ละภาพดูสยดสยองยิ่งกว่าภาพจากหนังสยองขวัญเกรด B เสียอีก “
เว่ยอู๋เซี่ยนยิ้มหวานพร้อมทั้งหัวเราะเบาๆไม่สะทกสะท้านกับสายตาคมกริบนั่นแม้แต่น้อย “พี่รองหลานนี่พูดอะไรแปลกๆ ทำไมฉันต้องไปที่อะไรแบบนั้นด้วยล่ะ”
“เพราะนายน่าสงสัย”
“ไม่เอาน่าพี่รอง เรื่องมันตั้งนานขนาดนั้นแล้วแถมคนทำก็ไม่ใช่ฉันสักหน่อย พี่เลิกคิดจะยัดฉันเข้าซังเตสักทีเถอะ” เว่ยอิงโบกมือ เขาพูดถึงคดีที่เป็นต้นเหตุให้เขาและหลานวั่งจีได้พบเป็นครั้งแรกและเป็นจุดเริ่มต้นของการไล่ล่าแบบกัดไม่ปล่อยเหมือนหมาบ้านี่
“จนกว่าจะจับนายได้ฉันจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจ”
“บ๊ายบายยย คืนนี้ฝันถึงเค้าด้วยนะคะสามี จุ๊บๆๆ”
“...”
หลานวั่งจีปิดประตูทิ้งท้ายดังสนั่นจนแทบได้ยินไปทั้งชั้น ห้องเจ้าตัวเองก็อยู่ตรงข้ามห้องเขานี่เองไม่ได้ไกลอะไรเท่าไหร่นัก เว่ยอู๋เซี่ยนยิ้มหวาน เผลอยกมือขึ้นมากัดเล็บตามความเคยชินอย่างอดไม่ได้
“แย่แล้ว แย่จริงๆ เวินหนิง ฉันอยากได้เขา!” เขาลุกจากโซฟาและย่ำเท้าไปมาเหมือนเด็กเอาแต่ใจในขณะที่เจ้าของชื่อนั้นปรากฎตัวออกมาจากเงามืด ยกแก้วน้ำบนโต๊ะไปเก็บล้างพร้อมตอบอย่างนอบน้อมเช่นเดิม
“เวินหนิงเกรงว่าจะไม่เหมาะ”
“ไม่เหมาะไม่ได้! ของที่ฉันอยากได้ก็ต้องได้ ในเมื่อฉันอยากได้ หมอนั้นก็ต้องเป็นของฉัน!”
คุณชายช่วยลดเสียงลงหน่อยได้หรือไม่... ถึงห้องนี้จะเก็บเสียงอย่างดีแต่ก็ใช่ว่าคุณชายควรจะกระโดดโลดเต้นแบบนี้นะขอรับ
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเขาก็นานแล้วเหมือนกันนะขอรับ คุณชายรองหลานผู้นั้น” เวินหนิงที่ถอดเสื้อโค้ทตัวโตออกจนเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงพูดขณะชงชาอวิ๋นซานอิ๋นเจิน(ชาเข็มเงินจวินซาน)ตามพิธีชงชาแบบโบราณ
เวินหนิงเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งให้ถูกคือเป็น ‘ศพ’
“ใช่ แต่พอมีคดีอะไรแปลกๆหมอนั่นก็เอาแต่พุ่งเป้ามาที่ฉันทุกที น่าเบื่อ”
เวินหนิงไม่ได้พูดอะไรอีกเขาก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดบ้านช้าๆ จนกระทั่งผู้เป็นนายเข้านอนไปแล้วตนเองถึงได้นั่งบนโซฟาเงียบๆเปลือกตาปิดลงและเปิดประสาทสัมผัสการฟัง ขยายไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเก็บลายละเอียดทุกสิ่ง
เวินหนิงทำเช่นนั้นต่อไปจนถึงเช้า...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in