Fic:
บิดามารดาบุญธรรมสิ้นชีพพี่สาวหายสาบสูญ น้องชายมิรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรส่วนตนเองนั้นถูกถีบลงไปในหุบเหวมรณะล่วนจั้งกั่ง แม้นมิตายกลับเหมือนตายทั้งเป็น
สวรรค์เอ๋ย หากเจ้ากำหนดให้สกุลเวินปกครองใต้หล้าแล้วไซร้เช่นนั้นก็มาดูกัน
ข้าเว่ยอู๋เซี่ยนจักทำลายสกุลเวินให้สิ้นซาก! ใช้เสียงกรีดร้องของพวกมันดั่งบทเพลงสวดส่งวิญญาให้พวกมันเห็นญาติพี่น้องตนมุ่งหมายเอาชีวิตตนเอง
รอเถิดสักวันข้าจักทำหลายลิขิตสวรรค์!!!
----------------------------------------------------------
สกุลเวินแห่งฉีซานคิดการใหญ่ยกตนเป็นผู้นำเหล่าเซียนทั่วใต้หล้า เมื่อมีผู้ลุกขึ้นขัดขืนย่อมมีการเชือดไก่ให้ลิงดู
ผลคือสกุลเจียงล่มสลายภายในหนึ่งคืน ประมุขเจียง เจียงเฟิงเหมี่ยนและอวี๋ฟู่เหรินสิ้นชีวิตจากการปกป้องสำนัก บุตรชายเพียงคนเดียวหายสาบสูญ บุตรีไม่รู้ชะตากรรม ส่วนบุตรชายบุญธรรมนั้นไม่มีผู้ใดรู้เห็นว่าเป็นเช่นไร
ทว่าการเวลาเดินผ่านไหลไปไม่เคยหยุดนิ่ง ผู้คนเพียงจดจำว่าครั้งหนึ่ง อวิ๋นเมิ่งเคยมีสกุลผู้ฝึกวิชาเซียนผู้ยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยเมตตาสกุลหนึ่งเท่านั้นในขณะที่สกุลเวินยังคงสร้างความวุ่นวายในใต้หล้าต่อไปไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเริ่มมีข่าวลือบางประการแพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน
สกุลเวินก่อกรรมทำเข็ญสังหารผู้คนไม่เลือกหน้า วิญญาณพยาบาตล้วนติดตามหมายคร่าสังหารคนสกุลเวินไม่ละเว้นแม้แต่ผู้เดียว
หลานวั่งจีและศิษย์สกุลหลานที่ร่วมกลุ่มกันลาดตระเวนช่วยเหลือผู้ฝึกวิชาเซียนทั่วแผ่นดินพลันขมวดคิ้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ยินมาว่าสถานที่พำนักของสุนัขสกุลเวินถูกล่าสังหารจนสิ้นภายในหนึ่งคืนไม่คาดว่าจะมีข่าวลือเช่นนี้ออกมาด้วย
“รีบไป”
มันคงไม่แปลกเท่าไหร่บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเช่นนี้ทว่าดวงตาสีอ่อนนั้นกลับเบิกกว้างและเร่งฝีเท้าไล่ตามร่างเงานั้นไปทันทีหวังเพียงว่าตนเองจะมองไม่ผิดก็เท่านั้น น่าเสียดายที่ผู้ที่เขาคว้าตัวได้กลับเป็นบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งหลานวั่งจีจึงได้แต่ก้มศีรษะขออภัยและออกเดินทางต่อเท่านั้น
ภายใต้เงามืดของตรอกเล็กๆตรอกหนึ่ง บุรุษรูปงามสวมอาภรณ์สีดำลวดลายแดงจ้องมองหลานวั่งจีด้วยสายตานิ่งสงบจนกระทั่งก้อนแป้งน้อยในอ้อมอกส่งเสียงร้องอ้อแอออกมาคำหนึ่ง ดวงตาที่เย็นเยียบพลันอ่อนละมุนลงในทันใด
“หิวแล้วหรือเจ้าตัวน้อยไปเถิด ไปหาอะไรให้เจ้ากินกัน”
คนผู้นั้นขับขานบทเพลงขับกล่อมเด็กทารกในอ้อมแขนเบาๆจนทารกน้อยสงบลง ทั้งสองกลืนหายไปในฝูงชนอย่างง่ายดายในขณะที่บางสิ่งบางอย่างกลับสะดุดตาผู้พบเห็นคนผู้นั้นยิ่งนัก
มันคือขลุ่ยเลาหนึ่งที่ห้อยพู่หยกประดับสีเขียวเข้มงดงามทว่าน่าสะพรึงกลัวในอ้อมอกของทารกน้อย
วันเวลาผ่านไป หลานซีเฉินได้ช่วยเหลือและร่วมเดินทางไปกับเจียงเฉิงแห่งอวิ๋นเมิ่งไว้จากเงื้อมือของสุนัขสกุลเวิน สกุลเจียงไม่สิ้นไร้ไม้ตอกอีกต่อไปเมื่อเจ้าสำนักคนใหม่รวบรวมคนหนุ่มมากมายก่อตั้งสำนักเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งขึ้นมาอีกครั้ง ดังคำที่ว่ากลียุคก่อกำเนิดวีรบุรุษยามนี้สกุลเจียงแห่งอวิ๋นเมิ่งนับว่าเต็มไปด้วยวีรบุรุษอย่างแท้จริง
แต่ถึงอย่างนั้นเจียงเยี่ยนหลี่และเว่ยอู๋เซี่ยน ยังคงหายสาบสูญ
ยามคำคืนอันเงียบสงัดพลัดปรากฏเสียงฮัมเพลงเสียงหนึ่งจากบนหลังคาเรือน ชายหนุ่มรูปขัดสมาธิ บนตักคือก้อนแป้งน้อยที่คว้าจับพู่ไหมสีแดงสดอย่างสนุกสนาน
“อาเยวี่ยนซุกซนจริงๆเฉินฉิงของข้าเปื้อนน้ำลายเจ้าไปหมดแล้ว”
เขาคลี่ยิ้มบางก่อนจะจรดริมฝีปากเป่าบทเพลงออกมาเพลงหนึ่งทำให้ยามราตรีอันเงียบสงัดนี้ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป
เสียงเพลงนั้นทำให้ซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดเต็มพื้นลุกขึ้นช้าๆและพุ่งเข้าหาเป้าหมายตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง เสียงกรีดร้องจากเหล่าผู้คนที่สวมชุดสกุลเวินประหนึ่งเสียงทิพย์อันล้ำค่า สิ่งที่พวกมันมองเห็นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่ชีวิตจะถูกพรากไปเพราะคมเขี้ยวของสหายร่วมสกุลนับว่าแปลกประหลาดไม่เบา
มันคือบุรุษรูปงามนัยน์ตาสีแดงก่ำดุจโลหิตที่กำลังบรรเลงเพลงขลุ่ยราวกับรอบกายนั้นคือสวนสวยหาใช่สถานที่ที่เต็มไปด้วยซากศพไม่
ดวงตาคู่นั้นมองพวกมันราวกับมันคือฝุ่นผงไร้ค่าเป็นเพียงก้อนเนื้อเดินได้ก้อนหนึ่ง
----------------------------------------------------------
ฉงหยางถูกใช้เป็นที่ตั้งของกองกำลังลับสกุลเจียงและสกุลหลานยึดครองฉงหยางใช้เป็นฐานทัพโจมตีสกุลเวินในเงามืดทำให้เวินเฉาโมโหยิ่งนัก ผู้อื่นอยู่ในเงามืดแต่ตนเองกลับอยู่ในที่สว่างราวกับจะตอกหน้าว่าสุริยันแล้วอย่างไร? ถึงอย่างไรภายใต้สุริยันล้วนเกิดเงามืด นี่คือสัจธรรมของใต้หล้า
ข่าวดีคือเจียงเยี่ยนหลี่ปลอดภัยดีภายใต้การคุ้มครองของสกุลหลาน เมื่อเจียงเฉิงได้พบพี่สาวเพียงคนเดียวก็ให้ยินดียิ่งนัก
ทว่า เว่ยอู๋เซี่ยนยังคงหายสาบสูญ
และในขณะเดียวกันการพบกันของพี่น้องกลับถูกหนอนแมลงสกุลเวินพบเข้า ยามเมื่อพลุสัญญาณสกุลเวินส่องสว่างบนฟากฟ้า นั่นคือจุดเริ่มต้นของสงคราม
เจียงเฉิงจำต้องเฝ้ามองสุนัขสกุลเวินเข่นฆ่าศิษย์ในสำนักตนอย่างเลือดเย็นอีกครั้ง จื่อเตี้ยนโบกสะบัดสังหารผู้คนไม่หยุดเช่นเดียวกับสายกู่ฉินที่ถูกหลานวั่งจีใช้แทนอาวุธสังหารบรรเลงบทเพลงมรณะจนปลายนิ้วยับเยิน จนกระทั่งเวินเฉาประกาศข่าวอันน่าตกตะลึงคุณชายรองสกุลหลานพลันขาดสติอย่างหาได้ยากยิ่ง
“เว่ยอิง...อยู่ที่ใด!”หลานวั่งจีจับกู่ฉินใช้ค่ำยันร่างกัดฟันถามด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดดุดัน
“ขาโยนมันลงไปในล่วนจั้งกั่งได้หลายเดือนแล้วตอนนี้แม้แต่กระดูกก็คงไม่เหลือแล้ว”
หลานวั่งจีระเบิดโทสะสายกู่ฉินที่เหลือใช้งานได้ขาดวิ่นจากการปะทะพลังกับเวินจู๋หลิวพวกเขาทำได้แค่เฝ้ารอความตายเท่านั้น
แต่ฝูงกาที่โผบินจนท้องฟ้ามือทะมึนและเสียงขลุ่ยแหลมเล็กที่ดังแหวกอากาศ ปลุกชีพศพไร้ชีวิตให้ลุกขึ้นวิ่งเข้าใส่สุนัขสกุลเวินและฉีกกระชากพวกมันเป็นชิ้นๆทำให้พวกมันไม่มีโอกาสแม้แต่จะขัดขืนผู้ที่เป่าขลุ่ยนั้นอยู่ไกลลิบตา ที่เคียงข้างกันนั้นปรากฏเงาร่างสะโอดสะองของสตรีที่โอบอุ้มบางสิ่งไว้
“เวินเฉาได้พบกันอีกแล้วนะ”
คนผู้นั้นเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มสตรีข้างกายนั้นแท้จริงคือผีดิบโฉมงามนางหนึ่งโอบอุ้มห่อผ้าบางอย่างไว้อย่างทะนุถนอม
“ฮวาตานโฉ่วเจ้าคิดจริงๆหรือว่าจะปกป้องไอ้ลูกหมานั่นจากข้าได้?”
“ถึงตายก็ได้ลอง”
สิ้นคำเวินจู๋หลิวพลันพุ่งเข้าหาร่างเงานั้นทันทีในขณะที่ผีดิบสาวขยับกายไปด้านข้าง ดวงตาสีโลหิตสว่างวาบก่อนจะสะบัดไอมารจับกุมสุนัขรับใช้สกุลเวินไว้แน่นเพียงพริบตาเดียวนั้น แขนที่เวินจู๋หลิวภาคภูมิใจพลันถูกบดขยี้ร่างกายถูกผีดิบฉีกกระชากจนยับเยิน ทางด้านเวินเฉานั้นคนผู้นั้นส่งชู้รักของมันไปไล่เข่นฆ่าก่อนจะฉีกกระชากมันเป็นชิ้นๆอย่างไร้ปราณีท่ามกลางเสียงห้ามปรามของหลานวั่งจีที่ส่งไปไม่ถึง
“เว่ยอิงการฝึกวิชามารย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีข้อยกเว้น!”
“ไม่ว่าแพงแค่ไหนข้าก็พร้อมที่จะจ่าย”
การเผชิญหน้าระหว่างคนสองคนคล้ายจุดเริ่มต้นของการขัดแย้งเมื่อคนหนึ่งพยายามชี้แนะอีกคนกลับไม่สนใจแม้แต่จะฟัง จนเมื่อเว่ยอู่เซี่ยนหลุดประโยคหนึ่งออกมาทำให้ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้างและเต็มเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า เขาได้แต่ร้องขอเสียงอ่อนจาง
“เว่ยอิงกลับกูซูกับข้าเถอะ...”
“กลับกูซู? เจ้า…!”
ยังไม่ทันที่เว่ยอู๋เซี่ยนจะได้ตวาดกล่าวคำใดออกมา เสียงแหลมเล็กพลันดังมาจากห่อผ้าที่ผีดิบสาวโอบประคองอยู่ทำให้ชายหนุ่มที่ทั้งร่างเปี่ยมด้วยจิตมารเร่งเก็บกลับแทบไม่ทันเขาเร่งถลาไปที่ผีดิบสาวนางนั้นและรับห่อผ้านั้นมากอดพลางโยกตัวไปมาช้าๆจนเสียงร้องงอแงของเด็กทารกนั้นเงียบสงบลง
“...เราไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”
เมื่อเหล่าผีดิบไร้การควบคุมจากจิตมารก็กลับเป็นเพียงศพธรรมดาๆ ยามนี้เว่ยอู๋เซี่ยนหลานวั่งจีและเจียงเฉิงอาศัยบ้านร้างน้อยหลังหนึ่งเป็นสถานที่พำนักชายหนุ่มอีกสองคนเองก็ได้แต่มองเว่ยอู๋เซี่ยนดูแลเด็กทารกเปลี่ยนผ้าอ้อมป้อนนมอย่างคล้องแคล่วผิดกับที่คิดไว้มากนัก อีกทั้งยังหยอกล้อจนเด็กน้อยหัวเราะเอิ้กอ้ากสนุกสนาน
“เว่ยอู๋เซี่ยนเด็กนั่นคือบุตรเจ้า?”
“...อาเยวี่ยนเป็นเด็กทารกสกุลเวินที่ถูกคนสกุลเวินสังหาร”
หลังจากพูดจบทั้งสามกลับเงียบเสียงลงเว่ยอู๋เซี่ยนคล้ายตัดสินใจบางสิ่งได้จึงหันไปหาหลานวั่งจี เอ่ยด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“หลานจ้านข้าจะกลับกูซูกับเจ้า ขอเพียง...อาเยวี่ยนปลอดภัยก็พอ”
-----------------------------------------------------
เมื่อเช่อรื่อจบลงทุกสิ่งคล้ายกลับเข้าสู่ครรลองเดิมของมัน ผู้ที่ควรฝึกวิชาก็ฝึกวิชาผู้ที่ควรเย่เลี่ยก็เย่เลี่ย ผู้ที่ควรเกี้ยวพาคนก็เกี้ยวพา
ส่วนเว่ยอู๋เซี่ยนไม่เพียงต้องพำนักอยู่ที่กูซูเขายังต้องเลี้ยงดูอาเยวี่ยนที่โตวันโตคืนและคอยสอนสั่งศิษย์สกุลหลานในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการประดิษฐ์พลิกแพลงอุปกรณ์เซียนด้วยเช่นกัน
“เซี่ยนเกอเกอ”
“อาเยวี่ยนเย่เลี่ยครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ชายหนุ่มอ้าแขนรับเด็กน้อยที่ตนโอบอุ้มพาท่องยุทธภพตั้งแต่ยังเป็นก้อนแป้งเข้ามากอด เบื้องหลังที่เดินตามมานั้นคือหลานวั่งจีที่คอยควบคุมดูแลการเย่เลี่ยของเหล่าศิษย์น้อยทั้งหลายชายหนุ่มนั่งลงข้างเว่ยอู่เซี่ยน รินชาให้ตนเองและจิบเงียบๆ
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยดังคลอไปกับเสียงหยอกล้อของบุรุษชุดดำผู้ฝึกวิชามารเพียงหนึ่งเดียวในกูซูโดยมีคุณชายรองแซ่หลานทอดสายตามองด้วยสายตาอ่อนโยนอยู่ไม่ไกล เสียงลมหวีดหวิวดังคลอไปกับกู่ฉินพร้อมเสียงชี้แนะจากหลานวั่งจีที่ค่อยๆจับมือเล็กดีดทีละเส้น
เว่ยอู๋เซี่ยนพลันรู้สึกว่าตนเองได้กลับบ้านจริงๆเสียที...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in