(1)
จากนาทีที่ฉันบอกเขาว่ายินดีรับฟังทุกเรื่องราวที่เขาจะเล่าแม้ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเท่าใดก็ตาม จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ ฉันอยู่กับเขา แต่ระหว่างเรากลับยังไม่มีเรื่องราวใดๆ ที่ได้เล่าสู่กันฟัง
“เราอยู่ด้วยกันทั้งคืนก็ได้...”
ไม่รู้เลยว่าอะไรดลใจให้ฉันพูดไปอย่างนั้นและตัดสินใจทำอย่างที่ทำอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็เกิดขึ้นแล้วและย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีก...
ฉันเอนกายราบอยู่แทบเบาะหลังของรถอิงศีรษะกับประตูด้านหนึ่งที่ปิดอยู่ หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบหายใจไม่ทัน ในขณะเจ้าของร่างชุ่มเหงื่อซึ่งเพิ่งถอดเสื้อแจ็คเก็ตและเชิ้ตที่สวมอยู่พ้นไปจากตัวค่อย ๆ โน้มตัวลงมาหา
สัมผัสของเขาทำให้ฉันสะดุ้งเฮือก
“เบาๆ หน่อย...”
รู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นพร่าและแผ่วเบาจนไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินหรือไม่
ในความเงียบที่อยู่รอบตัวเราและในเงามืดที่พรางเราสองคนไว้ไม่ให้ใครมองเห็น เสียงของฉันดูเหมือนจะดังพอที่เขาจะได้ยินและตอบรับอยู่ในลำคอ
แม้จะรับรู้แต่เขาก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น... ฉันรับรู้ได้ถึงน้ำหนักจากที่กดลงมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเสียวแปลบก็แล่นไล่ขึ้นมาตามขา ตามด้วยความรู้สึกเจ็บที่ฉันไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้และความรู้สึกเสียดแน่นที่ท้องซึ่งทำให้พูดอะไรแทบไม่ออก
“เจ็บ...”
“ทนอีกหน่อย...”เขากระซิบ “เดี๋ยวก็จะดีขึ้น”
ฉันพยักหน้ารับเชื่อว่าเขาพูดความจริง เพราะสิ่งที่เคยรับรู้และได้ยินมาตามประสบการณ์ของใครหลายคนเป็นอย่างนั้น
ฉันขบริมฝีปากไม่ให้เผลอร้องออกมาจิกปลายนิ้วกับเบาะแน่น น้ำตาเริ่มปริ่มขอบตา... พยายามทน แต่ก็ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ
“หยุดก่อน...พอแล้ว...”
คำอุทธรณ์ของฉันทำให้เขาต้องหยุดมือยืดตัวขึ้น ระบายลมหายใจยาวก่อนดึงชายเสื้อยืดที่สวมอยู่ขึ้นเช็ดเหงื่อที่หยดลงมาตามใบหน้าออก
“หยุดแล้ว ตะคริวแกจะหายไหมล่ะ พอเจ็บก็เข็ดแล้วเลิก พอไปทำอีก เจ็บอีกก็เลิกอีก ไม่ถูกนะ ของแบบนี้ ต้องซ้ำหลาย ๆ รอบ เดี๋ยวก็หาย แกไม่เคยวิ่งยาว ๆ มาวิ่งเลยแบบนี้ตะคริวก็กินสิ”
“ฉันไม่ใช่พวกบ้าพลังแบบแกนี่” ฉันทำหน้าบูด “ฉันมีเวลาวิ่งออกกำลังทุกวันเหมือนแกเมื่อไหร่ แค่ติดแหง็กอยู่บนถนนในกรุงเทพฯ ก็หมดพลังชีวิตแล้ว”
“ก็ใครมันจะนึกว่าแกไม่ได้ออกกำลังมานาน เห็นแกบอกจะวิ่งเป็นเพื่อน เลยใส่ซะเต็มเหนี่ยวน่ะสิ” เขาว่า ส่งสายตาสั่งให้ฉันอยู่เฉย ๆ ก้มลงกดขาข้างที่เป็นตะคริวของฉันให้วางราบลงอีกครั้ง ใช้มือดันปลายเท้าของฉันให้เบนไปทางเข่าเท่าที่จะมากได้
“ดีขึ้นหรือยัง... เจ็บก็บอกมาเลย ไม่ต้องกลั้นไว้หรอก แกทำเสียงแบบตะกี้ เดี๋ยวยามผ่านมาได้ยินเข้าเกิดเข้าใจผิด ฉันจะเสียหาย”
“ไม่ต้องห่วงฉันจะรับผิดชอบแกเอง” ฉันบอก ตั้งท่าจะยิ้มยวน แต่กลับต้องขมวดคิ้วเพราะรับรู้ถึงแรงมือของเขาที่ผลักปลายเท้าข้างที่เป็นตะคริวเข้ามาอีกรอบ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่า กล้ามเนื้อขาที่เกร็งค่อยผ่อนคลายลงไปมาก
“แกเป็นผู้ชายแท้ ๆ พูดเป็นนางเอกนิยายน้ำเน่าไปได้ ฉันต่างหากล่ะ ที่จะเสียหาย อยู่ดี ๆ ก็มีผู้ชายมาอุ้มเข้าไปในรถ”
“ทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ” เขาบ่นอุบ “ถ้าแกบอกแต่แรกว่า จะคลานขึ้นรถเป็นผีซาดาโกะแต่แรก ฉันจะไม่ห้ามแกเลย ตอนนี้ ฉันยังปวดหลังไม่หายเลย”
ใจหนึ่งก็อยากย้อน แต่อีกใจบอกให้ฉันสงบปากสงบคำเอาไว้... มีบางอย่างในประโยคแรกที่พูดคล้ายไม่จริงจังนักบอกว่า เขาเริ่มคิดถึงเรื่องเดิมที่ทำให้เขาแทบไม่เหลือกำลังใจในการทำงานต่อขึ้นมาอีก
ปัญหาของเขาทำให้ปัญหาของฉันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยชนิดที่เทียบกันไม่ได้...
“โทษทีนะที่ทำให้แกเดือดร้อน”
“แกไม่ได้ทำให้ฉันเดือดร้อนเลย... ฉันเองก็ผิดที่ทำให้แกตกใจจนวิ่งตาม” เขาบอก ก้มลงนวดขาข้างที่เป็นตะคริวของฉันต่อ “ฉันแค่อยากระบายเรื่องที่ไม่รู้จะตะโกนออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง ก็เลยต้องระบายด้วยวิธีนั้นนั่นแหละ”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่ฉันหมายความว่า แกช่วยฉันแก้ปัญหา แต่ฉันไม่เห็นจะช่วยแกได้เลย”
เขาเงยหน้าขึ้นมองฉันแล้วยิ้มให้ “ทำไมแกจะไม่ช่วย...”
ก่อนหน้านี้ตลอดเวลาที่เราสองคนนั่งมาด้วยกันในรถ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่แววตาที่ฉันเห็นสะท้อนจากกระจกมองหลังนั้นบ่งบอกว่ามีเรื่องราวที่เขากดเก็บไว้ในใจมากมาย จนไม่รู้ว่าควรเริ่มจากเรื่องใดก่อน
จนกระทั่งมาถึงจุดหมายเขาแอบจอดรถไว้ในมุมหนึ่งของเงาไม้ข้างสนามรักบี้หน้ามหาวิทยาลัย แล้วออกวิ่งไปตามทางวิ่งรอบสนาม สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฉันไม่มีเวลาคิดเป็นอย่างอื่น นอกจากวิ่ง ตามเขาไป ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว คือ ฉันกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จนไม่อยากปล่อยให้เขาคลาดสายตาไปเท่านั้นเอง
ผลที่ตามมาจากการกระทำที่เกิดจากความลืมตัวก็คือคนที่ไม่ชินกับการออกกำลังกายอย่างฉัน หน้ามืด เสียดท้อง และเป็นตะคริว จนเขาต้องหันกลับมาประคองฉันกลับไปที่รถ อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
ตั้งแต่พบหน้ากันเขาเป็นฝ่ายช่วยเหลือและดูแลฉันมาตลอด ทั้งที่ตัวเองทุกข์ยิ่งกว่าเสียอีก
“แกละเมอหรือไงฉันไม่ได้ทำอะไรให้แกเลย ไม่รู้ปัญหาของแกเลย แกจะบอกว่าฉันช่วยแกได้ยังไง”
“แค่แกบอกว่าแกเชื่อฉัน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แกจะไม่ทิ้งฉัน นั่นก็ช่วยได้มากแล้ว” เขาสบตาฉัน เน้นคำแต่ละคำเหมือนอยากให้ฉันได้ยินและจดจำทุกคำที่เขาพูดเอาไว้
“แกรู้หรือเปล่า การที่ได้รู้ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ข้างเราในช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่า ไม่เหลือใคร มันทำให้คำว่า ‘วันพรุ่งนี้’ มีความหมายมากกว่าแค่เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงที่อยากให้มันผ่านพ้นไปไว ๆ หรือไม่ก็ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเจอกับมันอีกเลย”
ประโยคสุดท้ายของเขาทำให้ฉันใจหาย ยันตัวลุกขึ้นนั่ง “แกรู้ตัวไหมว่าแกพูดอะไรออกมา”
“รู้... ดูทำหน้าเข้า ฉันไม่ได้อยากตายหรอก แก” เขาหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก “แค่รู้สึกไม่อยากตื่นขึ้นไปเจอปัญหาที่ตัวเองก็คาดไม่ได้ว่ามันคืออะไร อยากนอนโง่ ๆ อยู่กับบ้าน หนีความจริงแค่นั้นเอง”
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่า คนแบบแกจะกลัวคำว่าวันพรุ่งนี้”
“วันแรกที่สวมเครื่องแบบแล้วออกไปทำงาน ฉันเคยกลัวว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ แต่พอทำงาน แล้วต้องเจอกับอะไรหลายอย่าง ฉันอดกลัวสิ่งที่จะมาพร้อมกับวันพรุ่งนี้ไม่ได้...”
“แต่เราก็ไม่มีวันที่จะหนีวันพรุ่งนี้ไปได้...”
เขานิ่งเงียบ หลุบตาลงมองสองมือที่ยังนวดขาให้ฉันอยู่ด้วยจังหวะสม่ำเสมอ “ใช่...ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิญหน้ากับมัน”
“ไม่มีใครช่วยแกได้เลยจริง ๆ เหรอ” ฉันถามออกไปทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้เพียงแต่เรื่องที่เขามีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและลูกน้อง
เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ตอนนี้ ฉันไม่หวังอะไรแล้ว แก นอกจากถ้าไม่เหลือคนที่คิดจะช่วย ก็ขออย่ามีใครมาเหยียบซ้ำอีกก็พอ”
“แกเล่าให้ฉันฟังได้ไหมเผื่อฉันจะช่วยแกแก้ปัญหาได้บ้าง”
“ขอบใจ” เขาฝืนยิ้ม “แกช่วยไม่ได้หรอก... ปัญหานี้ไม่มีใครช่วยได้สักคน”
“มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ"
“ยิ่งกว่าเลวร้าย... มันเป็นหายนะชัด ๆ” เขาแค่นหัวเราะ “ฉันถูกตั้งกรรมการสอบวินัยเพราะมีคนไปร้องเรียนว่า ฉันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ยอมรับเรื่องที่ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์”
เขาหยุดมือของตัวเองไว้ ก่อนจะเผลอลงน้ำหนักกับขาของฉันกำหมัดแน่นด้วยความขุ่นเคือง
“ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ แกมันเล่นงานฉันด้วยวิธีนี้มาหลายหนแล้ว ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ค้างอยู่ในคณะกรรมการจะไปไหนก็ไปไม่ได้ ไม่ได้รับการพิจารณาให้เลื่อนยศ ทำอะไรก็ผิดในสายตาคนอื่นไปหมด ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำนายไม่ฟังฉัน มันก็จบเห่... ไอ้เรื่องเฮงซวยแบบนี้มันจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
ความอัดอั้นตันใจที่เขาระบายออกมาทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาบรรเทาความคับแค้นของเพื่อนให้เบาบางลงได้... แต่อะไรก็ไม่น่าเจ็บใจเท่ากับรู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนมีปัญหา แต่ฉันกลับไม่มีทางช่วยเหลืออะไรเขาได้เลย
ไม่จำเป็นต้องถามว่า จะมีใครช่วยอธิบายแทนเขาได้ไหม ในเมื่อก่อนหน้านั้น เขาเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าคนที่เคยคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงานก็หักหลัง ทำร้ายด้วยการแทงข้างหลัง และยังทำให้เขาไม่เหลือใครที่พึ่งพาได้ แม้กระทั่งลูกน้องที่ควรจะรู้นิสัยและการทำงานของคนเป็นนายดีที่สุด
แต่อะไรก็คงไม่ร้ายกาจเท่าการที่ผู้บังคับบัญชาเลือกเชื่อคำพูดของคนที่ยอมก้มหัวให้ทุกเรื่องแทนที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ฉันถามได้ไหมว่า ทำไมแกไม่รับแจ้งความ”
“แกจะรับแจ้งความในข้อหาที่เป็นการปรักปรำคนอื่นให้ต้องรับผิดเกินความเป็นจริงได้ลงคอเหรอ” เขาย้อนถาม “อะไรที่ทำได้ฉันก็บอกว่าได้ อะไรที่ทำไม่ได้ ฉันก็บอกตรง ๆ ว่าทำไม่ได้... ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า คนที่มาแจ้งความมันต้องการอะไร”
“ถ้าฉันบอกให้แกยอมถอยสักก้าวยอมทำตามที่มันขอ แล้วค่อยหาทางแก้ทีหลัง มันจะแจ้งความก็ปล่อยให้มันแจ้งไป เดี๋ยวอัยการก็ยกคำร้องถ้าไปถึงศาล ศาลก็ยกฟ้องเองล่ะ”
คำถามนั้น ทำให้เขาจ้องหน้าฉันนิ่ง แต่แล้วริมฝีปากที่เม้มแน่นก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม “ถ้าฉันไม่รู้จักนิสัยแกฉันคงเลิกคบกับแกเพราะคำแนะนำนี้...”
“ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ฉันยิ้มให้เขาอย่างรู้กัน “แล้วถ้าฉันถามว่า ทำไมแกถึงเลือกทางที่จะพาตัวเองไปตายแทนที่จะถีบให้คนอื่นไปตายแทนแก หรือปัดปัญหาไปให้พ้น ๆ ตัวไปก่อนล่ะ แกจะตอบว่ายังไง”
“คนที่ฆ่าคนที่ไม่มีความผิดได้ก็เหมือนเป็นคนไม่มีหัวใจ คนไม่มีหัวใจก็ไม่ได้ต่างจากคนที่ตายไปแล้วนั่นละ ถ้าจะเลือกตายก็ขอตายแบบคนมีเลือดมีเนื้อดีกว่า พูดแล้วก็ฟังดูพระเอกชิบหายเลย แต่ฉันก็คิดแบบนั้นจริง ๆ” เขาว่า “ถ้าให้ฉันต้องเลือกระหว่างทำตามเสียงของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจ แล้วได้รับผลร้ายตอบแทนทำยังไงก็ไม่มีวันเจริญเหมือนคนอื่นเขา กับยอมขายวิญญาณเพื่อผลประโยชน์กับความก้าวหน้าในชีวิตที่มั่นใจว่าต้องได้แน่นอน... แกคงรู้ว่าคำตอบของฉันคืออะไร”
“แล้วก็คงเป็นคำตอบที่ทำให้ฉันยังไม่เลิกคบแกด้วย” ฉันบอก
ไม่มีคำตอบจากคนที่ยืนอยู่นอกรถ ทว่าประกายตาที่กำลังยิ้มอยู่ แม้ปากจะไม่ขยับ ก็ทำให้ฉันโล่งใจว่าบางสิ่งที่กดดันเขาอยู่ได้ถูกผ่อนออกไปบ้างแล้ว
“แกยังเจ็บขาอยู่หรือเปล่า” มือของเขาแตะลงที่ปลายเท้าของฉันเบา ๆ
“ไม่แล้วละ” ฉันบอก เลื่อนตัวออกมาจากรถ ใส่ถุงเท้ากับรองเท้ากลับไปเหมือนเดิม แล้วลุกขึ้นยืนตรงหน้าเขา เอื้อมมือออกไปข้างหน้าเหมือนจะสัมผัสเหนืออกข้างซ้ายของเขา แต่หยุดมือรักษาระยะห่างจากเขาเอาไว้
“แล้วแกล่ะ ยังเจ็บอยู่ไหม”
“ตอบตามความจริง คือ มาก... เจ็บมานาน แล้วก็ไม่คิดว่าจะหายง่าย ๆ” เขาก้มลงมองมือข้างนั้นของฉันยกมือของเขาขึ้นมาจับมือข้างนั้น แล้วกุมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “แต่แกทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น...”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา ค่อย ๆ ดึงมือออกไปจากมือของเขา “เพราะฉะนั้น ถ้าแกมีอะไรไม่สบายใจ ก็อย่าลืมว่าแกมีฉันคอยรับฟังปัญหาของแก... คืนนี้ แกมีอะไรอยู่ในใจก็พูดออกมาให้หมดเถอะมากแค่ไหน ฉันก็จะฟัง แต่...”
“หือ...” เขาเลิกคิ้ว
“แต่ก่อนจะฟังแกเล่าเรื่องทั้งหมด... แกหาที่ให้ฉันเข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ย…”
เขาหัวเราะก๊ากออกมาอย่างไม่เกรงใจ ส่วนฉันได้ยิ้มแหย ๆ ก่อนเปิดประตูรถแล้วผลักเขาเข้าไปนั่งประจำที่นั่งคนขับ แล้วรีบพาตัวเองขึ้นรถ
“เลิกหัวเราะได้แล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้เลย” ขณะสตาร์ทรถ เขายังคงหัวเราะไม่หยุดจนฉันนึกหมั่นไส้ “พอได้แล้ว ฉันอายจะแย่แล้วนะ แก”
ฉันโวยใส่เขา แต่เมื่อหันไปหาแล้วเห็นเขายกมือขึ้นปาดน้ำตา ฉันก็เริ่มไม่แน่ใจนักว่ามันมาจากการหัวเราะหรือร้องไห้กันแน่
ฉันเรียกชื่อเขาเบา ๆ วางมือลงบนมือของเขาที่วางอยู่บนพวงมาลัยรถ
“ฉันไม่เป็นไร... แค่ขำมากไปหน่อย” เขาตอบกลับมาด้วยเสียงที่ไม่ดังไปกว่ากัน แต่ยังไม่ยอมหันมามองหน้าฉัน
ท่าทีนั้นทำให้ฉันไม่อยากเชื่อคำพูดของเขา แต่ในความไม่เชื่อ ฉันเชื่อว่าเขามีเหตุผลของเขา และในบางครั้ง คนเราก็ย่อมจะมีความลับและสิ่งที่ไม่พร้อมจะบอกให้ใครรู้เป็นธรรมดา นั่นทำให้ฉันบอกตัวเองให้เชื่อในสิ่งที่เขาเอ่ย
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว...”
============================
To be continued.... (ตอนหน้า ตอนจบแล้วค่ะ)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in