(1)
แทนที่เธอจะโกรธเธอกลับหัวเราะออกมาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เราพบกัน
“ขอบใจ...พูดแบบนี้ค่อยสมเป็นแกหน่อย”
แต่ไม่นานนักอารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอีกขั้วหนึ่ง หลังเสียงหัวเราะนั้นจางหายไป
มีคนบอกว่า เหล้าคือน้ำเปลี่ยนนิสัย... แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ที่คนเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น นั่นเพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาทต่างหาก
ฤทธิ์ของมันไปกดสติที่เคยมีเอาไว้ แล้วปลดปล่อยให้ความรู้สึกที่เคยถูกสติเหนี่ยวรั้งเอาไว้ออกมาภายนอก ทำให้บางคนกล้าพูดในสิ่งที่ไม่เคยพูด กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ทำให้ลืมเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้เลย
ผมดื่มจนเมาตอนอกหัก พอสร่างเมาผมก็ยังอกหักอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ได้ระบายอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผมไม่กล้าพูดออกมาในเวลายังมีสติอยู่... ถึงผมจะเป็นพวกปากตรงกับใจ และพูดจาขวานผ่าซากจนเกินไป แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะสามารถพูดทุกอย่างออกมาตามที่ใจคิดได้
สำหรับคนที่อยู่ข้างผมในตอนนี้ คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้… เท่าที่ผมรู้ เธอไม่เคยดื่มให้ใครเห็นกลับคอยปรามไม่ให้พวกผมดื่มเหล้าแบบหัวราน้ำด้วยซ้ำไป
“ฉันเป็นแบบไหนก็ช่างเถอะ”ผมว่า “ตอนนี้ แกจะเล่าเรื่องที่ทำให้แกคิดว่าตัวเองโง่ให้ฉันฟังได้หรือยัง”
จบคำถามของผม เธอนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหันหน้ามาทางผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าฉันบอกแกว่า ที่ฉันออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้วยังสามารถดีลงานกับลูกค้าได้สบายมาก แถมยังดียิ่งกว่าตอนเป็นลูกจ้างเขาซะอีก เพราะฉันยัดเงินใต้โต๊ะผู้ช่วยผู้จัดการให้ช่วยล็อบบี้ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อให้ดีลกับฉัน ยอมนอนกับมันตอบแทนที่มันช่วยให้ดีลของฉันสำเร็จ แต่ที่มีปัญหาจนฉันต้องหนีมาถึงนี่ บอกใครก็ไม่ได้ เพราะไอ้ผู้ช่วยผู้จัดการนั่น มันขู่จะแบล็คเมล์ฉันที่พยายามตีตัวออกห่างจากมัน แกจะเชื่อฉันไหม
สิ่งที่เธอถามทำให้ผมอึ้ง... สมองผมคิดไปถึงเรื่องที่ว่า เหล้าทำให้คนกล้าพูดในสิ่งที่ไม่กล้าพูดหากใจผมบอกว่า ‘ไม่เชื่อ’ แต่ปากกลับไม่ขยับตอบเธอออกไปเอาดื้อ ๆ
ปฏิกิริยาของผมทำให้เธอเหยียดยิ้มออกมาแล้วเบือนหน้าหนีผมไปทางอื่น
“ถ้าแกอยากให้ฉันตอบแบบไม่ต้องคิด แกต้องถามฉันก่อนว่า ถ้ามีข่าวมาว่า แกดีลงานได้เพราะยัดเงินใต้โต๊ะ แถมนอนกับผู้ช่วยผู้จัดการเพื่อให้เขาไปล็อบบี้ให้ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรับดีลแก ฉันจะเชื่อแกหรือเชื่อข่าว”
เธอหันกลับมาหาผม “ถ้าฉันถามแบบนั้นแกจะตอบว่าอะไร”
“ฉันเชื่อแกมากกว่าข่าว”ผมบอก
“แล้วทำไมฉันต้องถามคำถามของแกก่อนถามคำถามของฉัน” เธอขมวดคิ้วเหมือนเริ่มหงุดหงิดใจที่ได้คำตอบยอกย้อนกวนโมโหเธอเต็มประดา “แล้วถ้าแกตอบคำถามฉันว่า ไม่เชื่อมันจะต่างกันตรงไหน”
“ถ้าแกแปลไม่ออกฉันจะบอกให้” ผมมองตาเธอ “ระหว่างคำพูดของแกกับคำพูดของคนอื่นที่พูดถึงแก ฉันเชื่อแก... แกยังต้องให้ฉันพูดต่ออีกไหมว่า ถ้าแกถามฉันว่า ฉันเชื่อคำพูดของแกหรือเปล่าฉันจะตอบแกว่าไง”
คำตอบของผมทำให้เธอเป็นฝ่ายที่ต้องอึ้งไปบ้างสายตาที่มองกลับมาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“แกหมายความว่าต่อให้ฉันบอกว่า ฉันเล่นใต้โต๊ะกับเอาตัวเข้าแลก แกก็พร้อมจะเชื่อฉันงั้นเหรอ”
ผมรู้ว่าเธออยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากปากของผม แต่ผมกลับให้ในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่เธออยากฟัง
“ใช่” ผมบอก “แล้วถ้าแกเปลี่ยนคำถามเป็น ฉันจะเชื่อแกไหมว่า แกไม่ได้เป็นคนอย่างที่ว่ามา คำตอบของฉันก็ยังเป็นคำว่า ‘ฉันเชื่อแก’ เหมือนเดิม”
“แต่คำว่าแกเชื่อฉัน สำหรับคำตอบแต่ละอันมันไม่เหมือนกัน”เธอแย้ง “ถ้าฉันบอกว่าตัวเองเลว แกก็พร้อมจะเชื่อว่าฉันเลวตามที่พูด ถ้าฉันบอกว่าตัวเองดี แกก็พร้อมจะเชื่อว่าฉันดี... แล้วถ้าฉันโกหกแกล่ะ”
“ถ้าแกโกหก ก็เป็นฉันเองที่โง่เชื่อใจแกไงล่ะ”ผมถอนใจหนัก ๆ “นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาทดลองใจกันนะ”
มีความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราอีกครั้งหนึ่งก่อนเธอเอ่ยขึ้น“คำตอบว่าแกเชื่อฉัน มันเหมือนกันก็จริง แต่ผลระหว่าง แกเชื่อว่าฉันเลวจริงกับ แกเชื่อว่าฉันไม่ได้ทำอะไรเลว ๆ มันต่างกัน”
“ต่างตรงไหน แกจะดีหรือเลวแกก็ยังเป็นเพื่อนฉันเหมือนเดิม” ผมตอบ “ยกเว้นว่าตลอดเวลาที่แกเรียกฉันเป็นเพื่อน แกไม่เคยเห็นฉันเป็นเพื่อนอย่างที่ปากพูดแต่นั่นก็ถือเป็นความโง่ของฉันอีกเหมือนกันที่มองแกผิด”
“แล้วผลระหว่างการกระทำสองอย่างล่ะต่างกันหรือเปล่า”
“ต่าง”
“ถ้าฉันไม่ได้ทำอย่างที่ฉันถามแกตอนแรก”
“ฉันจะอยู่ข้างแก แล้วก็จะช่วยแกจนถึงที่สุด เท่าที่ฉันจะช่วยได้”
“แล้วถ้าฉันทำ...”
“ฉันจะสมน้ำหน้าแกก่อนที่ไม่รู้จักคิดหาเรื่องใส่ตัว เล่นทางลัด ไม่แคร์ศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่ได้คิดถึงปัญหาที่จะตามมาในอนาคต เอาคนอื่นเป็นสะพานไต่ พอตกสะพานเพราะความประมาทของตัวเอง ก็มาร้องให้คนอื่นช่วยงัดเอาขี้เลื่อยในหัวออก ให้สมองแกทำงานเป็นปกติได้ก่อน แล้วค่อยหาทางช่วยเท่าที่ฉันจะช่วยได้”
ถึงจะบอกแบบนั้น แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ผมหรือคนที่โตด้วยการวิ่งเต้นโง่กว่ากัน เพราะผมยังขวางโลกอยู่ที่เดิม ในขณะที่คนอื่นวิ่งข้ามหัว แซงหน้าผมไปเรื่อย ๆ
“แกหลอกด่าฉันอยู่หรือเปล่าวะ” เธอขมวดคิ้ว
“ถ้าแกทำจริงฉันก็ด่าแกเต็ม ๆ โดยเจตนา ไม่มีพยายามหลอกด่าเลยว่ะ ถ้าไม่จริง แกก็ไม่ต้องร้อนตัว”
“แต่มันไม่ได้ต่างกันเลย” เธอแย้ง แต่ก็ยิ้ม “สุดท้ายแกก็ยังช่วยฉันอยู่ดี”
“ใช่ เพราะฉะนั้นแกต้องบอกความจริงมาให้หมด” ผมว่า “อย่าให้ฉันจับได้ทีหลังว่าแกโกหก ถ้ารู้ละก็ แกเจอหนักยิ่งกว่าถูกด่าแน่”
เธอกระเถิบเข้ามาใกล้จนไหล่เราชิดกัน “ที่ว่าหนักกว่าด่าแกคิดจะทำอะไรฉัน”
ถ้าเป็นพระเอกละครหลังข่าวก็คงดึงเธอมาจูบหรือจับกดแบบไม่มีเหตุผล ไม่เลือกเวลาและสถานที่แต่เผอิญว่าผมไม่ใช่พระเอก แถมยังเป็นไอ้วายร้ายในสายตาใครหลายคนอยู่แล้วเลยไม่มีสิทธิพิเศษอะไร
ถึงจะมองไม่เห็นตัวเอง ผมก็คิดว่าสายตาที่ผมมองเธอกลับไปคงดูเจ้าเล่ห์พอตัวเพราะทำให้เธอขยับห่างออกไปโดยอัตโนมัติ
ผมยิ้มมุมปาก...
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิด”
=============================
(2)
“ไอ้บ้า”
ดูเหมือนฉันจะอัดเขาด้วยสองคำนี้เป็นรอบที่สองของคืนนี้ ทั้งที่ความจริง สิ่งที่เขาสมควรได้รับจากฉันคือคำขอบคุณ แต่ปากฉันก็ไวเกินกว่าจะหยุดตัวเองไว้ทัน แต่เขาก็ไม่ได้ถือสาอะไร กลับหัวเราะเหมือนชอบใจที่ได้แกล้งกันเล่นเหมือนสมัยที่เรายังเป็นนักศึกษาด้วยกันเสียมากกว่า
ความรู้สึกหนึ่งแวบเข้ามาในใจ... ตั้งแต่ทำงานมา ฉันไม่เคยหัวเราะ หรือเล่นต่อปากต่อคำกับใครอย่างเขามานานนักหนาแล้วและการเถียงกันกับคนอื่นก็ไม่เคยให้ความรู้สึกถึงการเป็นตัวของตัวเองได้ เท่ากับอยู่กับเขาเลย
แต่แล้ว คำพูดของเขาก็ทำลายบรรยากาศการหวนคิดถึงอดีตของฉันจนพังราบ...
“เล่ามาได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น... เร็ว ๆ เลย ฉันรอด่าแกอยู่”
“เออ ๆ เล่าแล้ว ๆ”
“เดี๋ยวก่อน” จู่ ๆ เขาก็ขัดคอฉันขึ้นมาเสียเฉย ๆ อย่างนั้น ถ้าตอนนี้ ฉันกำลังขับรถเจอเขาวิ่งตัดหน้า ทำให้ต้องหักหลบกะทันหัน แล้วเหยียบเบรกจนหัวทิ่ม
ฉันตวัดสายตาค้อนเขาไปทีหนึ่ง “เอ๊ะ แกนี่... มีอะไร”
“แกบอกฉันมาก่อนว่าแกทำเรื่องที่แกถามฉันว่าเชื่อแกไหมจริง ๆ หรือเปล่า”
“แกรู้จักฉันแบบไหน ฉันก็เป็นแบบนั้นแหละ” ฉันไม่ยอมตอบเขาตามตรง “แกเชื่อฉันได้”
เขาทำหน้าเหนื่อยใจ “ไม่เล่นยี่สิบคำถามแล้วบอกมาให้ชัด ๆ ว่าใช่หรือไม่ใช่ จะให้ช่วยหรือไม่ให้ช่วย”
“ขู่เก่งจังนะตั้งแต่ทำงานนี้” ฉันออกปาก ไม่มีเจตนาจะแหย่หรือยั่วโมโห แต่ก็แอบรู้สึกผิดที่เผลอพูดเมื่อเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง “ขอโทษที แก...”
“ไม่เป็นไร... แกพูดถูกแล้ว”เขาบอก “เข้าเรื่องของแกเถอะ”
ฉันสบตาเขาตรง ๆ “ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่ถามแกหรอกแล้วที่มาดื่มอยู่คนเดียวเนี่ย ก็เพราะฉันไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครจริง ๆ ... ใจหนึ่งก็คิดว่ามันคงไม่ทำจริง แต่อีกใจฉันก็อดกลัวไม่ได้ ตัดสินใจไม่ถูกเลย”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามขึ้น... “มีคนขู่แกงั้นสิ”
ฉันพยักหน้ารับ... คำถามของเขาตรงประเด็นและคำถามถัดไปของเขาก็ยิ่งชัดเจน ถูกต้องตรงกับเหตุการณ์ที่ฉันต้องแบกเอาไว้ในใจคนเดียวตลอดสองสามวันที่ผ่านมา
“ส่วนไอ้คนที่ขู่แกคงจะเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่แกพูดถึงด้วยละมั้ง”
“ใช่...” ฉันยอมรับ “ไอ้ผู้ช่วยผู้จัดการนี่แหละที่ขู่ว่า ถ้าฉันเอาเรื่องที่มันเรียกเงินใต้โต๊ะจากฉันกับขอให้ฉันนอนกับมันไปบอกใคร ไม่ยอมให้มันจบอยู่ระหว่างฉันกับมันสองคน มันจะไปพูดให้คนอื่นฟังว่าฉันเป็นฝ่ายเสนอทุกอย่างให้มันทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันต่างหากเป็นคนที่เรียกทุกอย่างจากฉันแท้ ๆ”
พูดแล้วก็รู้สึกว่าน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาอีกรอบด้วยความเจ็บใจ...
อย่างที่ฉันบอกเขาไปในตอนแรก จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่ฉันต้องเจออยู่ในวันนี้ เริ่มต้นมาจากความไว้ใจคนง่ายและมองโลกในแง่ดีเกินไปของฉันเอง
เมื่อฉันลาออกจากบริษัทมาทำงานอิสระ ฉันทำงานนายหน้าขายเมล็ดกาแฟดิบเกรดเอจากไร่ขนาดกลางถึงเล็กที่เป็นผู้ผลิตรายใหม่ในตลาดสำเร็จตั้งแต่การเสนอขายครั้งแรก ฉันคิดเสมอมาว่า นั่นเป็นเพราะสินค้าของคนที่ฉันเป็นนายหน้าให้ มีคุณภาพสูงด้วยความมั่นใจในรสชาติกาแฟที่ฉันทดลองชิมเอง และด้วยผลทดสอบจากห้องแล็บที่เชื่อถือได้และเชื่อด้วยว่า คุณภาพสินค้าที่ดีเป็นปัจจัยแรกที่จะทำให้บริษัทผู้รับซื้อสนใจสินค้าที่ฉันนำมาเสนอขายให้
ตลอดระยะเวลาปีเศษกับงานนายหน้าอิสระ ทุกอย่างเรียบร้อยการร่างและทำสัญญาไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉันสามารถจัดการเองได้ทั้งหมด และการออกมาทำโฮมออฟฟิศเองก็เหนื่อยน้อยกว่า มีเวลาเป็นของตัวเองมากกว่าทำงานบริษัทพอสมควร การเดินทางไปยังแหล่งวัตถุดิบไกล ๆ อาจดูเหนื่อย แต่ฉันก็ถือว่าได้พักผ่อนท่องเที่ยวไปในตัวและได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ
ฉันรู้ว่า งานที่ทำตั้งอยู่บนความเสี่ยงแต่ฉันก็ยินดีที่จะเสี่ยง... แม้ว่าหลายคนที่บ้านจะไม่เห็นด้วย แต่ในเมื่อโอกาสของการที่จะบินสู่โลกภายนอกด้วยตัวเองอยู่ตรงหน้าฉันก็ไม่สามารถจะปล่อยมันไปได้เช่นกัน
แต่แล้ว ความเสี่ยงที่ฉันยินดีรับเพราะยังไม่เคยเห็นหรือสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเสี่ยง’ จริง ๆ ก็เกิดขึ้น และทำให้ฉันรู้ว่า สิ่งที่เคยคิดว่าง่าย มันไม่ง่ายอย่างที่เคยคิดไว้เสียแล้ว
ไม่กี่วันก่อนที่ฉันจะมาอยู่ที่นี่ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ฉันดีลงานด้วยมาตลอดได้โทรศัพท์มาหา
“คุณรู้ไหมที่คุณดีลงานได้ทุกวันนี้ เพราะผมอยากจะช่วยคุณที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวออกมาทำงานเองหรอกนะ ในฐานะคนที่เคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่คุณยังไม่ออกจากบริษัทก็เลยอยากช่วยจนกระทั่งตั้งตัวได้ แต่ตอนนี้ ผมลำบากมากเลยรู้ไหม เพราะผมต้องจ่ายให้ผู้จัดการให้รับดีลคุณไปเยอะ คงถึงคราวที่คุณควักกระเป๋าจ่ายเองแล้วละ ผมขอแค่ร้อยละสองของราคาต่อกระสอบก็พอแล้ว คุณอย่าคิดว่าผมได้เยอะนะ เงินตรงนี้ผมต้องแบ่งไปจ่ายให้ผู้จัดการเพื่อช่วยคุณอีกผมขอแค่ถอนทุนที่ผมเคยช่วยคุณคืนก็พอ...”
สิ่งที่ฉันได้ยินเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยในชีวิตการทำงาน... ไม่เคยเลยที่จะคิดว่า เรื่องจ่ายเงินใต้โต๊ะเป็นค่าตอบแทนให้ได้งานจะมีแม้กระทั่งในวงการนี้ แต่สิ่งที่ฉันได้ยินจากปากของผู้ชายคนนั้นในเวลาต่อมา ทำให้ฉันหน้าชา แทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง
“คุณยังไม่ต้องตัดสินใจ รับข้อเสนอของผมตอนนี้ก็ได้...ไว้เราลองมานอนคุยกันสักคืนสองคืนดีไหม ไม่แน่นะ ผมอาจจะเปลี่ยนใจช่วยคุณฟรี ๆ ต่อไปก็ได้”
=============================
(3)
เล่าถึงตรงนี้ผมสังเกตเห็นว่าตัวของเธอเริ่มสั่น แต่ไม่ใช่เพราะลมหนาวยามดึกในขณะเดียวกันน้ำตาก็เริ่มคลอเบ้าขึ้นมาอีกรอบ
ผมหยิบเอาทิชชูเช็ดหน้าที่ขยุ้มหยิบออกมาจากกล่องในรถแล้วยัดใส่กระเป๋าแจ็คเก็ตยื่นให้เธอ
“ถ้าให้เดาใจแกละก็... แกคงไม่ยอม พอมีเวลาตั้งตัวแล้ว แกคงจะพยายามหาทางสืบเอาความจริงจนได้ว่า ผู้จัดการเรียกรับเงินตามที่ผู้ช่วยผู้จัดการอ้างด้วยใช่ไหม”
ข้อสันนิษฐานนั้น ทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าเธอได้อีกครั้ง
“อย่างงี้สิ ถึงเรียกว่าเป็นเพื่อนรักกันจริง” เธอว่า ส่วนมือยังกำทิชชูที่ผมยื่นให้เช็ดน้ำตาไว้แน่น “ฉันโทรไปหาหน้าห้องของกรรมการบริหารนัดวันขอเข้าพบ แต่มันเป็นความซวยของฉันเองแหละที่ไอ้ฝ่ายจัดซื้อนั่นดันอยู่แถวนั้นด้วย มันเลยรีบโทรมาหาฉัน แล้วจัดฉากอัดเสียงพูดอย่างกับว่า ฉันเนี่ยเป็นคนเสนอเงินกับเสนอตัวให้มัน มันไม่อยากมีปัญหาเรื่องทุจริตให้เสียชื่อบริษัทเลยขอให้เรื่องนี้จบกันเท่านี้”
ถ้าเป็นกรณีติดต่อกับราชการ การเรียกรับสินบนจากฝ่ายคู่สัญญากับเธอเป็นความผิดอาญาชัดเจน แต่นี่เป็นเรื่องระหว่างเอกชนและเอกชน ซึ่งไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย แต่ในเรื่องของความถูกต้องนั้น คงกระทบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของเธอแน่นอน
ผมรู้ว่า เพื่อนผมไม่ชอบให้คนอื่นเอาเปรียบและนักเลงพอที่จะไม่เอาเปรียบคนอื่น นั่นก็หมายความว่า เธอจะไม่ยอมจ่ายเงินเพื่ออำนวยความสะดวกให้ตัวเองได้ขึ้นไปยืนแถวหน้า แต่เลือกที่จะยืนรอให้ถึงคิวของตัวเองตามลำดับ แม้ว่าจะต้องตากฝนคอยอยู่เป็นชั่วโมงก็ตาม
“แต่แทนที่มันจะจบเท่านี้อย่างที่พูด... มันก็สำทับมาด้วยว่า ถ้าเรื่องนี้หลุดไปถึงข้างบน ไม่เฉพาะแต่ตัวมันจะเดือดร้อนตัวฉันก็จะเดือร้อนด้วย อนาคตการทำงานก็จะพังหมด เพราะมันจะแฉว่า ฉันทำยังไง ถ้าฉันไม่อยากให้ครอบครัวพลอยมีปัญหาไปด้วยก็ให้เงียบๆ ไปซะ”
จากประสบการณ์การทำงาน ผมเข้าใจดีว่าต่อให้เป็นผู้หญิงแกร่งขนาดไหน ปัญหาที่เธอต้องเผชิญก็สาหัสเอาเรื่องสำหรับคนที่ต้องรับมือกับทุกอย่างตามลำพังแบบเธอ และไม่แปลกใจเลย ถ้าแม้กระทั่งคนรู้กฎหมายอย่างเธอจะทำอะไรไม่ถูก
“แกเห็นความโง่ของ ฉันหรือยังล่ะ” เธอพูดแล้วก็หัวเราะออกมาดัง ๆ แต่เสียงหัวเราะของเธอเหมือนเสียงสะอื้นมากกว่า และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มสงสัยว่าตัวเองอาจคิดผิดที่พาเธอออกจากรถมาคุยกันริมน้ำ
“แกอย่าทำหน้าแบบนั้นสิฉันไม่ได้เมาจนเพี้ยน” เธอย่นจมูกใส่ ในขณะที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ “ไม่ต้องมาจับแขนฉันแน่นนักก็ได้ ถ้าฉันจะโดดน้ำตาย ฉันไม่โดดตอนแกอยู่ด้วยหรอก”
คำพูดของเธอทำให้ผมรีบปล่อยมือที่จับแขนเธอไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ออกทันที
“พร้อมจะด่าฉันหรือยัง” เธอถาม
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” ผมตอบ “ถามหน่อย แกได้อัดเสียงมันเอาไว้ไหมแล้วไปแจ้งความหรือเปล่า”
“ฉันทำทุกอย่างที่แกบอกนั่นละ แต่พอจะไปแจ้งความก็เจอเรื่องที่ทำให้เซ็งมาจนถึงทุกวันนี้ละ...” เธอพูดเสียงขุ่น “โธ่เว้ย... ไอ้ตำรวจเฮงซวย ไอ้ตำรวจ...”
“เฮ้ย หยุด” ผมรีบเบรกเธอ ก่อนที่อาชีพของตัวเองจะได้รับคำสรรเสริญไปมากกว่านี้
เธอยิ้มเจื่อน ๆ “โทษทีลืมไป มันอดไม่ได้จริง ๆ นึกถึงแล้วก็ปรี๊ดขึ้นมาทันทีเลยว่ะ”
“ช่างมันเถอะ...” ผมบอก “ร้อยเวรบอกแกว่าไงแกถึงได้สติแตกจนขับรถมาจนนี่น่ะ”
เธอถอนใจเฮือกใหญ่ “แจ้งความไว้เป็นหลักฐานไปก็ไม่มีประโยชน์... แค่นี้แหละ ได้ยินที่พึ่งคนแรกที่นึกถึงมาพูดแบบนี้ ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว แก”
“แล้วตอนแกซิ่งรถมานี่แกเลยฝ่าฝืนกฎจราจรทั้งขับรถเร็ว ทั้งใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปเข็มไมล์แกลงเฟซบุ๊คเพื่อประชดตำรวจกับกฎหมายที่ช่วยอะไรแกไม่ได้ซะเลยงั้นสิ”
“ใช่!!!”
=============================
(4)
คำตอบของฉันทำให้เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นตบหน้าผาก ทำหน้าเหมือนอยากโดดน้ำตายให้ได้เดี๋ยวนั้น
“โอ๊ย...” เขาครางออกมาดัง ๆ “ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าแกเลยให้ตาย”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงล่ะ” ฉันสวนกลับ “เจอคนขู่มายังไม่พอตำรวจก็ไม่ช่วย กลับมากำลังจะถึงบ้านวันนี้ดันซวยเจอใบสั่งตำรวจทางหลวงฐานขับรถเร็วเกินอีก เล่นมาตั้งด่านตรงทางลงเขานี่หว่า ขืนลดความเร็วกะทันหันเบรกก็พังหมดพอดี แน่จริงก็มาตั้งด่านตรงทางราบสิ...”
“เออ ๆ เข้าใจ ๆ ใจเย็น ๆ” เขาโบกมือห้ามก่อนที่ปรอทอารมณ์โมโหฉันจะพุ่งสูงกว่านี้ “จะทำดีไถ่โทษให้เพื่อนร่วมวงการที่ทำแกอารมณ์เสียก็แล้วกัน เพราะจริง ๆ แล้วมันก็มีทางแก้อยู่อยากรู้ไหมล่ะ”
“จริงเหรอ... ทำยังไง”ฉันเลิกคิ้ว มองเขาอย่างไม่เชื่อหูหัวเอง
เขายื่นมือมาหาฉัน “สัญญาก่อนว่าแกจะไม่วีนก่อนที่ฉันจะพูดจบ”
“ได้” ฉันจับมือเขาเขย่าเป็นการรับรองคำพูดของตัวเอง “ว่ามา”
“ที่ร้อยเวรบอกแกมามันก็ถูกของเขานั่นละ... แจ้งความไว้เป็นหลักฐานมันไม่ได้มีประโยชน์อะไร” เขาชี้มือมาที่ฉันดักคอไม่ให้พูดแทรก “เพราะว่าการแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ไม่มีอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หมายความว่า มันแทบไม่มีผลในทางกฎหมาย เวลาเกิดเหตุขึ้นกับแกตามคำขู่ มันก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากพอที่จะชี้ไปหาไอ้หมอนั่นทันที เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งที่จะเอามาพิจารณาในการทำคดีว่า ควรสงสัยใคร ควรไปสอบปากคำใครเท่านั้นเอง...”
เขาขยับลุกขึ้น ปัดเศษหญ้าออกจากกางเกงยีนที่สวมอยู่ “แต่ถึงจะแจ้งความร้องทุกข์ก็ไม่ได้หมายความว่า ร้อยเวรเขาจะรับทำคดีของแกหรอกนะ”
ถึงจะเรียนจบปริญญาตรีทางกฎหมายมาเหมือนกัน แต่ความที่ฉันใช้งานกฎหมายแพ่ง โดยเฉพาะพวกสัญญา บ่อยเสียจนแทบไม่ได้ใช้กฎหมายอาญาในการทำงานเลย ทำให้ความจำและความแม่นยำ ในตัวบทกฎหมายพวกนี้ลบเลือนไปไม่น้อยเลย
“เพราะอะไร”
“มันเป็นการขู่ทางโทรศัพท์ไม่สามารถระบุสถานที่เกิดเหตุได้ชัดเจน อาจมีปัญหาเรื่องเขตอำนาจสอบสวนได้น่ะ” เขาสอดมือลงไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต “แต่ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก... แกได้เก็บหลักฐานเกี่ยวกับวันเวลาที่โทร หมายเลข หรือได้อัดเสียงเก็บไว้หรือเปล่า”
ฉันพยักหน้า “วันที่มันโทรมาแล้วพูดเหมือนกับจะโยนความผิดให้ฉันฝ่ายเดียว ฉันก็อัดเสียงมันเก็บไว้เหมือนกัน ถอดเทปเป็นเอกสารเอาไว้แล้วด้วย”
“งั้นก็ดี” เขาว่า “เก็บของพวกนี้ไว้ให้ดี ถ้าหาพยานแวดล้อมอื่นๆ มาได้ด้วยก็เอามาเลย แล้วแกก็คิดเอาละกันว่า จะทำยังไงต่อไป แกจะไปแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ก่อน ก็ได้พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริง ๆ แล้วแกยังอยู่ ไม่ได้ไปซิ่งรถตกเหวตายอยู่ที่ไหน ก็ค่อยไปแจ้งความร้องทุกข์ก็ได้ กฎหมายไม่ได้ห้ามว่า ถ้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้ว จะแจ้งความร้องทุกข์อีกไม่ได้นี่นะ”
“จริงเหรอ”
เขาขมวดคิ้ว “ฉันโกหกแกแล้วฉันจะได้อะไรขึ้นมา... สบายใจขึ้นหรือยัง แต่ถ้าถามฉัน ฉันว่ามันไม่กล้าทำอะไรครอบครัวแกหรอก แกเคยบอกเขาหรือไงว่าครอบครัวแกอยู่ไหน”
คำถามของเขาเหมือนแสงสว่างที่วาบเข้ามาในหัว “ไม่เคย”
“ถ้าไม่เคยแล้วจะกลัวอะไร”
จบประโยคนั้นฉันแทบกรี๊ดออกมาด้วยความโล่งใจ อยากตบหน้าตัวเองแรง ๆ หลาย ๆ ทีที่ไม่คิดถึงวิชาที่เรียนมาสี่ปีเต็ม ทั้งโกรธ ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ เอาแต่ห่วงคนที่บ้านจนทำอะไรไม่ถูก ตั้งสติไม่ได้ ไม่ทันคิดถึงเหตุผลความน่าจะเป็นให้รอบคอบ และไม่ทันได้คิดถึงเขามาก่อน ทำให้ตัวเองต้องหัวเสียมืดแปดด้านมาหลายวัน
จากนั้น ฉันก็บอกขอบใจเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาต้องปรามว่า พอแล้ว พร้อมหัวเราะขำ
“ถ้าร้อยเวรเขายอมเสียเวลาอธิบายอย่างที่แกอธิบายให้ฉันฟังสักหน่อยเรื่องก็คงไม่มาไกลถึงขนาดนี้หรอก” ฉันอดบ่นส่งท้ายไม่ได้
“ตำรวจในเมืองใหญ่ภาระเยอะน่ะ” เขาว่า “แต่ที่แกพูดก็ถูก ถ้าเขาอธิบายอีกหน่อยว่าทำอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง ให้รู้แนวสักหน่อยก็คงไม่บานปลายมาถึงขนาดนี้ แต่อีกด้าน ถ้าแกไปเหวี่ยงหรือเอาอารมณ์ไปลงที่เขา เขาก็มีเคืองบ้าง ถึงจะเป็นหน้าที่ก็เถอะ”
“ก็จริง...” ฉันยอมรับด้วยเสียงอ่อนลง สบายใจขึ้นมาก และน่าจะมากที่สุดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
“แกรู้สึกดีขึ้นก็ดีแล้ว...” เขาบอก ล้วงเอาซองสี่เหลี่ยมสีขาวคาดเขียวจากกระเป๋าแจ็คเก็ต หยิบของที่อยู่ในซองนั้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วคาบมันไว้ในปาก ก่อนจะหยิบเอาไฟแช็คออกมาเป็นชิ้นสุดท้าย
เปลวไฟจากไฟแช็คในมือเขา สว่างวาบขึ้นและลามติดที่ปลายมวนบุหรี่ที่เขาคาบไว้ในปาก ก่อนที่ควันสีขาวจางจากการเผาไหม้ค่อย ๆ ลอยขึ้นแทรกในอากาศ
กลิ่นนั้นทำให้ฉันจามไม่หยุด
“โทษที” คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก้าวเท้าเดินออกไปหยุดยืนห่างออกไปและอยู่ในทิศที่ลมจะไม่พัดเอาควันบุหรี่จากเขามาถึงฉัน
“แกสูบบุหรี่ด้วยเหรอ” ฉันสงสัย “เมื่อก่อนแกไม่เคยสูบ”
เขาทำเสียงหึในลำคอ “แกไม่เคยเห็นมากกว่า”
“แกสูบมานานหรือยัง”
ถามไปแล้ว ฉันอดคิดไม่ได้ว่า เขาคงเคืองที่ฉันเซ้าซี้เรื่องส่วนตัวของเขา หากแต่เขาตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและแผ่วเบาราวกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งไปพร้อมกัน
“ก็นานอยู่...”
“ทำไมแกถึงสูบ”
เขาหันกลับมาหาฉัน เลิกคิ้วคล้ายไม่คิดว่าจะมีใครถาม และไม่เคยคิดหาคำตอบเรื่องนี้มาก่อน
ไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยปากบอกว่า เขาไม่จำเป็นต้องตอบ ถ้าไม่อยากเล่า และทำใจไว้แล้วว่าคงถูกคนหวงพื้นที่ส่วนตัวอย่างเขาดุเอาแน่ แต่เขากลับยิ้มให้
“คงเพราะคิดถึงพ่อ” เขาเหลือบมองแสงสีแดงจากการเผาไหม้ที่ปลายมวน “ครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่กับพ่อสิ่งที่ฉันจำได้ไม่ลืม คือ กลิ่นบุหรี่ที่พ่อสูบ กลิ่นนี้นี่แหละ ที่ทำให้รู้สึกว่าพ่อยังอยู่ใกล้ๆ ...”
มีรอยยิ้มเหยียดผุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะแค่นหัวเราะออกมา “จริง ๆ มันเป็นการให้ความมั่นใจตัวเองแบบโง่ ๆ มากกว่า แต่กว่าจะรู้ตัว ก็ติดไปแล้ว”
“เลิกไม่ได้เหรอ”
“เคยคิดอยู่” เขาตอบตามตรง “แต่ตอนนี้ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะเลิก...”
ยามนั้น ฉันรู้สึกว่า ในกลิ่นบุหรี่ในมือของเขามีความทุกข์ที่ไม่อาจระบายให้ใครฟังเป็นคำพูดได้ครบถ้วนซ่อนอยู่ และในอารมณ์หนึ่งที่แวบเข้ามาในใจ ภายใต้เปลือกที่เข้มแข็งของผู้ชายตรงหน้าคนนี้ มีมุมที่อ่อนไหว ไม่ต่างจากควันบุหรี่บางเบาที่อาจแตกสลายหายไปเพียงเพราะสายลมหนาวที่พัดผ่านมา
“บอกเหตุผลได้ไหม”
เขาเหลือบตามองฉันแวบหนึ่ง “เพราะสูบบุหรี่แล้วมันทำให้หายอึดอัดละมั้ง... แต่บางครั้ง ก็มีเหตุผลแรกปนมาด้วย แต่บางครั้ง ก็แค่อยากขึ้นมาเฉย ๆ แค่นั้นเอง”
“การอัดควันเข้าปอดตัวเองนี่มันทำให้หายอึดอัดได้ด้วยเหรอ”
เขานิ่งไปชั่วอึดใจ สูบควันเข้าไปแล้วระบายออกมาช้า ๆ สายตาจ้องมองกลุ่มควันสีขาวถูกลมพัดกระจายและจางหายจนไม่เหลือให้เห็น “หาย... ตอนที่ได้ปล่อยควันออกมาข้างนอกไง แก”
“แกมีเรื่องให้อึดอัดใจเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่เว้นแต่ละวันเลย” เขาหัวเราะเบา ๆ เหมือนเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ฉันกลับรู้สึกว่ามีความรู้สึกขมขื่นผสมอยู่ในนั้นด้วย
สายตาที่ฉันจ้องมองเขา ทำให้เขาต้องหยุดและหยิบบุหรี่ที่คาบไว้ระหว่างริมฝีปากออกมาคีบไว้ระหว่างนิ้ว
“แกรู้ไหมว่าอาจารย์แนะแนวไม่ได้สอนอะไรตอนที่พวกเราบอกอาจารย์ว่า เราจะเลือกทำงานอะไร” อยู่ดี ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น
“ไม่... ฉันคิดไม่ออก”
เขายิ้มให้ “อาจารย์บอกว่าให้เราเลือกอาชีพที่เราชอบ แต่ไม่เคยบอกสักคำว่า เราเลือกอาชีพที่เราชอบได้ก็จริง แต่เราเลือกเจ้านายกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้... ฟังดูพาล แล้วก็โยนความผิดให้คนอื่นดีไหม”
นั่นเป็นคำถามที่ฉันตอบเขาไม่ได้ ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะบอกเขาไปว่า ฉันเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่มีสิ่งเดียวที่ฉันอ่านจากนัยในคำพูดของเขาได้ คือ เขามีปัญหากับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน และสิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดใจ ทว่าพูดอะไรมากไม่ได้ หรือไม่ก็น้ำท่วมปาก การสูบบุหรี่ดูเหมือนจะเป็นทางออกที่เขาเลือกเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจออกมา
“ที่จริงฉันควรจะโทษตัวเองมากกว่า...” เขาพึมพำ “ไม่รู้ว่าความกล้า ความตรงไปตรงมาที่เคยมีมันหายไปไหน... เห็นนายทำผิดก็ท้วงไม่ได้ เห็นคนอื่นวิ่งเต้นกับนายขอเลื่อนตำแหน่ง ไอ้เราก็หวังดีเตือนว่าไม่ดี มันไม่พอใจหาว่าฉันขัดแข้งขัดขา มันไม่ฟัง ฉันก็ไม่ว่าอะไร สุดท้าย มันก็โยนงานมาให้ทำ ซ้ำยังแทงข้างหลัง ฟ้องนายยังไม่พอ ไปพูดอะไรก็ไม่รู้ให้ลูกน้องไม่เชื่อฟังอีก... แกผิดหวังคนในอาชีพนี้ก็ไม่แปลกหรอก เพราะฉันก็ผิดหวังกับตัวเองเหมือนกัน”
เขาโยนบุหรี่ทิ้งลงบนพื้นหญ้าชุ่มน้ำค้างยามดึกที่เริ่มโปรยมาใช้เท้าขยี้มันจนดับ จึงค่อยถอนเท้าออกมา ก้มมองซากสิ่งที่เพิ่งดับมอดลงนิ่ง ย่อตัวลงเก็บ โยนมันลงในถังขยะที่ตั้งอยู่แถวนั้น แล้วยืนนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์
ภาพแผ่นหลังของเขาซึ่งดูเหมือนแบกรับอะไรเอาไว้ตามลำพัง ทำให้ฉันอยากเอื้อมมือไปกอดเขาไว้
ไม่ใช่ความสงสาร... ไม่ใช่ความเห็นใจ... ฉันเพียงแค่อยากบอกเขาว่า เขาไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก แต่ยังมีฉันอยู่ตรงนี้อีกคน เหมือนที่เขาบอกฉันว่าปัญหาของฉัน ยังมีเขาคนหนึ่งที่ยังยินดีรับฟัง
ฉันลุกยืนขึ้น ก้าวเข้าไปหาเขาเมื่อยื่นมือจะไปแตะบ่าของเขาจากทางด้านหลัง เขาก็หันกลับมาหา
นิสัยระแวดระวัง และบางครั้งค่อนไปทางระแวงของเขาทำให้ฉันสะท้านลึก ๆ ในใจ
ใครหลายคนยอมรับรสขมของเบียร์ที่ดื่มแล้วทำให้ลืมเรื่องราวต่างๆ ไปได้ชั่วคราว แต่รสขมของความจริงกลับเฝื่อนลิ้นที่ต้องกลืนกินมันเข้าไปยิ่งกว่า
ฉันเคยมองว่า เรื่องของฉันหนักหนาและพาลโกรธคนอื่นที่ช่วยฉันไม่ได้ ทั้งที่ฉันยังมีทางไปอีกหลายทางให้เลือก มีคนที่พร้อมจะอ้าแขนรับฉันอีกมากมาย แต่เมื่อได้คุยกับเขาแล้ว ฉันรู้ว่าความลำบากใจ ความเหน็ดเหนื่อย ความทุกข์ความเสี่ยงที่ฉันพบเจอ เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของเขาเท่านั้น ดูเหมือนว่า หากไม่พบกับสถานการณ์หลังชนฝา ก็ต้องคอยระวังไม่ให้คนในแวดวงเดียวกันบางคนแทงข้างหลังอยู่ดี
“แกมีอะไรอยากเล่าให้ฉันฟังเหมือนที่ฉันเล่าให้แกฟังบ้างไหม” ฉันกระซิบถามเขาเบา ๆ “เผื่อมีบางเรื่องที่ฉันจะช่วยแกได้บ้าง”
เขายิ้ม แต่ไม่ยอมตอบ...
“ไม่มีจริง ๆ เหรอ” ฉันถามอีกครั้ง
เขาทำท่าคล้ายจะส่ายหน้าแต่หยุดนิ่งไปเหมือนเปลี่ยนใจกะทันหัน “มี แต่มันเยอะแยะไปหมดจนไม่รู้จะเริ่มจากเรื่องไหน...ถ้าให้เล่า คงต้องใช้เวลาทั้งคืน...”
“ฉันอยู่ฟังแกทั้งคืนก็ได้...”
เขาเลิกคิ้วน้อย ๆ แต่ฉันรู้ว่าเสียงของฉันจริงจังพอที่จะทำให้เขาเชื่อว่าฉันหมายความอย่างที่พูด
เราสองคนต่างยืนสบตากันเงียบ ๆ ... ไม่รู้เลยว่า เวลาผ่านไปนานเท่าใด ก่อนที่เขาจะเป็นคนแรกที่มีความเคลื่อนไหว
เขาเอื้อมมือมาจับไหล่ทั้งสองของฉัน แล้วดึงตัวฉันเข้าไปหาเขา
“ฉันเหนื่อย” เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยความรู้สึกลึก ๆ ภายในใจของตัวเองออกมา “บางที รู้สึกเหมือนกันว่า กำลังจะยืนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ในยามนี้ เราอยู่ใกล้และชิดจนฉันได้กลิ่นบุหรี่ที่ยังติดค้างอยู่บนเสื้อแจ็คเก็ตที่เขาสวมอยู่... ฉันไม่ชอบกลิ่นควันนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งที่ฉันเกลียดไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับคนที่เพิ่งจุดแล้วดับมันลงไปเมื่อครู่
เขาไม่ได้เป็นฝ่ายกอดฉัน แต่เป็นฉันที่กอดเขาไว้ เพื่อให้เขาแน่ใจว่า ฉันยังคงอยู่กับเขา ไม่เลือนหายไปเหมือนควันสีเทาจากการเผาไหม้ที่จางหายไปกับสายลม แล้วปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพังดังเดิม
“ต่อให้แกล้ม...ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรักแก... ฉันจะรอเป็นเพื่อนแก จนกว่าแกจะลุกเองไหว” ฉันบอกเขา รู้สึกถึงอ้อมแขนของเขาที่กำลังโอบกอดฉันตอบ
“ไม่ว่าแกจะเป็นอะไร จะดีหรือร้ายในสายตาใคร ฉันพร้อมจะเชื่อแกเสมอ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันทิ้งแก ขอแค่แกอย่าลืมว่ายังมีฉันอยู่ก็พอ..."
To be continued...
หมายเหตุ: เคยลงเรื่องนี้ไว้ในพันทิปเมื่อนานมาแล้ว ตกลงในคลังกระทู้เก่ามานานแล้ว เพราะพันทิปเปลี่ยนระบบ เลยเอามาลงเก็บไว้ที่นี่อีกทีค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in