BEER
(1)
“วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนักหนาวะ.... ซวยจริง ๆ ซวยที่สุด”
หลังดื่มเบียร์เข้าไปจนได้ที่ฉันก็ระเบิดเสียงลั่นออกมา ไม่แคร์สายตาใครในลานเบียร์ แถมปัดเอาเทาเวอร์ที่มีเบียร์สดพร่องไปแล้วครึ่งหนึ่งบนโต๊ะจนล้ม ดีที่เพื่อนร่วมโต๊ะของฉันลุกพรวดไปคว้าไว้ทัน
“แกเป็นบ้าอะไรของแกอายคนอื่นเขาบ้าง คนทั้งร้านมองแกอยู่คนเดียวเลยรู้มั้ย”
“อยากมองก็มองไปดิ...ไม่อายโว้ย”
ปฏิกิริยาตอบสนองจากฉันทำให้คนตรงหน้าทำหน้าเหมือนอยากด่าฉันเต็มแก่ แต่เมื่อเห็นฉันเริ่มทำเสียงฮือ ๆ แบบคนอยากร้องไห้ แต่ไม่รู้จะร้องเป็นภาษาอะไรให้สมกับความอัดอั้นตันใจจนหาทางออกอื่นไม่ได้ นอกจากดื่มให้เมากันไปข้าง เขาก็เปลี่ยนใจ แต่ไม่วายทำหน้าระอาใจ
“เอา ๆ ... แกไม่อายฉันก็ไม่อาย อยากร้องก็ร้องไป จะเมาเป็นหมาแค่ไหนก็ตามใจ ฉันจะนั่งเป็นเพื่อนอยู่ตรงนี้แหละ” เขาถอนใจเฮือก หย่อนตัวลงนั่งอิงพนักเก้าอี้พับสอดมือลงในกระเป๋าแจ็คเก็ต มองฉันอย่างอ่อนใจ “ถ้าเจ้าของร้านเรียกตำรวจมาจับแกฐานก่อความวุ่นวายฉันไม่ช่วยเคลียร์ให้นะเว้ย”
“มาจับเลยก็ดี… ให้มันรู้กันไปว่าเพื่อนช่วยเพื่อนไม่ได้” ฉันประชดเสียงสูงยกเบียร์ขึ้นซดโฮกเดียวหมด กระแทกแก้วเปล่าลงตรงหน้าเขาดังโครม “ทีตอนแกอกหักเมากลิ้งอยู่ที่คณะ จะเอาแกขึ้นไปที่หอชายที่แกอยู่ก็ไม่ได้ ฉันต้องลากแกขึ้นรถไปฝากเพื่อนที่อยู่หอนอกแกหลับไม่รู้เรื่อง ส่วนฉันเกือบโดนพ่อด่า เพราะพ่อได้กลิ่นเบียร์ในรถ ดีนะที่แถจนเอาตัวรอดมาได้ รู้งี้ ฉันไม่ช่วยแกก็ดี”
“เฮ้ย เบา ๆ หน่อย” เขาใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากบอกให้ฉันเงียบ ขณะที่เขาลดเสียงลงให้อยู่ในระดับที่ได้ยินกันสองคน“ไม่ต้องมาลำเลิกบุญคุณกันหรอกน่า... ฉันเป็นหนี้แกไม่ใช่แค่ชาตินี้ ต่อให้ถึงชาติหน้าก็ไม่ลืม"
“รู้ตัวก็ดี” ฉันแค่นยิ้ม “แล้วถ้าร้านให้คนมาจับฉันจริงแกจะช่วยหรือไม่ช่วย”
“ไม่...” เขายืนยันคำเดิม เอื้อมมือมาแย่งแก้วเบียร์ไปจากฉัน แต่ฉันกระชากกลับคืน แล้วเปิดก๊อกเทาเวอร์เติมเบียร์ลงไปอีก ทำให้เขาได้แต่ส่ายหน้าในความรั้นของฉัน “ถ้าแกอาละวาดแล้วทำคนอื่นเดือดร้อน”
“ฉันเป็นเพื่อนแกนะ"
“เออ สิวะ...เพราะแกเป็นเพื่อนนี่แหละ” เขาฉวยโอกาสดึงแก้วเบียร์ไปจากมือฉันจนได้ “เพื่อนที่สนับสนุนให้เพื่อนทำผิด แกจะเรียกมันว่าเพื่อนอีกมั้ยล่ะ"
เมื่อฉันพยายามจะคว้าแก้วที่เขาเอาไปคืนมาอีกครั้งเขาก็รวบข้อมือสองข้างของฉันกดลงกับโต๊ะ ฉันนิ่วหน้า พยายามบิดข้อมือหนีให้หลุดจากมือของเขา
“เจ็บนะ... ปล่อย...”
ถึงจะถูกขู่ แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย “สัญญาก่อนว่าแกจะหยุดดื่มเดี๋ยวนี้แล้วจะไม่ทำอะไรบ้า ๆ แบบนั้นอีก ฉันถึงจะยอมปล่อย”
“ทำไมฉันต้องสัญญาด้วย”
“จะสัญญาหรือไม่สัญญา” เสียงเข้มของเขาทำให้ฉันรู้ว่าเขาเอาจริง
“สัญญาก็ได้… หยุดก็หยุด” ฉันตอบ “ปล่อย...”
ดูเหมือนเขาไม่ค่อยอยากเชื่อคำพูดรับปากนี้สักเท่าไหร่แต่ก็ยอมปล่อยแขนฉันโดยดี หากยังจ้องฉันไม่ละสายตา แล้วยื่นมือออกมาตรงหน้า
“เอากุญแจรถแกมาเดี๋ยวฉันไปส่งแกที่บ้าน”
“ฉันยังขับไหว” ฉันเถียง ทั้งที่รอยมือใหญ่ที่ปรากฏและความระบมในบริเวณข้อมือทั้งสองของฉัน รวมทั้งความเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานหลายปีเตือนให้รู้ว่า เขาเอาจริง และกำลังโกรธฉันอยู่จริง ๆ “ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แกอยากกลับก็กลับเลย ฉันอยู่คนเดียวได้”
“ฉันจะปล่อยให้แกเมาเละตัวคนเดียวได้ไง โตจนป่านนี้แล้ว คิดบ้างสิ ผู้ชายแถวลานเบียร์มีเป็นฝูง ใครดีใครเลวก็ไม่รู้ ถ้ามันพาแกไปทำอะไรขึ้นมา จะทำยังไง”
แม้จะเข้าใจถึงความปรารถนาดีของคนตรงหน้า แต่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ผสมกับความพยายามในการกลบเกลื่อนความกลัวในสิ่งที่เขาพูดกลับทำให้ฉันยังพยศกับเขาไม่เลิก
“ฉันดูแลตัวเองได้” ฉันเชิดหน้าใส่เขา “แกอย่าทำเป็นพูดดีแล้วคิดไม่ซื่อเองก็แล้วกัน”
“สภาพอย่างแกเนี่ย ใครจะไปมีอารมณ์เอาวะ”
“แกพูดเองนะ” ฉันย้อน เริ่มโมโหขึ้นมาบ้าง เพราะคำพูดบางอย่างที่กระทบถึงบางเรื่องซึ่งทำให้ฉันมานั่งดื่มตามลำพังจนกระทั่งเขาเดินเข้ามานั่งด้วย โดยที่ต่างคนต่างไม่คิดว่าจะได้พบกันที่นี่ “ถ้าแกไม่เอา คนอื่นมันก็ไม่เอา”
เขาระบายลมหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย “อยากได้สามีโดยอุบัติเหตุก็ตามใจ...แต่ถึงแกรอดมือพวกมันมาได้ แกคิดเหรอว่า ล่อเบียร์ซะเกือบค่อนเทาเวอร์แบบนี้ เจอด่านแล้วแกจะเป่าแอลกอฮอล์ผ่าน”
“แกจะแคร์ฉันทำไมฉันถามว่าจะให้ช่วยมั้ย แกก็ไม่ช่วย”
“ฉันบอกสักคำมั้ยว่าจะช่วยเคลียร์”
“งั้นจะไปไหนก็ไปเลย ไป”
“นี่ ฉันยังไม่ได้เอาเรื่องที่แกเมาแล้วขับ แถมใช้กล้องมือถือถ่ายรูปเข็มไมล์เหยียบร้อยกว่าของแกมาลงเฟซบุ๊คเมื่อวันก่อนเลยนะเว้ย แกไม่คิดหรือไงว่า มันอันตราย ถ้าแกตายคนเดียว ฉันก็แค่สมน้ำหน้าแกแต่คนข้างหลังแกต้องเสียใจแน่ ๆ ยิ่งถ้าแกเกิดไปชนคนอื่น มันทำให้คนอื่นเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก หัดสำนึกซะบ้างสิ”
คำพูดของเขาที่เหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นสิ่งที่ฉันทำลงไปทำให้ฉันสะอึก
“แล้วถ้าแกเอาสารรูปแบบนี้กลับบ้าน พ่อแกจะว่าไง”
คำพูดนั้นกระตุกสติของฉันกลับมาแต่ก็อดย้อนเขาไม่ได้ “ใครบอกแกว่าคืนนี้ฉันจะกลับบ้าน แล้วทีตอนแกเมาคราวนั้นล่ะ ทำไมไม่คิด”
“เพราะตอนนั้นไม่คิดไง ถึงได้ทุเรศตัวเองอยู่ทุกวันนี้ อย่าให้ฉันต้องทุเรศแกอีกคนเลย”
สายตาของเขาที่มองมาฉายแววสงสารและสงสัยมากกว่าสมเพชอย่างที่ปากพูด
“แกไม่เหมือนแกคนเดิมตอนที่จิกหัวด่าเรียกสติฉันตอนนั้นเลยว่ะฉันถามจริง ๆ เหอะ ใครหรืออะไรทำให้แกเป็นได้ถึงขนาดนี้”
เมื่อเขาพูดจบ น้ำตาที่ไม่ยอมไหลออกมาแต่แรกของฉันก็ล้นทำนบ แล้วฉันก็ปล่อยโฮออกมาเดี๋ยวนั้นนั่นเอง...
==================================
(2)
“วันนี้มันวันอะไรกันนักหนาวะ...”
ผมพึมพำกับตัวเองในใจอุตส่าห์ลางานหนีออกนอกพื้นที่มาได้ แต่แทนที่จะได้นั่งดื่มเบียร์สบาย ๆในบรรยากาศดี ๆ และอากาศเย็น ๆ ห่างหายไปนาน กลับต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องเสียเงินค่าเบียร์ทั้งที่ไม่ได้กินสักหยด ต้องรีบพาคนที่กินเบียร์เกือบค่อนเทาเวอร์ออกไปจากลานเบียร์ แล้วก็ยังต้องคอยดูแลเจ้าหล่อนที่กำลังสะอื้นฮักๆ ไม่หยุดอยู่ในรถอีก
แม่ง... อย่างกับนางเอกหนังบางค่ายหลุดออกมาจากจอ เมาหัวทิ่มไม่พอ ยังรั่วได้อีก
ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลยรู้อย่างนี้ทำเป็นไม่รู้จักแล้วปล่อยไว้แบบนี้ก็ดีหรอก...
ถึงจะมีแวบหนึ่งที่คิดอย่างนั้นและอยากถอนใจสักล้านครั้ง แต่ผมก็ทิ้งเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่อยู่ปี 1 อย่างเธอไปไม่ลงอยู่ดี
แค่เห็นเธอนั่งกรอกเบียร์ใส่ปากแล้วเติมใหม่ แล้วกรอกเข้าไปอีกไม่หยุด ผิดวิสัยเธอคนเดิมที่ผมรู้จักและเคยทำงานสโมสรนักศึกษามาด้วยกันแทบเป็นคนละคน ก็ผิดสังเกตมากพอแล้ว แถมเธอทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้มิหนำซ้ำยังอยู่คนเดียวอีก
นี่ยังไม่นับที่เธอขับรถเหยียบร้อยยี่สิบ แล้วเอากล้องมือถือถ่ายส่งลงเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งนาทีแรกที่เห็นภาพนั้น ผมแทบสำลักข้าวกล่องที่เอามากินอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่นั่งทำงานอยู่ ไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า นี่เป็นฝีมือเธอด้วยซ้ำ
ผมรู้ว่าเธอเป็นคนมั่นใจ ตรงไปตรงมา และช่างเถียงอยู่บ้างกับคนที่สนิทกัน แต่ผมก็ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเมาแล้ว ‘รั่ว’ มิหนำซ้ำยังรั้นหัวชนฝา แถมยังยั่วโทสะคน เหมือนไม่ใช่ตัวเธอที่ผมรู้จักมาก่อนได้ถึงขนาดนี้
คนอื่นอาจจะโกรธเธอในความน่าหมั่นไส้ และผมก็ยอมรับว่าตัวเองก็โมโหเธอที่ทำตัวเหลวไหลแบบนี้อยู่ แต่ผมมีเหตุผลที่ต่างออกไป คือ ผมเคืองที่เธอไม่ดูแลตัวเอง แล้วทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วง
ไม่ว่าจะโกรธ หรือไม่โกรธ... แต่ผมก็เผลอตัวถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเธอไปแล้ว และรอยมือผมที่จับข้อมือของเธอกดลงกับโต๊ะ ระหว่างแย่งแก้วเบียร์มาจากเธอ ก็ยังปรากฏอยู่จาง ๆ บนข้อมือของคนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ
ความรู้สึกผิดที่ทำไม่ดีกับเธอ ก็เป็นอีกเหตุผลที่ผมจะปล่อยให้เธออยู่คนเดียวไม่ได้ นอกจากเหตุผลเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน และสวัสดิภาพของเธอ
ผมเหลือบตามองเจ้าของรถที่ผมยึดกุญแจมาขับแทน...ดูเหมือนเธอจะสงบลงมากแล้ว แต่ก็ยังสูดจมูก กับยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอยู่เป็นระยะ
“จะร้องไห้ก็ร้องให้พอ” ผมควานเอากระดาษทิชชูแผ่นสุดท้ายจากกล่องส่งให้ “พอแล้วก็เลิกร้อง”
เธอเอื้อมมือมากระตุกเอาทิชชูจากมือผมไปแล้วสั่งน้ำมูกพรืด “ถ้าฉันไม่หยุดแล้วแกจะทำไม”
“ถ้าแกไม่หยุด ฉันจะแวะเซเว่นซื้อทิชชูกล่องเพิ่มให้แกอีกสักครึ่งโหล” ผมประชด “ถ้าแกอยากกินเบียร์ให้บวมน้ำตาย ฉันก็จะซื้อให้ ไม่ห้ามแล้ว”
“ไอ้บ้า”
ถึงจะถูกด่าแต่ผมก็อดยิ้มขันไม่ได้ เบาใจขึ้นที่เห็นสัญญาณว่าเธอกลับเป็นคนเดิมที่ผมคุ้นเคยอีกครั้ง
“คงไม่บ้าเท่าแกตอนนี้หรอก” ผมว่า “ตกลงแกจะไม่กลับบ้านจริง ๆ เหรอ”
“ไม่” เธอยืนยันเสียงแข็ง แต่ไม่นานนักก็หันหน้าหนีไปมองออกนอกกระจกรถ ซึ่งผมกำลังขับผ่านสวนสาธารณะใจกลางเมือง “ฉันไม่ได้บอกที่บ้านไว้ว่าจะกลับมาที่นี่...วันนี้...”
น้ำเสียงในประโยคหลังของเธอสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อาการของเธอทำให้ผมตัดสินใจชะลอรถแล้วเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ตรงหน้าประตูทางเข้าสวนสาธารณะซึ่งปิดไปนานแล้ว และเอื้อมมือไปจับไหล่ของเธอ
“แกมีปัญหากับที่บ้านใช่ไหม”
คำถามของผมคงจะตรงและเดาใจเธอแม่นเกินไปด้วยซ้ำ เพราะเธอหันขวับมาทางผมทันที และมองหน้าผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน
ถ้าหากผมมองไม่ผิดแววตาของเธอมีความโดดเดี่ยวแฝงอยู่...
“ก็ได้... ถ้าแกยังไม่อยากกลับ ก็ยังไม่ต้องกลับ” คนตรงหน้าทำให้ความตั้งใจจะบังคับให้กลับบ้านของผมมีน้ำหนักน้อยลงเมื่อเทียบกับความรู้สึกของเธอ “แต่เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับแกกันแน่แกถึงได้กลายเป็นแบบนี้”
“แกจะสนใจทำไม” สำเนียงของเธอบอกให้ผมรู้ว่าเธอกำลังน้อยใจและฝังใจจำกับสิ่งที่พูดกับเธอระหว่างที่ผมพยายามห้ามไม่ให้เธอดื่มมากไปกว่านั้น
ถ้าไม่สนใจคงไม่ถามแกหรอกมั้ง... ผมเกือบพลั้งปากประชดออกไปตามนิสัย แต่ดีที่ฮุบคำเหล่านี้เอาไว้ทัน เธอเจอปัญหามามากพอแล้ว และปัญหาของเธอคงสาหัสกว่าปัญหาอกหักที่ทำให้เธอต้องเอาผมมาเป็นภาระในตอนนั้นมากนัก
“มันคนละเรื่องกันนะ แก” ผมว่า “เลิกงอนก่อนได้ไหมแล้วมาคุยกันดี ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันช่วยแกได้ ฉันจะช่วย ฉันไม่ทิ้งแกไปไหนหรอก เชื่อสิ”
เธอนิ่งไปชั่วครู่สีหน้าของเธอ ทำให้ผมนึกหวั่นใจว่า เธอจะร้องไห้ออกมาอีก
“แกสัญญานะว่าแกจะไม่ทิ้งฉัน”
ผมพยักหน้า “อือ สัญญา...”
อย่างน้อย ก็ตอนนี้ที่รับปากละนะ...
==================================
(3)
“ฉันลาออกจากงานบริษัทนั้นมาได้เกือบปีแล้วแก” เธอเล่า หลังเราเดินข้ามฝั่งถนนมายังสนามหญ้าฟากที่ติดกับคูเมือง “พ่อไม่เห็นด้วย พ่อบอกให้ทำงานนี้ไปก่อนแต่ฉันก็ดื้อพอที่จะขัดใจพ่อ...”
ครั้งล่าสุดที่เราคุยกันในงานเลี้ยงรวมรุ่นในกรุงเทพฯเธอบอกว่า เธอทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง หน้าที่การงานของเธอดูไปได้สวยจนผมไม่คิดว่าเธอจะตัดสินใจทำอย่างที่พูด
“ฉันไม่ได้มีปัญหากับใครอย่างที่แกคิดหรอก”
“แล้วเป็นผู้จัดการดีๆ ไม่ชอบ ลาออกมาหาอะไร”
เธอขยับมุมปากยิ้ม“หาอิสระน่ะสิ แก”
“หือ?”ผมเลิกคิ้ว หยุดมือที่ควานหาของในกระเป๋าแจ็คเก็ตโดยอัตโนมัติ
ทั้งที่มีม้านั่งปูนที่เทศบาลทำไว้ให้ แต่เธอก็ไม่นั่ง กลับทรุดตัวลงนั่งเหยียดขาบนพื้นหญ้าแทน
“แกจะสมน้ำหน้าฉันก็ได้...” เธอเงยหน้าขึ้นมองผม “เป็นลูกสาวคนเดียว อยู่บ้านกับพ่อกับแม่สบายๆ ไม่ชอบ ต้องตะเกียกตะกายออกไปลำบากอยู่คนเดียวข้างนอก เพราะไม่อยากพึ่งใคร พอได้งานดีเงินดีก็ไม่ชอบ คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งก็ลาออกมาเป็นฟรีแลนซ์ คิดเองทำเองไม่ต้องให้ใครสั่ง มาเป็นนายหน้าให้กับแหล่งวัตถุดิบกับโรงงานที่เขาผลิตป้อนเองอาศัยความไว้ใจกันมาแต่ก่อน ตอนแรกทุกอย่างมันก็ดูดี ดูง่ายไปหมด จนกระทั่งบางคนมันโผล่หางออกมาตอนเราตายใจ ฉันเองก็โง่ด้วยละ ที่เชื่อใจคนมากไป...”
“แกไม่โง่หรอกแค่เป็นคนดีเกินไป” ผมหย่อนตัวลงนั่งข้างเธอ
เธอเลิกคิ้วเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “แกพูดดี ๆ กับเขาเป็นด้วยเหรอ”
“พูดเป็นเมื่อช้าไปว่ะ ไม่งั้นคงไม่กินแห้วหมดทั้งไร่มาถึงป่านนี้หรอก” ผมบอก “อย่าสนใจเรื่องของฉันเลย เข้าเรื่องของแกได้แล้ว”
“แกน่าจะอยากพูดว่า อย่าเสือกเรื่องของแกมากกว่านะ” เธอว่าขัน ๆ และดูผ่อนคลายลงกว่าเดิมมาก แต่ยังมีร่องรอยของความอึดอัดอยู่ในที “แต่ยังไงฉันก็ว่าฉันโง่อยู่ดี...”
ผมมองเธอหน้าเธอ
“เล่ามาก่อน ฉันจะคิดเองว่าแกโง่หรือเปล่า ถ้าฉันเห็นว่าแกโง่จริง จะซ้ำให้หายโง่เลย ไม่ต้องห่วงหรอก”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in