(1)
“ก็ไม่ว่ายังไง” ผมแกล้งตอบเหมือนไม่สนใจ “ไม่อยากให้ขมก็ใส่น้ำตาลสิ ไม่เห็นแปลกอะไร”
เธอถามต่อ “ถ้าไม่ให้ใส่น้ำตาลล่ะ แกคิดว่าจะทำให้กาแฟขมน้อยลงได้ไง”
“ไม่รู้สิ...” ผมนึกหาคำตอบให้กับคำถามของเธอไม่ทันว่า เธอจะทำให้กาแฟดำขม ๆ ของผมหวานขึ้นหรือขมน้อยลงได้อย่างไรถ้าไม่ใส่น้ำตาล
เธอขยับเข้ามากระซิบถามใกล้ ๆ “จะคิดต่อหรือยอมแพ้...”
ผมรู้ว่าเธอยื่นคำท้าให้ผมคิดเอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าสมองผมชาจนคิดอะไรไม่ออก เมื่อศีรษะเธอเอนมาชิดจนเกือบจะอิงอยู่กับไหล่
“ยอม...”
เธอเลิกคิ้วเหมือนแปลกใจที่ผมยอมจำนนเธอเอาง่าย ๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร หากหันไปบอกกับคนที่ชงเครื่องดื่มทั้งสองแก้วมายื่นให้
“โกคะ ขอแก้วเปล่าใบนึง แล้วก็ช้อนกาแฟด้วยค่ะ”
อา โกทำตามคำขอของเธอโดยดี แล้วเดินกลับไปยังม้านั่งที่ใช้ประจำหน้าเตาคั่วกาแฟเหมือนเดิมส่วนภรรยาของแกก็กลับไปหั่นขนมปังเงียบ ๆ ตามประสาแกเหมือนเดิม
ขณะผมยังคิดไม่ออกว่า เธอคิดจะทำอะไรต่อไป เธอก็ยื่นแก้วเปล่ามาทางผม “เทกาแฟดำของแกใส่แก้วนี้ครึ่งนึง”
เมื่อเห็นผมยังนิ่งอยู่ เธอก็สำทับซ้ำ “บอกให้ทำก็ทำสิแก... ไม่อยากรู้เหรอว่า ฉันจะทำให้กาแฟของแกหวานขึ้นมาได้ยังไง”
ประโยคหลังนั้นเตือนให้ผมรีบทำตามที่เธอสั่งและเลิกคิ้วให้เธอเป็นเชิงถาม “แล้วไงต่อ”
เธอ ยิ้มมุมปาก ไม่พูดพล่ามทำเพลง จัดการเทโกโก้ร้อนจากแก้วของเธอครึ่งหนึ่งลงมาผสมกับกาแฟดำที่เหลืออยู่ในแก้วของผม แล้วเอาช้อนคนเครื่องดื่มสองอย่างในแก้วนั้นผสมกัน จากนั้นก็เทกาแฟดำที่ผมเทใส่แก้วเปล่าลงในแก้วของตัวเองจนหมดแล้วผสมมันเข้าด้วยกัน
จากกาแฟดำหนึ่งแก้ว โกโก้ร้อนหนึ่งแก้ว ตอนนี้ ทั้งสองอย่างได้มารวมกันกลายเป็นเครื่องดื่มที่ผมไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรอยู่ในมือของเราคนละแก้ว เหมือน ๆ กัน
กินได้จริงเหรอวะ... ผมนึกในใจ เหลือบมองคนข้าง ๆ ...ตกลงคุณเธอยังไม่สร่างเมาหรือเปล่าเนี่ย
“แกคิดว่าฉันไม่หายเมาหรือไง จ้องเอา ๆ แบบนี้”
พูดอีกก็ถูกอีก... เธอพูดเหมือนอ่านใจผมออกเป๊ะ แต่เธอก็ไม่ได้หยุดทำให้ผมแปลกใจอยู่เพียงเท่านี้เพราะเธอทำในสิ่งที่ทำให้ผมถึงกับอึ้ง
เธอยกแก้วโกโก้ผสมกาแฟของเธอจรดริมฝีปาก ดื่มรวดเดียวจนหมดแล้วเช็ดปากด้วยหลังมือ
“กินได้แน่เหรอ” ผมอดถามไม่ได้ถึงจะเห็นอยู่กับตาว่าเกิดอะไรขึ้น
“แล้วแกเห็นฉันทำอะไรล่ะ” เธอย้อน
“กินเข้าไปไง”
“ก็เห็นอยู่ว่ากินได้ ยังจะมาถามอีก”
จริงของเธอ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า นี่เป็นสิ่งที่ผมจะกินได้อย่างที่เธอทำ...ไม่รู้ว่า ผมอุปาทานไปเองหรือเปล่าว่า เธอแอบทำหน้าเบ้เมื่อดื่มเข้าไปอึกแรกแต่พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“รสชาติเป็นไง”
เธอทำท่าเหมือนรำคาญอยู่หน่อย ๆ กับความเจ้าปัญหาไม่เป็นเรื่องของผม
“ก็ดื่มสิ จะได้รู้... ของแบบนี้มันต้องลองเอง”
เมทแอมเฟตามีนกินแล้วหลอน ทุกคนรู้แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องกินนี่นา... ผมเถียงเธอในใจแต่ก็กลั้นใจดื่มมันเข้าไปจนหมดแก้ว
เหตุผลที่ดื่มมันเข้าไป ไม่ใช่เพราะจำยอม หรือเพราะอยากลองแต่เป็นเพราะ ‘เธอ’ คนเดียวจริง ๆ
“รสชาติเป็นไง” เธอถามผมด้วยคำถามที่ผมเคยถามเธอ
หลังจากกลืนน้ำลายเข้าไปล้างกาแฟดำผสมโกโก้ของเธอที่ยังติดอยู่ในคอไปหลายอึกผมถึงเค้นคำพูดให้หลุดออกมาจากปากได้
รสแรกที่กาแฟผสมโกโก้ของเธอผ่านเข้าไปในปาก รสแรกที่สัมผัสลิ้น คือ ความขมเข้มชวนปวดหัวจี๊ดอย่างคงเส้นคงวาผสมกลิ่นไหม้ของกาแฟดำที่ไม่มีใครชงได้แบบนี้นอกจากอาโก ที่ผมรู้สึกได้เกือบพร้อม กัน คือ รสจืดปนมันที่ยังคงเจือด้วยความขมอยู่ตามเคย แต่เป็นรสขมของโกโก้ที่นุ่มนวลกว่าเป็นภัยต่อต่อมรับรสน้อยกว่ากาแฟดำ ส่วนรสหวานที่ผมพยายามตามหานั้น ก็มีอยู่บ้างแต่แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะมันผ่านปลายลิ้นแค่ประเดี๋ยวเดียวก่อนกลืนเครื่องดื่มนั้นลงคอ
“บรรยายไม่ถูกเลย...”
เธอหัวเราะ สายตาที่มองตอบมาบอกว่า ถ้าผมถามกลับนั่นจะเป็นคำตอบของเธอเหมือนกัน
“แล้วหวานขึ้นไหม”
“แทบไม่รู้รส” ผมว่า “ไม่รู้สึกว่าหวานขึ้น แต่ก็ขมน้อยลง... แกหลอกกันนี่”
“ฉันหลอกอะไรแก” เธอทำเสียงสูง แต่ผมรู้สึกว่าเธอกำลังกลั้นหัวเราะไปด้วย
“ไหนแกบอกว่า แกจะทำให้กาแฟหวานขึ้น”
“ฉันพูดแบบนั้นที่ไหนกัน ฉันถามแกว่า ถ้าฉันทำให้กาแฟหวานขึ้นได้ แกจะว่ายังไง กับ ถ้าไม่ใส่น้ำตาล จะใช้วิธีไหนให้มันขมน้อยลง” เธอแย้ง ยักคิ้วแหย่ผม “หรือไม่ถูก”
ผมยกมือสองข้างขึ้นยอมแพ้เธอแต่โดยดี...
เธอทำท่าเหมือนผิดคาดที่ผมยอมยกธงขาวเร็วกว่าที่คิด ดูเหมือนเธอจะเป็นหนึ่งไม่กี่คนที่ผมยอมลงให้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับตัวเองหรือลำบากใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ตาของเราสบกันชั่วแวบ เราต่างเงียบไปอย่างกะทันหันต่างคนต่างเห็นความหมายที่อยู่ภายในสายตาของกันและกัน
“แกรู้ใช่ไหมว่า ฉันอยากบอกอะไรแก” เสียงของเธอไม่เหลือร่องรอยของการหยอกเย้าอย่างเมื่อครู่อีกต่อไป
ผมพยักหน้า ผมคิดว่า ผมรู้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นมีความหมายอย่างไร และเธอเองก็พยายามจะบอกบางสิ่งให้ผมรู้ผ่านการกระทำของเธอ แต่ในเวลานี้ ผมไม่อยากคาดเดาอะไรต่อไปอีกแล้ว
“แกไม่ถามต่อได้ไหมว่าฉันคิดอะไร ฉันอยากฟังเหตุผลจากแกเลยมากกว่า”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
เธอเอื้อมมือมารับแก้วจากผมไปวางไว้ข้างแก้วเปล่าที่เธอใช้แบ่งกาแฟดำไปจากผมในตอนแรก และวางแก้วโก้โก้ที่ถูกผสมด้วยกาแฟดำที่ถูกถ่ายจากแก้วใบนั้นลงบนโต๊ะข้าง ๆ กัน
“ก่อนที่แกจะเฉลย ฉันถามแกได้ไหม ว่าทำไมแกไม่เทโกโก้ในแก้วของแกลงในแก้วของฉัน แทนที่จะเทใส่แก้วเปล่าก่อน” ผมถาม
“กาแฟ ในแก้วของแกเยอะอยู่แล้ว ไม่มีที่ว่างพอให้ฉันเติมโกโก้เข้าไป... ฉันถึงต้องให้แกเทกาแฟของแกออกก่อน ฉันถึงจะเติมโกโก้ของฉันเข้าไปในแก้วของแกได้” เธออธิบาย
“แกรู้ไหม ตอนที่แกบอกฉันว่าความทุกข์ของแกความกดดันของแก เป็นเรื่องที่บอกใครไม่ได้ หรือบอกไปแล้วใครก็ช่วยแกไม่ได้ สิ่งที่แกแบกอยู่มันก็ไม่ได้ต่างจากกาแฟดำขม ๆ เต็มแก้วของแกหรอก... ถ้าแกไม่เทของในแก้วออกใครก็เติมอะไรอย่างอื่นเข้าไปไม่ได้”
“ตอน ที่ฉันเทโกโก้ของฉันลงในแก้วของแก ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า รสชาติของโกโก้ของอาโกจะเป็นยังไงคิดว่ามันก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะฉันสั่งแบบให้อาโกชงมาให้แบบไม่หวานมาก ฉันได้แต่หวังว่ามันจะช่วยให้กาแฟของแกขมน้อยลงกว่าเดิมบ้าง...”
เธอวางมือของเธอลงเหนือเข่าของผม
“ตัวฉันก็เหมือนโกโก้แก้วนั้นแหละ... ฉันไม่รู้จะช่วยแกแก้ปัญหาที่ฉันเองก็ไม่มีปัญญาช่วยได้ยังไง ไม่รู้ว่าคำพูดที่ฉันบอกแกไปจะทำให้แกดีขึ้นได้แค่ไหน แต่การที่แกได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจแกออกมาบ้าง ฉันคิดว่ามันคงจะทำให้แกหายอึดอัด ถึงฉันจะช่วยอะไรแกไม่ได้มากไปกว่าปลอบใจแก ฉันก็อยากให้แกรู้สึกดีขึ้นบ้าง”
“ฉันเข้าใจ... แล้วก็ขอบใจแกด้วย แกทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากจริง ๆ” ผมวางมือลงเหนือมือของเธอ แล้วบีบมือของเธอเบา ๆ เพื่อยืนยันว่าผมพูดตามความรู้สึกของตัวเอง “แต่แกก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอากาแฟของฉันไปใส่ในแก้วแกไม่จำเป็นด้วยซ้ำที่แกจะต้องดื่มมันเข้าไป”
มีรอยยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นปรากฏบนใบหน้าของเธอ
“ฉันแค่อยากจะรู้ว่า ของที่แกบอกว่าไม่อร่อยเลย มันมีรสชาติเป็นยังไงเท่านั้นเอง” เธอเอ่ย “ฉันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเข้าใจแกได้ทั้งหมดหรอกนะ เพราะในแก้วของฉันมันก็มีโกโก้อยู่ จะให้มันเป็นรสเดียวกับกาแฟของแกก็คงไม่ใช่ แต่ฉันก็พอจะรู้ว่า รสกาแฟดำที่มันปนอยู่ในแก้ว มันไม่อร่อยเลย แต่มันคงไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่แกเคยกินมาด้วยซ้ำไป”
“แค่นั้นก็พอแล้ว...” ผมบอกเธอเบา ๆ “แค่ได้รู้ว่ามีคนพยายามจะเข้าใจ แล้วก็อยู่ข้างกันต่อให้มีแค่คนเดียวจากคนทั้งโลกก็มากพอแล้ว”
สัมผัส จากมือของเธอที่พลิกขึ้นบีบมือผมตอบทำให้ใจของผมกระตุก และในนาทีถัดมา ผมก็ไม่กล้ามองหน้าเธออีก ได้แต่ก้มมองมือของเราสองคนที่ประสานกัน ในใจเต็มตื้นด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นจนนับครั้งได้นับแต่เวลาที่ผมทำงานเป็นคนในเครื่องแบบเป็นต้นมา
“เวลาที่เราทุกข์ เป็นเวลาที่เราควรจะมีเพื่อนสักคนอยู่ใกล้ ๆมากที่สุด...” เสียงของเธอไม่ได้ดังไปกว่าเสียงของผมเลย “ฉันโชคดีที่ได้เจอแก แล้วก็ต้องขอบใจแกมากด้วยเหมือนกัน ที่แกโดนฉันวีนฉันเหวี่ยงยังไง แกก็ไม่ยอมทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว ไม่อย่างงั้น ฉันคงหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอแล้วก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉันบ้างอย่างที่แกเตือนฉัน แกทำให้ฉันรู้ว่าแกเป็นห่วงฉันจริงๆ”
มีบางประโยคในคำพูดของเธอทำให้ผมสะกิดใจ “แกหาทางออกให้ปัญหาของแกได้แล้วเหรอ...”
เธอพยักหน้าช้า ๆ “คำแนะนำของแกทำให้ฉันตัดสินใจได้แต่อาจจะต้องลองปรึกษาพ่อดูก่อนน่ะนะ ว่าพ่อจะว่ายังไง แล้วฉันค่อยบอกแกอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ”
“ดีใจด้วย แก”
เธอยิ้มรับ “ขอบใจ แก... ของแกก็เหมือนกันฉันว่าสักวัน แกต้องหาทางออกของแกได้”
“หวัง ว่านะ” ที่จริงผมควรจะพูดอะไรที่ดีกว่านี้แต่ผมยอมรับว่าถึงจะรู้สึกดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันความกังวลลึก ๆ ก็ยังไม่ได้หายไปไหน
“ก็ดีกว่าไม่หวังอะไรเลย จริงไหม” เธอว่า
“นั่นสินะ” ผมเห็นพ้อง ก่อนก้มดูนาฬิกาข้อมือ “แกง่วงหรือยัง จะกลับบ้านเลยไหม”
“ตื่นมาขนาดนี้ไม่ง่วงแล้วละ แต่ไปดีกว่า เกรงใจเขา” เธอบอก จัดการเก็บรวบรวมแก้วทั้งสามใบแล้วลุกขึ้น “แกง่วงแล้วเหรอ เดี๋ยวฉันไปส่งแก ส่วนฉันคงเตร่ไปมาจนถึงเวลารอใส่บาตรตอนเช้าเลย ค่อยกลับบ้าน”
“หาทางออกได้ก็ไล่กันเลยเหรอ” ผมว่า พร้อมลุกขึ้น “ไหนว่าจะอยู่ด้วยกันทั้งคืน ฟังเรื่องของฉันไงฉันยังไม่ได้เล่าอะไรให้แกฟังสักเรื่องเลยนะ... แล้วแกจะเอาสภาพแบบนี้ไปใส่บาตรได้ยังไง”
เธอรู้ว่า ผมไม่อยากปล่อยให้เธออยู่ตามลำพัง ถึงได้มองผมเหมือนลังเลใจปนเกรงใจ แต่ท้ายที่สุด เธอก็ยิ้มออกมา
“นั่นสินะ... ฉันก็อยากล้างหน้า ล้างตา อยากอาบน้ำอยู่เหมือนกัน ขับรถมาทั้งวันแล้วด้วย”
“งั้นแกก็ไปใช้ ห้องน้ำที่ห้องพักฉัน ตั้งแต่เช็คอินกับเอาของไปเก็บ ฉันยังไม่ได้ใช้ห้องเลย ฉันจะรอที่ล็อบบี้ข้างล่าง แกทำธุระเสร็จแล้วค่อยลงมา แล้วฉันค่อยสลับขึ้นไปบ้าง ”ผมเสนอ
“จะดีเหรอ แก” เธอออกปาก ทำหน้า ‘เหมือน’ กำลังคิดหนัก แต่ประกายตานั่นเหมือนตอนผมรับปากว่าจะเลี้ยงเบียร์ฟรีไม่มีผิด “ถ้ามีคนเห็นแกอยู่กับฉันแล้วแกไม่กลัวตัวเองจะเสียหายเหรอ”
“อยู่กับแกมาจนป่านนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว” ผมหัวเราะไปกับเธอด้วย แล้วหันไปบอกเจ้าของบ้าน “โกคิดค่ากาแฟกับโกโก้ด้วย พวกผมจะไปกันแล้ว”
“ยี่สิบบาท” แกร้องบอก “เอาแก้ววางไว้บนโต๊ะนั่นละเดี๋ยวเก็บเอง”
“เดี๋ยวนี้นมแพง น้ำตาลแพงยังจะคิดราคาเดิมอยู่อีกเหรอ”
“อั๊วไม่อยากคิดเงินลื้อ แต่บอกว่าเลี้ยงตอบแทนบุญคุณ คนอย่างลื้อคงไม่ยอม... ถ้าลื้อให้อั๊วมากกว่ายี่สิบบาท แล้วบอกไม่ต้องทอน อั๊วก็จะไม่เอาเงินลื้อสักบาทเหมือนกัน”
ผมตั้งใจจะแซวแกไปอย่างนั้น หากแต่คำพูดของแกทำให้ผมพูดอะไรแทบไม่ออก... คนที่ผมเคยคิดว่าจะผ่านเขามาในชีวิตแล้วผ่านออกไปเมื่อคดีจบลง ดูจะเข้าใจผม ยิ่งกว่านายที่ทำงานด้วยกันทุกวันเสียอีก
แกทำให้ผมรู้ว่า อย่างน้อย ก็มีคนบางคนที่ผ่านมาในชีวิตเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ ที่ยังจดจำเราได้ไม่เคยลืม...
ที่นี่อาจไม่ใช่ที่แรกที่ผมอยากจะมา และแกอาจไม่ใช่คนแรกที่ผมอยากจะพบ แต่ผมก็ดีใจที่ได้เจอแกและอย่างที่ผมเคยพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง... กาแฟของแกทำให้ผมตาสว่างได้เสมอ
“ผมวางสตางค์ไว้ตรงนี้นะ โก” ผมหยิบแบงค์ยี่สิบออกมาจากกระเป๋าสตางค์วางไว้บนโต๊ะให้แก“ถ้าผมได้มาอีก จะมาเที่ยวหา”
ตาของแกเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของผม แล้วยิ้มกว้าง “จริงนะ จ่า”
“จริงสิ” ผมให้คำมั่นอดขำไม่ได้กับท่าทางดีใจเหลือเกินของแก “ถ้าเจอกันหนหน้าเลิกเรียกผมว่าจ่าได้แล้ว เรียกจ่าบ่อย ๆ ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนซะที”
ขณะตอบผม อาโกทำหน้าจริงจังเท่ากับเสียงของแก
“ได้... ผู้กอง”
(2)
ระหว่างเราสองคน เดินออกจากตึกแถว กลับไปยังรถที่จอดเอาไว้ ผมหันไปมองคนที่เดินเริ่มจะเดินคล้อยหลังผมไปท่าทางที่เธอเดินห่อไหล่ ยัดมือสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกง อากาศในเวลานี้คงจะทำให้เธอหนาวอยู่ไม่น้อย
“แกเอาเสื้อฉันไปใส่ ไป” ผมถอดเสื้อแจ็คเก็ตออกยื่นให้ โดยไม่ลืมย้ายเอาซองบุหรี่กับไฟแช็คมาใส่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของตัวเองแทน “คงมีกลิ่นบุหรี่ติดบ้างละ แต่ก็ดีกว่าแกเป็นหวัด”
“ขอบใจ” เธอรับเสื้อแจ็คเก็ตของผมมาสวมมันออกจะตัวใหญ่ไปหน่อย ทำให้เธอต้องดึงสาบสองข้างของมันให้กระชับเข้าหากัน “อาโกขายกาแฟของแกน่ารักดี... ไม่น่าจะเจอเรื่องร้าย ๆ ต้องรับผลที่ตัวเองไม่ได้ก่อเลย”
“อืม” ผมได้แต่ทำเสียงตอบรับในลำคอเบา ๆ “แต่แกก็ดีขึ้นจากเดิมมาก ตั้งแต่ได้ย้ายมาอยู่นี่”
“แกเองก็คงจะรู้สึกดีขึ้น ถ้าได้ย้ายไปทำงานที่อื่นซะที” เธอว่า แต่แล้วก็เงียบไปเหมือนรู้ตัวว่า อาจพูดแทงใจผมเข้าให้
ที่เธอคิดนั้นก็ไม่ผิด เพราะผมเองก็รู้สึกได้ทันทีว่า กำลังเริ่มกลับไปคิดมากกับปัญหาที่เกิดขึ้น และยังมองไม่เห็นทางออก และร่ำ ๆ จะหยิบของในกระเป๋าออกมาใช้ แต่ก็ต้องพยายามห้ามใจตัวเองไว้
“แกพูดถูกแล้วละ ถ้าได้ย้ายไปที่อื่นก็ดี จะได้เลื่อนยศได้โตกับเขาบ้าง” ผมว่า “แต่มันก็ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศด้วย...”
“ฟ้าไม่ปิดตลอดไปหรอก”
เธอพูดเพียงเท่านั้น แล้วเราต่างคนก็ต่างเดินมาด้วยกันเงียบ ๆ มาจนถึงรถ
ขณะผมกดรีโมทปลดล็อก แล้วเปิดประตูฝั่งคนขับ เธอก็เรียกชื่อผมขึ้น ทำให้ผมต้องหยุดยืนอยู่กับที่ ส่วนเธอเดินอ้อมจากฝั่งข้างคนขับมาหาผม และดึงแขนให้ขึ้นไปยืนคุยกับเธอบนทางเท้า
“ฉันคิดว่าฉันควรบอกแก ตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า” เธอก้มมองปลายเท้าของตัวเองครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้น “ฉันจะเลิกทำงานฟรีแลนซ์แล้วกลับไปทำงานบริษัทเหมือนเดิม...”
การตัดสินใจของเธอทำให้ผมประหลาดใจ
“ฉันไม่ได้กลัวการที่ถูกขู่หรือไม่ได้กลัวว่าจะถูกดูถูก หรือกลัวว่าจะมีคนมาขอให้ไปนอนด้วยเพื่อแลกกับการได้ขายสินค้าหรอกนะ แก... นั่นเป็นแค่ปัญหาหนึ่ง แกเป็นคนชี้ทางออกให้ฉัน แล้วคนอย่างฉันก็คงไม่อยู่เฉย ๆ ให้ไอ้ผู้จัดการเฮงซวยนั่นเที่ยวไปทำอย่างงั้นกับใครอีกแน่”
น้ำเสียงของเธอบ่งบอกว่านี่เป็นคำอธิบายและเหตุผลที่ผ่านการคิดมาดีแล้ว
“สาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้ฉันตัดสินใจกลับไปทำงานบริษัทอีกรอบ คือ ฉันคิดว่าตัวเองอาจจะยังมีชั่วโมงบินไม่สูงพอสำหรับงานนี้ พอเจอปัญหาอย่างที่เกิดขึ้น ฉันก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันแบบไหน ไม่รู้ว่าข้างในนั้นมันมีสายสนกลในอะไรที่ฉันยังไม่รู้อีกบ้าง เพราะฉะนั้นการถอยหลังกลับไปตั้งหลัก เรียนรู้จากคนอื่น จับทางให้ถูก แล้วค่อยเดินไปข้างหน้าใหม่ให้ไกลกว่าเดิม น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับฉันแล้วละ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองผม “แล้วนี่ก็อาจจะเป็นทางออกอีกทางสำหรับปัญหาของแกเหมือนกัน...”
“แกหมายความว่ายังไง”
“นายฟังลูกน้องของแก ฟังเพื่อนร่วมงานของแกมากกว่าแก เพราะพวกนั้นยอมอ่อนเข้าหา” เธอกล่าว “แกอาจจำเป็นต้องถอยให้นายสักก้าว เท่าที่แกพอจะทำได้ แล้วก็ไม่ขัดกับความรู้สึกในใจของแกด้วย ให้นายของแกไม่รู้สึกว่าแกแข็งกับเขาเกินไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะให้แกเป็นเป้านิ่งให้เขาทำอยู่ฝ่ายเดียวยิ่งแกเฉยหรือไม่สนใจ เขาก็จะยิ่งเล่นงานแกมากขึ้น”
ก่อนที่ผมจะทันถามต่อ เธอก็ยกมือขึ้นห้าม บอกให้ผมฟังเธอให้จบก่อนแต่ไม่ทันจะเอ่ย ผมก็ต้องคว้าตัวเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะหงายหลังล้ม เพราะถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเสียหลักหล่นไปจากทางเท้า
“ระวังหน่อย ถ้ารถวิ่งมาทับแกเข้าจะทำไง” ผมรู้สึกว่าเสียงที่พูดไม่เหมือนเสียงของตัวเองเลย มือของผมกำต้นแขนของเธอไว้แน่น เช่นเดียวกับมือของเธอที่ยึดแขนของผมเอาไว้
สีหน้าของเธอบ่งบอกว่า ตกใจอยู่บ้าง แต่ตั้งสติได้เร็วกกว่าที่ผมคิดไว้ สายตาที่เธอมองผมดูครุ่นคิดเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดบางอย่างที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ และอยากให้ผมรับรู้และเข้าใจเรื่องนั้น
“นี่คือสิ่งที่แกอาจจะต้องระวังเหมือนกัน...” เธอเอ่ยออกมาในที่สุด “การถอยเพื่อตั้งหลัก แล้วถีบตัวเองให้กระโดดไปข้างหน้าไกลกว่าเดิม แกต้องมีหลักยันที่แข็งแรงพอ ถ้าเท้าแกไม่มั่น แทนที่แกจะกระโดดไปข้างหน้าแกจะล้มให้คนอื่นเหยียบซ้ำ”
เธอวางมือข้างหนึ่งบนมือผมที่ยังจับไหล่ของเธอไว้ไม่ยอมปล่อยแล้วตบเบา ๆ ก่อนฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนกำลังมีแผนการร้ายอะไรบางอย่าง
“ถ้าลำบากใจจะอ่อนข้อให้ก็คิดซะว่า เอานายเป็นหลักแล้วถีบส่งตอนได้จังหวะก็ได้ ไหน ๆ นายก็ทำกับแกไว้เยอะ จะได้สะใจขึ้นหน่อย แต่แกก็อย่าใจร้อนนักล่ะ ไม่งั้นเสียแผนหมด ของแบบนี้มันต้องใจเย็น ๆ”
ผมพยักหน้ารับ และหัวเราะไปกับเธอด้วย “จะพยายามนะ”
คำตอบของผมทำให้รอยยิ้มของเธอกลับมาเป็นรอยยิ้มที่ผมคุ้นเคยอีกครั้ง
“เรามาพยายามด้วยกันนะ แก" เธอปล่อยมือจากผม แล้วยื่นมือออกมาข้างหน้า "การกลับไปทำงานที่มีเวลาแน่นอน หลังจากอิสระมานาน ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายของฉันเหมือนกัน”
“ได้” ผมจับมือกับเธอ “ขอบใจมากแก... ตอนนี้ เราเท่ากัน ฉันไม่ได้ช่วยแกข้างเดียว แต่แกช่วยหาทางออกให้ฉันได้เหมือนกัน”
“เรียกว่าวินวินก็แล้วกัน” เธอยิ้ม แต่ต่อมากลับขมวดคิ้วกับเรื่องที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันยังไม่เข้าใจ...”
“เรื่องอะไร” ผมขมวดคิ้วตามเธอไปด้วย
“ปกติ กาแฟผสมโกโก้ ถ้าถูกสูตร มันจะได้เป็นม็อคค่านะ แก อร่อยมากด้วย... แต่ทำไมกาแฟผสมโกโก้ที่ควรจะรสชาติโอเคกว่านี้ มันถึงไม่อร่อยวะ ไม่เข้าใจ”
คำถามที่พลิกอารมณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือกับสีหน้าหงุดหงิดอย่างจริงจังกับเรื่องที่ผมก็คาดไม่ถึงทำให้ผมเผลอหัวเราะก๊ากออกมาแบบช่วยไม่ได้
“ปกติ กาแฟที่เขาชงขายตามร้านมันต้องมีสูตรของมันไม่ใช่เหรอ แกเล่นเทพรวดลงไปครึ่ง ๆ มันคงจะอร่อยอยู่หรอก” ผมว่า “หรือไม่อีกทีที่มันไม่อร่อย ก็เพราะมันเป็นกาแฟดำของอาโกนั่นแหละ”
“ถึงจะไม่อร่อย แต่มันก็ทำให้ตาสว่าง...” เธอใช้คำพูดของโกขายกาแฟบอกผม
“ใช่” ผมรับ “แต่ฉันยังสงสัย... ถ้าไม่มีแก้วเปล่าที่จะเทกาแฟออกไปได้เลย แกจะทำยังไง”
“ไม่ใช่เรื่องยากนี่" เธอบอกยิ้ม ๆ "รอร้านกาแฟเปิดก่อน ฉันจะสาธิตให้ดู คราวนี้ ไม่มีอะไรพลาดแน่”
ริมฝีปากของเธอขยับเป็นรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม เมื่อเห็นว่า ผมยังทำหน้าเหมือนคนคิดอะไรไม่ออก
“ที่จริง ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตแกหวานขึ้น...”
“คืออะไร” ผมเลิกคิ้ว
“แกมีแฟนหรือยัง”
“ยัง... ” คำถามของเธอทำให้ผมตั้งตัวไม่ติด "ถามทำไม"
“เพราะถ้าแกยังไม่มี ฉันถึงจะแนะนำวิธีนี้ได้” เธอเอานิ้วจิ้มกลางอกผม “หาแฟนไว้อ้อนสักคนไงล่ะ แก”
(3)
“รับอะไรดี คะ” เสียงถามของพนักงานร้านกาแฟดูจะหวั่น ๆ กับลูกค้าอย่างผมอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ หากพูดแบบไม่เข้าข้างตัวเอง สภาพของคนที่เพิ่งออกเวรแล้วรีบขับรถเข้ากรุงเทพฯอย่างผมก็ดูเหมือนโจรมากกว่าตำรวจ และไม่โทษเธอเลย ถ้าเธอจะไม่ไว้ใจ
“เอสเพรสโซดับเบิลช็อตครับ... แล้วก็ครัวซองต์ชุดหนึ่ง”
สั่งแล้ว ผมก็เดินไปยังมุมที่ลึกที่สุดของร้าน และหยิบเอาการ์ดแต่งงานสีครีมคาดทองซึ่งมีชื่อย่อของเจ้าสาวและเจ้าบ่าวอยู่ตรงกลางออกมาดู
ถ้าหากเหตุการณ์ที่เธอกับผมพบกันโดยบังเอิญในคืนนั้น เป็นเหตุการณ์ในนิยาย ผมอาจจะเป็นฝ่ายขอให้เธอเป็นแฟนกับผม จากนั้น ชีวิตของเราก็จะพลิกจากร้ายเป็นดี ทุกคนที่ทำให้ชีวิตมีปัญหารับผลกรรมที่ก่อไว้อย่างทันตาเห็น แล้วสุดท้าย พระเอกกับนางเอกของเรื่องก็แต่งงานกันและอยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป
ทว่าในชีวิตจริง เรื่องของเราสองคนไม่ได้เป็นอย่างนั้น...
ผมกับเธอยังคงเป็นเพื่อนกัน หลังจากเราคุยกันถึงเช้าใส่บาตรด้วยกัน กินอาหารเช้าด้วยกัน เราสองคนก็แยกย้ายกันไป ไม่ได้พบหน้าหรือพูดคุยกันมากมายอย่างในคืนนั้นอีกต่อไป ด้วยหน้าที่การงานและจังหวะชีวิตที่ต่างกัน ถ้าจะติดต่อกันได้บ้าง ก็ผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์เพียงไม่กี่ประโยคหรือไม่กี่คำเท่านั้น โดยถามไถ่กันพอให้รู้ว่า ต่างคนต่างยังสบายดี
ครั้งล่าสุดที่ผมได้รู้ข่าวคราวเรื่องงานของเธอ น่าจะเป็นหลังจากที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายประมาณสี่หรือห้าเดือน
เธอส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์มาบอกผมว่า เธอทำงานเป็นผู้จัดการร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างการวางแผนจะขยายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ และงานกำลังไปได้สวย เธอถามผมว่า เรื่องของผมเป็นอย่างไรบ้าง และผมตอบเธอไปว่าทุกอย่างสำหรับผม ไม่ถึงกับดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง
ผมไม่คิดว่าจะได้พบหน้าเธออีกครั้ง ก่อนวันงานรวมรุ่นนิติศาสตร์ที่จัดกันทุกปี แต่ภาพการ์ดเชิญร่วมงานฉลองสมรสที่เธอแท็กชื่อของผมบนภาพทำให้ผมได้กลับมาพบเธอเร็วกว่าที่คิด
“เอสเพรสโซดับเบิลช็อตครัวซองต์ได้แล้วค่ะ” พนักงานเสิร์ฟวางถ้วยกาแฟพร้อมจานรองลงบนโต๊ะ
“ขอบคุณครับ”
จากคำบอกเล่าของเธอที่แท็กชื่อผมบนการ์ดแต่งงานคนนั้น ร้านนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่เสิร์ฟกาแฟเอสเพรสโซตามแบบร้านกาแฟในฝรั่งเศสและบางเมืองในอิตาลี ที่บนขอบจานรองถ้วยจะมีดาร์กช็อกโกแลตชิ้นเล็กวางเคียงมาด้วย
ผมแกะกระดาษห่อ กัดดาร์กช็อกโกแลตนั้นไปครึ่งหนึ่ง สัมผัสได้ถึงรสขมจากเนื้อขนมสีน้ำตาลไหม้ที่เริ่มละลาย และเมื่อดื่มกาแฟตามลงไป รสขมของกาแฟเข้มข้นกลับกลายเป็นกลมกล่อม แล้วทิ้งรสหวานไว้ในปากหลังกลืนกาแฟและช็อกโกแลตลงคอไปจนหมด
ชีวิตเราก็เป็นเหมือนกาแฟดำกับดาร์กช็อกโกแลต... ขมเป็นพื้นฐานไม่ได้หวานมาตั้งแต่แรกเริ่ม
การเตรียมตัวให้พร้อมรับกับสิ่งที่จะเข้ามาในชีวิต ก็เหมือนกับการรับเอารสขมของช็อกโกแลตให้ลิ้นได้ชินกับรสขมปนหวานที่อ่อนจนแทบไม่รู้สึกว่าหวานเสียก่อนที่กาแฟซึ่งขมกว่าจะตามมาให้รู้รส และเมื่อถึงตอนนั้น รสของเอสเพรสโซจะกลายเป็นรสขมที่เราสามารถดื่มและกลืนลงคอได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งยังทิ้งรสหวานจาง ๆ ติดลิ้นต่อไปอีกครู่หนึ่ง
สิ่งที่ตามมาหลังจากเราผ่านเรื่องราวที่ ดูเหมือนจะยากลำบาก คือความสุข และสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราไม่เคยลิ้มรสความขมขื่นหรือลำบากมาก่อน
นั่นคือคำตอบสำหรับคำถามที่ผมเคยถามเธอว่า ถ้าผมไม่สามารถจะเทกาแฟในแก้วของผมออกเพื่อเทเครื่องดื่มที่หวานกว่าลงไปผสมได้ ผมควรจะทำอย่างไร...
ผมกินดาร์กช็อกโกแลตอีกครึ่งชิ้น และดื่มเอสเพรสโซที่เหลืออยู่จนหมด
ในเวลานี้ ผมคิดถึงเธอยิ่งกว่าเวลาไหน และภาพของเธอในวันนั้น ชัดเจนในใจของผมยิ่งกว่าทุกครั้ง
“รอนานไหม โทษทีนะ ที่ต้องให้มาแต่เช้า”
เสียง ทักและถามของคนที่ส่งการ์ดแต่งงานมาเรียกผมจากห้วงคิด และลุกขึ้นรับเธอที่ตรงเข้ามาหาผมด้วยความยินดี “ไม่เป็นไร ไม่ได้เจอกันนาน วันนี้ แกสวยจนฉันเกือบจำไม่ได้”
“แน่น้อน วันนี้วันพิเศษของฉันนี่นา คงเป็นหนแรกแล้วก็หนเดียวในชีวิตที่มีคนหลงกล” เธอขึ้นเสียงสูง หัวเราะเสียงใส “ให้แกปากหวานกับเขาก็ทำได้นี่หว่า... ขอบใจนะที่ชม แต่แกนี่สิ สภาพอย่างกับหลุดออกมาจากสนามรบอย่างงั้นละ”
“แหงสิ ก็เพิ่งออกเวรมา ก่อนออกเวรก็เจอคดีอุบัติเหตุจราจรมาหนึ่งคดี กว่าจะงัดคนกับรถออกจากเสาไฟฟ้าได้ ล่อเข้าไปเกือบสามชั่วโมง” ผมเลื่อนจานครัวซองต์และแยมตรงหน้าผมเข้าไปให้เธอ “กินอะไรมาหรือยัง กินของฉันไปก่อนก็ได้”
“แกกินของแกเถอะ ฉันสั่งแซนด์วิชทูน่ากับลาเต้ร้อนไปตะกี้แล้ว” เธอบอก “ขอบใจนะ ที่แกอุตส่าห์มา นี่งานแกยังหนักอยู่เหมือนเดิมอีกเหรอ”
“งานหนัก ไม่เป็นไร ไม่หนักใจเท่าเดิมก็เอาแล้ว...” ผมตอบตามตรง “ถ้าวัดความเครียดเอาจากดัชนีบุหรี่ที่สูบละก็ตอนนี้ก็ลดลงไปเยอะ แต่ก็ยังเลิกไม่ได้เด็ดขาดหรอกนะ”
“สูบน้อยลงเท่าไหร่ก็ดีกับแกเท่านั้นแหละ เลิกไปเลยได้ก็ยิ่งดี เพราะตั้งแต่วันนั้น ฉันก็ไม่ได้ดื่มหัวราน้ำขนาดนั้นอีกเลยเหมือนกัน" เธอเท้าคางกับโต๊ะ และมองผมอย่างอารมณ์ดี โดยเฉพาะเมื่อสังเกตเห็นเมนูเครื่องดื่มที่ผมสั่ง "แต่ดูท่าแกจะติดใจเอสเพรสโซกับดาร์กช็อกโกแลตเข้าแล้วสิ”
ผมพยักหน้ารับลุกขึ้นไปเทน้ำที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ในมุมหนึ่งใส่แก้วสองใบ ให้เธอแก้วหนึ่ง ของตัวเองอีกแก้วหนึ่ง
“เพราะแกนั่นละ ที่ทำให้ฉันรู้ว่ามีวิธีกินกาแฟแบบนี้อยู่” ผมบอก “แล้วแกล่ะ เป็นไงบ้าง”
“กลับไปเป็นลูกน้องเขาเหมือนเดิมก็ไม่เลวหรอก แก บริษัทไม่ได้ใหญ่อะไร แต่เจ้านายกับเพื่อนร่วมงานน่ารัก คุยกันรู้เรื่อง ทำงานด้วยแล้วสบายใจ”
“แล้วเรื่องของไอ้ผู้จัดการที่เคยขู่แกนั่นล่ะ” ผมซัก จำได้ว่าเธอยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง และผมเองก็ยุ่งจนลืมติดตามปัญหานี้ของเธอไป “ตกลงแกได้ไปแจ้งความมันไหม”
“เปล่า”
“อ้าว?”
รอยยิ้มของเธอที่ผุดขึ้นบนใบหน้าขณะเฉลยบอกถึงความสาแก่ใจอยู่ไม่ใช่น้อย
“คนทำอะไรไว้ สักวันมันก็ต้องแดงขึ้นมาจนได้ แกรู้ไหมว่า วันที่ฉันกลับไปกรุงเทพฯ ก็ได้ข่าวว่านายหน้าอีกคนหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนกับกรรมการคนหนึ่งของบริษัทฝรั่ง ก็โดนเรียกเก็บเงินเหมือนฉันนี่แหละ ฉันเลยเข้าไปคุยกับเขา นายหน้าคนนั้นก็เลยไปฟ้องนายฝรั่งของบริษัทให้ตรวจสอบ ไอ้ผู้จัดการนั่นก็เลยโดนสอบ ฉันก็อาศัยเนียน ๆ ไปให้ข้อมูลกับเขาด้วย ให้มันถูกไล่ออกน่ะ สะใจกว่า แต่ก็เห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยกันมาเลยไม่แจ้งความซ้ำเติมน่ะนะ แกเห็นไหมว่า ฉันปรานีกับมันขนาดไหน”
“แกนี่ร้ายไม่ใช่เล่นนะเนี่ย” ผมฟังแล้วก็อดขำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอดทึ่งกับเธอไม่ได้
“เพิ่งรู้เหรอ” เธออมยิ้ม “ถ้าไม่ว่ากันเรื่องนั้น ตอนนี้ ฉันก็กำลังหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มด้วยการเรียนMBA ด้วย พ่อเป็นปลื้มมากกับความขยันของลูกสาว แต่ก็กลุ้มไปพร้อมกันเรื่องที่ลูกสาวเอาแต่เรียนกับทำงานแต่ไม่มีแฟน”
“ก็แกมัวแต่ช่วยงานแต่งงานคนอื่นเขานี่” ผมโบกการ์ดแต่งงานของเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ของเราสองคน “งานแต่งแกก็ไม่ใช่ ช่วยเขาส่งการ์ด แถมแท็กเพื่อนแทนเจ้าสาวตัวจริง ฉันเห็นตอนแรก นึกว่าแกขายออกไปแล้วซะอีก”
“ก็วิธีแท็กมันกระจายข่าวไวที่สุด ยัยเจ้าสาวก็มึน ๆ งง ๆ ไปตามประสามันนั่นละ แกก็รู้ ฉันรำคาญ เลยรับจัดการให้” เธออธิบาย พลางจ้องหน้าผม “แล้วแกล่ะ เมื่อไหร่จะแต่งกับเขาบ้าง”
ผมหัวเราะ “ไว้ให้ฉันหาคนแต่งด้วยให้เจอก่อนเถอะแก”
“ว้า... แกไม่ได้ทำตามคำแนะนำของฉันหรอกเหรอ” เธอแกล้งทำเป็นผิดหวัง และท่าทางแบบนั้น ก็น่าหมั่นไส้เป็นบ้า
“แกจะบ้าเหรอ หาแฟนไม่ได้ง่ายเหมือนสั่งกาแฟมากินนี่” ผมแกล้งอุทธรณ์ “มันต้องอาศัยความยินยอมของสองฝ่ายแกก็รู้”
“เหมือนที่แกหลงกลยอมมาเป็นพิธีกรงานแต่งคู่กับฉันสินะ” เธอยิ้มเย้า “วันนี้ ดิฉัน นางสาวนวลปราง และ ร.ต.ท. ชัชพล ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่พิธีกรในงานมงคลสมรสของ...”
“แกพูดผิดแล้ว” ผมขัดจังหวะ
“ผิดตรงไหน” เธอประท้วง ก่อนชะงักไปนิดหนึ่งเหมือนฉุกคิดขึ้นมาได้ แล้วมองผมด้วยความตื่นเต้น “หรือว่า...”
“ใช่... ต้องเป็น ร.ต.อ. ชัชพล” ผมยิ้ม “ถ้าไม่นับพ่อกับแม่ แกก็เป็นเพื่อนคนแรกที่รู้เรื่องนี้ หลังจากงานแต่งของหนูนา ฉันอาจจะหายหัวไปสักพักนะ ต้องย้ายของจากที่เดิมไปจังหวัดอื่น คงวุ่น ๆ เรื่องเน็ตบ้านอยู่สักพัก ถ้าเรียบร้อยแล้วจะบอก”
“ดีใจด้วย แก... ฉันดีใจกับแกด้วยจริง ๆ” เธอเป็นฝ่ายคว้ามือของผมไปจับไว้แล้วเขย่าจนผมต้องบอกให้หยุด เพื่อที่พนักงานที่มองเราด้วยอาการทั้งงง ทั้งขำและคงจะกลั้นหัวเราะเอาไว้แทบแย่
“สารภาพมาดี ๆ ดีกว่าว่า แกไม่ได้เลิกกินเบียร์แทนน้ำ” ผมแกล้งแซวเธอ “แกเมาแล้วรั่วสุด ๆ ฉันจำได้”
“ไอ้จ่าบ้าไอ้ที่ดีกว่านี้ก็ไม่จำ ฉันเลิกจริง ๆ แล้วเว้ย”
“แต่ถ้าฉันไม่ได้เจอแกวันนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนี้กับเขาไหม”
คนที่เล่นงานผมไปก่อนหน้านี้ชุดใหญ่ เลิกคิ้วสูง ถอนใจเฮือก ส่ายหน้าเหมือนได้อ่านบทละครน้ำเน่า แต่รอยยิ้มของเธอไม่จางหายไปไหน
“แต่ถ้าไม่มีอาโกขายกาแฟ ก็จะไม่มีพวกเราวันนี้เหมือนกัน” เธอแก้ “แต่พูดก็พูดเถอะนะ คำพูดของอาโกแกศักดิ์สิทธิ์มากเปลี่ยนจากเรียกแกว่า ‘จ่า’ เป็นผู้กองคำเดียวแกได้เป็นจริง ๆ”
ว่าแล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างในวันนั้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่พบกัน
“คราวหน้า แกจะไปหาโกกับฉันไหม” ผมถาม “ถ้าแกมีเวลา แล้วก็อยากจะไปด้วยกัน...”
“คราวหน้าให้โกเรียกแกว่า สารวัตรเลยดีไหม”
“อย่าดีกว่า ได้ขึ้นเป็นนายพันเร็วไปฉันคงได้นอนศาลาวัดก่อนเป็นสารวัตร หรือเดี๋ยวเกิดแกพูดแล้ว เป็นจริงขึ้นมาโกจะศักดิ์สิทธิ์เกินไป ฉันยังไม่อยากเอาผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกไปไหว้แก” ผมส่ายหน้า “ยศยิ่งสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งเยอะขอให้พร้อมกว่านี้ก่อนก็แล้วกัน... ตกลงแกจะไปกับฉันไหม”
“ทำไมไม่ชวนคนอื่นไปล่ะ”
“ฉันอยากไปกับแก ไม่ได้อยากไปกับคนอื่น”
เธอยิ้ม “ได้สิ... ไปกับแก อยู่กับแกฉันสบายใจกว่าไปหรืออยู่กับใคร”
“เพราะฉันเป็นตำรวจ เคลียร์ทุกอย่างให้แกได้ตลอดทางอย่างงั้นละสิ”
“ไม่ใช่หรอก... เพราะเป็นแกต่างหาก”
“งั้นเราไปด้วยกัน... ที่ฉันยังไม่ไปกับใคร เพราะฉันรอแกอยู่”
เธอพยักหน้า มองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมมั่นใจว่า เธอเข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของผมเช่นกัน
“ฉันก็รอให้แกถามมาตั้งนานแล้ว...”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in