มีคนเคยบอกเขาว่าด้วยอายุที่ยืนนานของแวมไพร์ รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะ ไม่ต้องไปจำมันก็ได้ เพราะเดี๋ยวยังไงก็ลืมอยู่ดี
แต่เขากลับจำเหตุการณ์วันนั้นได้ราวกับเห็นภาพรีเพลย์ซ้ำ ๆ ในหัว
วันนั้นเมื่อสิบปีก่อน
จำได้ว่าวันนั้นตอนเช้าแดดออก อากาศสดใส แต่พอพระอาทิตย์ฝนกลับตกหนักจนแทบมองไม่เห็น ไฟฟ้าถูกจัดเนื่องจากสภาพอากาศ มีเพียงแสงจันทร์เท่านั้นที่เป็นแสงที่สว่างที่สุดในคืนนั้น
แสงจากพระจันทร์เต็มดวง เหมือนเช่นคืนนี้
จำได้ทุกรายละเอียด ทั้งรอยฟันที่คอที่เขาทิ้งไว้ผิวเนียนนุ่มสีน้ำผึ้งสวยที่ยิ่งงดงามกว่าเดิมตอนที่กระทบแสงจันทร์ ทั้งปากเล็ก ๆ สีชมพูที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ ทั้งเสียงครางหวาน เสียงหอบ ทั้งแขนที่ไม่ได้เล็กจนเกินไปของเด็กวัยมัธยมที่ปัดป่ายไปมาราวกับจะคว้าหาอากาศในตอนที่ถูกเขาช่วงชิงลมหายใจไป
นึกแล้วเขาก็ยังอยากขำ ทั้ง ๆ ที่เด็กคนนั้นมีปืนที่ทิ้งแผลไว้ให้เขาได้ตั้งหลายรอย แต่พออยู่ในแขนเขากลับไม่ยอมใช้มัน
แต่ก็ขำตัวเองที่ตะโกนบอกให้เด็กคนนั้นหนีไปเหมือนกัน
ซนดงจูจำได้ทุกรายละเอียด
จำได้แม้กระทั่งรอยแผลเป็นบนตรานักล่าปีศาจที่ไหล่ขาว ๆ นั่นที่เขาไม่ค่อยพอใจกับมันเท่าไหร่ เพราะสำหรับแวมไพร์อย่างเขานั้นคุ้นเคยกับรอยนั้นเป็นอย่างดี
ซนดงจูไม่ได้ชอบเด็กหรอก แค่สถานการณ์วันนั้นมันบังคับเท่านั้น
เขาที่บาดเจ็บหนัก กับอาหารตรงหน้า ถึงจะไม่ชอบก็ต้องกิน
แถมวิธีกินของเขาก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่นัก เพราะแวมไพร์แต่ละตระกูลมีรสนิยมไม่เหมือนกัน บางตระกูลก็ชอบดูดเลือดตอนที่มนุษย์หมดลมหายใจแล้ว บางตระกูลก็ชอบเวลามนุษย์กำลัวหวาดกลัว ทั้งหมดถูกกำหนดด้วยสายเลือด
เขาเกลียดวิธีของตระกูลเขาที่สุด
เลือกเกิดได้ก็ไม่ได้อยากเกิดมาในตระกูลที่ชอบดื่มเลือดตอนเหยื่อกำลังมีอารมณ์ทางเพศหรอก
สุดท้ายก็ปล่อยเด็กคนนั้นไปอยู่ดี
ไม่ใช่เพราะเขาสงสารอะไรหรอก แค่ไม่อยากทำลายของสวยงามก็แค่นั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นมนุษย์ที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ถึงจะเป็นนักล่าปีศาจที่ถ้าปล่อยไปจะเป็นผลเสียได้ก็เถอะ
กับอีแค่โกหกว่าเผลอปล่อยไปเพราะบาดเจ็บหนักแล้วยอมโดนทำโทษนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้มากเกินความสามารถเขาหรอก
คิดแล้วก็อยากเจออีก เลือดของเด็กคนนั้นอร่อยกว่าของคนอื่น ถ้าเจออีกครั้งคงขอเลือดมาลองอีกสักรอบ หรือไม่ก็ขอช่องทางการติดต่อ ไม่ก็ขอให้เขามาอยู่ด้วยเลย
อะไรก็ได้แต่เขาจะไม่ปล่อยให้มนุษย์คนนั้นหลุดมือไปอีกแน่ ๆ
เขายกชาอังกฤษขึ้นมาจิบ ยังจำรสเลือดของเด็กคนนั้นได้ดี
“คุณดงจูครับ!” เป็นลูกน้องของเขาที่อยู่ ๆ ก็เปิดประตูเข้ามาตะโกนใส่เขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ซนดงจูปรายตาลูกน้องไร้มารยาทเล็กน้อยก่อนจะถามว่าอะไรที่ทำให้แวมไพร์ระดับต่ำกว่ากล้ามาขัดเวลาน้ำชาของเขา ได้ความว่ามีมนุษย์บุกเข้ามาในคฤหาสน์ของเขาอีกแล้ว
ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาก็คงไม่แปลก ถึงคฤหาสน์เขาจะอยู่กลางป่าก็ชอบมีมนุษย์มาขอความช่วยเหลือบ่อย ๆ ขอพักหนึ่งคืนบ้าง ขออาหารบ้าง ขอเข้ามาหลบพายุบ้าง เขาก็ขอของแลกเปลี่ยนเป็นแค่เลือดเล็กน้อยเท่านั้น ก็แค่อ้างว่าใช้เผื่อรักษาคนไข้ในหมูบ้านแถว ๆ นี้(ซึ่งไม่มีหรอก ถึงเขาจะทำงานเป็นหมอจริง ๆ ก็เถอะ แต่โรงพยาบาลนั้นก็อยู่ห่างไปตั้งหลายโล) มนุษย์พวกนั้นก็ไม่เอะใจอะไร ถึงบางทีเขาจะคิดว่า เอะใจบ้างเถอะ! มีคฤหาสน์อยู่กลางป่าเลยนะ! ก็เถอะ แถมยังเป็นคฤหาสน์ของใครไม่รู้ พ่อแม่มนุษย์เขาไม่สอนกันหรือไงว่าเวลาเจออะไรแปลก ๆ กลางป่าไม่ควรเข้าไปยุ่งน่ะ จะผ่านไปเป็นร้อยปีก็มีแต่เรื่องนี้ที่เหมือนเดิม ช่างโง่เสียจริง แต่เขาก็ไม่มีสิทธิไปยุ่งอะไรกับการสอนของสิ่งมีชีวิตเห็นแก่ตัวที่คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่นั่นหรอก
แต่ถ้าลูกน้องเขาตกใจขนาดนั้นก็ย่อมแปลว่ามนุษย์ที่เข้ามานั้นไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มาขอความช่วยเหลือหรอก
เป็นใครไปไม่ได้นอกจากนักล่าปีศาจ
แวมไพร์เจ้าของคฤหาสน์มองออกไปทางหน้าต่าง หน้าบ้านมีเพียงเด็กผู้ชายอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบต้น ๆ ผมสีเทาอ่อนที่ดูจากตรงนั้นก็รู้ว่าย้อมมา ใส่ชุดเครื่องแบบสีดำสนิทยืนกดกริ่งอยู่หน้าบ้านเท่านั้น
“คนเดียวเองไม่ใช่เหรอ กลัวอะไรของนาย” เขาหันกลับไปถามลูกน้อง ดูยังไงก็ไม่เห็นจะน่ากลัวสักหน่อย เด็กน้อย(เทียบกับอายุเขา)แบบนั้นน่ะ
“ตำแหน่งสูงเลยนะครับคนนั้นน่ะ ใครจะไม่กลัวเล่า ประวัติเขามีจำนวนหัวเยอะกว่าวันทำงานอีกนะครับคุณดงจู ผมไม่อยากอยู่แล้ว” ลูกน้องพูดเสียงสั่น เหมือนเขาจะเห็นเจ้านั่นน้ำตาคลอด้วย
ขอร้องเถอะนะ ใครเลือกมันมาเป็นบอดี้การ์ดเราวะ ปอดแหกเป็นบ้า
“เอาเถอะ พาคนอื่นลงไปห้องใต้ดินที จะได้ไม่มีใครโดนลูกหลง เดี๋ยวเราจัดการเอง” แวมไพร์เจ้าบ้านถอนหายใจ “เขามาหาเราถึงบ้าน เจ้าบ้านก็ต้องออกไปต้อนรับหน่อยถูกมั้ย”
“แล้วมนุษย์ที่คุณดงจูรับมาวันก่อน..?”ลูกน้องเขาถาม
ลืมไปเลยแฮะ
เขาถูกเบื้องบนดุเสมอเรื่องการรับมนุษย์มารักษาในบ้านบ่อย ๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ขืนรอให้มนุษย์แบกตัวเองไปถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด(ที่เขาปลอมตัวไปทำงานอยู่)ก็คงตายก่อนพอดี แถมรักษาเสร็จยังไงมนุษย์ก็ให้อาหารแถมยังบอกคนอื่นต่ออีกว่าคฤหาสถ์นี้เป็นของคุณหมอใจดี พอจะช่วยลดความน่าสงสัยไปได้บ้าง ทำไมเขาจะไม่เลือกมันล่ะ ในเมื่อเขาก็เป็นหมออยู่แล้ว แถมมนุษย์พวกนี้ยังไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย(อย่างน้อยก็ในสายตาเขา) แถมยังได้ฟังเรื่องราวสนุก ๆ ที่มนุษย์นำมาเล่าอีก
เขาสนุกกับการดูแลมนุษย์ ร่างกายที่แสนบอบบางพวกนั้นมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะแยะ เพราะงั้นการดื่มเลือดจากมนุษย์ตรง ๆ น่ะเขาไม่ทำหรอก ยิ่งถ้าต้องปล่อยให้สัญชาตญานทำงาน ให้ตัวเองไปทำอะไรเสียมารยาท เขายิ่งไม่อยากทำ
แต่กับมนุษย์เห็นแก่ตัวแบบพวกนักล่าปีศาจที่ฆ่าอมนุษย์ไม่เลือกหน้า ไม่สนว่าได้ฆ่ามนุษย์ไหม สนแค่ว่าถ้าทิ้งไว้จะมีความเสี่ยงน่ะ เขาไม่ค่อยชอบหรอกนะ
เพราะเพื่อนของเขาหลายคนที่เห็นใจมนุษย์ก็จบชีวิตลงด้วยมือของนักล่าปีศาจพวกนั้น
“พาเขาลงไปด้วย ระวังด้วยนะ กระดูกเขายังไม่หาย ถ้ากระทบกระเทือนเขาจะใข้เวลารักษานานกว่าพวกเรา เพราะงั้นค่อย ๆ พาลงไปนะ”
“ครับ คุณหนู”
อีฮันกยอลยืนลังเลอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ใหญ่
นักล่าปีศาจหนุ่มได้ข้อมูลมาว่ามีแวมไพร์อยู่ที่นี่ แต่แถวนี้ก็ไม่ได้มีคนหายหรืออะไร ไม่มีศพที่ถูกดูดเลือดออกจนหมด ไม่มีใครถูกทำร้าย ไม่มีบ้านคนด้วยซ้ำ ไหนจะเรื่องที่มีรถขนอาหารเข้าออกเรื่อย ๆ แถมคนที่เดินผ่านไปยังบอกเขาแค่ว่าเป็นบ้านของคุณหมอที่ทำงานห่างไปกิโลกว่า ๆ เท่านั้นอีก
เขามาถูกที่รึเปล่านะ
“ออดอยู่ทางซ้าย ถ้านายไม่กดแล้วคนในบ้านไม่บังเอิญผ่านมาเห็นเราก็คงไม่ออกมาเปิดประตูให้หรอกนะ” เสียงเรียบดังขึ้นมาจากข้างหู อีฮันกยอลรีบกระโดดออกจากตรงที่เคยยืนอยู่ก่อนจะหันกลับมาดู
ตรงหน้าเขาคือผู้ชายหุ่นมาตรฐาน น่าจะตัวเล็กกว่าเขาไม่กี่เซ็น ใส่ชุดสีขาวนวลที่ยังไม่ขาวเท่าสีผิวของเจ้าตัว ผมยุ่งสีแดงเป็นประกายเมื่อกระทบแสงจันทร์
ถ้าเป็นปกติเขาคงบรรยายได้ว่าคนตรงหน้านั้นงดงามกว่าคนทั่วไป ถ้าไม่ใช่เพราะใต้แว่นทรงกลมที่เข้ากับใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นมีดวงตาสีทองสว่างวาบขึ้นมา
แวมไพร์ยศสูง...
“มาหาใครล่ะ” แวมไพร์ตรงหน้าเอ่ยถามขึ้นมา “ถ้าหาเจ้าของบ้านล่ะก็ไม่อยู่หรอกนะ ตอนนี้เราทำหน้าที่แทนอยู่”
แปลว่าข้อมูลที่เขาได้รับมานั้นถูกแล้ว ที่ว่าคฤหาสถ์นี้เป็นบ้านของแวมไพร์ตระกูลใหญ่ ลักพาตัวคนหลงป่าเข้าไปเรื่อย ๆ แถมถ้าข้อมูลของเขาถูกต้องทั้งหมด แวมไพร์ตรงหน้าเขายังเป็นแวมไพร์ประเภทที่เขาเกลียดที่สุดอีก
“ถ้าเป็นมนุษย์ปกติเราคงชวนเข้าบ้านแล้วล่ะ” แวมไพร์กล่าวโดยที่ไม่ได้สนใจเขาสักนิด “แต่ถ้าเป็นนักล่าปีศาจแบบนายเราคงให้เข้าไปไม่ได้หรอกนะ”
“ไม่ต้องเข้าก็ได้ ยังไงเดี๋ยวผมก็จบชีวิตคุณอยู่แล้ว” อีฮันกยอลตอบก่อนจะหยิบปืนลูกซองขึ้นมายิง
กระสุนของเขาถูกยิงไปที่ความว่างเปล่า
“ไม่ใช้ลูกซองได้ไหม แผลมันไม่สวย เราไม่ชอบ” เสียงเดิมดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
พร้อมกับปืนลูกซองของฮันกยอลที่กระเด็นไปอยู่บนพื้น
เร็ว
“มาคุยกันดี ๆ ดีกว่า เราขี้เกียจสู้แล้ว นายมาตอนเรากำลังดื่มชา ชาเราเย็นหมดแล้ว” แวมไพร์เบะปาก
อะไรของมันวะ
“นายชื่อฮันกยอลเหรอ ชื่อน่ารักดี” ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่บัตรประจำตัวของเขาถูกขโมยไป แวมไพร์ตรงหน้าเร็วกว่าที่เขาคิดไว้มาก “นายจะนั่งมั้ย เข้าบ้านก่อนก็ได้นะ ตอนแรกเราก็พูดไปงั้นแหละ นายทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“เอาคืนมา” อีฮันกยอลยื่นมือไปคว้าบัตรประจำตัว แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศ
“เข้าบ้านก่อนสิ” แวมไพร์ไม่ฟัง แถมยังเดินเข้าคฤหาสถ์หน้าตาเฉย
“ไม่เข้า”
“นายบาดเจ็บไม่ใช่เหรอ เราได้กลิ่นเลือดนะ” แวมไพร์ใส่แว่นเบะปาก เดินมาดันหลังเขาให้เข้าบ้าน “เดี๋ยวเราทำแผลให้ ยังไงเราก็เป็นหมอ”
ทั้ง ๆ ที่ตัวเล็กกว่าเขา แต่กลับมีแรงเยอะพอที่จัดพาเขาเข้ามาในห้องนั่งเล่นได้โดยที่ดูเหมือนไม่ได้ออกแรงสักนิด รู้ตัวอีกทีเขาก็โดนทิ้งอยู่หน้าโซฟาในคฤหาสน์ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
นักล่าปีศาจมองซ้ายมองขวา บ้านหลังนี้เงียบจนเขาไม่กล้าไว้ใจอะไรเลย ถึงเจ้าแวมไพร์ตรงหน้าจะไม่ได้มีจิตสังหารโผล่ออกมาสักนิดก็เถอะ
“คนอื่นไปซ่อนหมดแล้วล่ะ เขากลัวนายกัน ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้” แวมไพร์ผมแดงกลับมาพร้อมชาร้อนสองถ้วยในมือหนึ่ง กับกล่องปฐมพยาบาลในมืออีกข้าง “มนุษย์ที่เรารักษาอยู่ก็อยู่กับคนอื่น แต่เราสั่งเขาไว้แล้ว เขาขัดคำสั่งเราไม่ได้หรอก นอกจากจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”
“เป็นผู้นำตระกูลรึไง ถึงสั่งได้ ไหนบอกว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่บ้าน”
“ประมาณนั้นมั้ง ไม่รู้หรอก ใบสั่งงานนายเขียนว่าอะไรล่ะ” เป็นคำตอบที่ทำให้ฮันกยอลต้องเลิกคิ้ว
“รู้ด้วยเหรอว่ามี”
“เพื่อนเราที่ชอบมนุษย์บอกมาน่ะ แต่ตอนนี้ตายไปแล้วนะ” แวมไพร์ตอบ ก่อนจะเปิดกล่องปฐมพยาบาล “ว่าไง สรุปว่าเราเป็นอะไรในตระกูลเหรอ”
“ใบสั่งผมไม่ได้เขียนหรอกว่าคุณเป็นผู้นำตระกูล”
“งั้นเราก็ไม่ใช่นั่นแหละ แต่ถ้านายมาหาเขา เขาตายไปตั้งนานแล้วนะ แค่เบื้องบนไม่สรุปเรื่องตระกูลเราสักที”
“งั้นคุณก็เหมือนผู้นำอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
“มั้ง ทุกคนก็ฟังเรานะ” แวมไพร์ยิ้ม “นายถอดเสื้อได้ไหม เราจะได้ทำแผลให้”
“เอาสิ”
ซนดงจูไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น
เขาบอกให้นักล่าปีศาจตรงหน้าถอดเสื้อก็จริง แต่ก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะสิ่งนั้นจะอยู่บนตัวของอีฮันกยอล
ตราสัญลักษณ์ของนักล่าปีศาจที่บิดเบี้ยวด้วยรอยแผลเป็น
แผลเป็นบนไหล่ซ้ายที่สำหรับเขานั้นน่ารังเกียจ
ไม่ใช่เพราะรูปร่างของแผล แต่เพราะสิ่งที่ฝากแผลไว้ให้เป็นสิ่งที่เขาเกลียด
รอยกัดของมนุษย์หมาป่า…
“เป็นอะไร” คนตรงหน้าเขาหันมาถาม ซนดงจูรีบเก็บสีหน้าตกใจของตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงไปทำแผลที่กลางหลัง
ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจที่หยุดเต้นไปนานแล้วของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้งก่อตัวขึ้น ซนดงจูไม่รู้ว่าเขาเก็บความตื่นเต้นนี้เอาไว้ได้อีกนานรึเปล่า
“ลืมบอกเลย เราชื่อซนดงจูนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” แวมไพร์พูดไปทำแผลไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงกว่าปกติ
“ยินดีที่ได้รู้จัก” ฮันกยอลพูดตอบ
แต่ถ้าอีฮันกยอลหันหลังกลับมามองสักนิด อาจจะเห็นว่าในขณะที่แวมไพร์ผมแดงแนะนำตัวนั้น
ใต้แว่นตากรอบกลมนั้น ดวงตาสีทองก็สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง
“เสร็จแล้วขึ้นไปบนห้องเรามั้ย เรามีเรื่องอยากคุยกับนายอีกเยอะเลย”
ดวงตาของแวมไพร์ที่จะไม่ให้เด็กคนนั้นหลุดมือไปเป็นครั้งที่สอง
End.
----
โมเม้นไม่ต้อง เราเอง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in