tw; mentioning blood, deaths and violence
“หิวข้าว”
เสียงเบา ๆ เล็ดลอดออกมาจากประตูไม้ทำให้อีฮันกยอลต้องหันไปมอง
เขารับหน้าที่เฝ้าห้องคุมขังพิเศษ ชั้นใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยกำแพงหินนี้มีเพียงแค่ห้องนี้ห้องเดียวกับหน้าต่างเล็ก ๆ ให้แสงข้างนอกส่องเข้ามาได้ทั้งข้างนอกและในห้องขังอย่างละหนึ่งบาน ข้างในห้องขัง อีด้านหนึ่งของกำแพงมีเพียงนักโทษคนเดียวหลังประตูไม้บานใหญ่ที่มีเพียงหน้าต่างบานเล็ก ๆ ขนาดเท่ากำปั้นให้ส่องเข้าไปข้างในได้ และทั้งชั้นก็มีแค่เขาที่เป็นหนึ่งในนักสู้ที่เก่งที่สุดในเมืองเพียงคนเดียวเท่านั้น
ถ้าจำไม่ผิดองค์ชายของเขาบอกมาว่านักโทษคนนี้จะไม่ฟื้นขึ้นมาจนกว่าจะอาทิตย์หน้า
ถ้าอย่างนั้นแล้วมันเสียงใครกัน
“นี่ มีคนอยู่ข้างนอกใช่มั้ยล่ะ ก็บอกแล้วว่าหิวข้าว ช่วยเปิดให้หน่อยไม่ได้รึไง” เสียงจากข้างในดังขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ฮันกยอลเริ่มคิดแล้วว่าเขาอาจจะหิวจนหูฝาดไปก็ได้ ว่าแล้วก็หยิบขนมปังที่รุ่นน้องนำมาให้ขึ้นมากินดีกว่า
“นี่ คืออยู่ข้างในมันได้ยินเสียงหัวใจเจ้าเต้นนะ” เป็นอีกครั้งที่เสียงจากด้านหลังประตูไม้ดังขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะกำลังจดจ่อกับแยมสตรอเบอร์รี่สูตรที่เขาชอบอยู่
“นี่ ฟังข้าหน่อยสิมนุษย์”
ฮันกยอลบรรจงป้ายแยมของโปรดของเขาลงบนขนมปังแผ่นสุดท้าย
“นี่ ๆ อย่างน้อยเราก็ขออาหารมนุษย์บ้างได้ไหม”
ก่อนจะดื่มน้ำตามหลังจากกลืนขนมปังคำสุดท้าย
“เจ้าได้ยินเราไหมเนี่ย” เสียงจากด้านในดังขึ้นอีกรอบ
“ได้ยินสิ” ฮันกยอลตอบพร้อมกับยืนขึ้นปัดเศษขนมปังออกจากตัวเอง “ไว้เดี๋ยวมื้อเย็นจะขอข้าวเพิ่มให้”
“เย่ เจ้าใจดีจังเลยมนุษย์” เสียงเดิมตอบกลับมาอย่างร่าเริง
“หุบปากไปเลยแวมไพร์” ฮันกยอลตอบก่อนจะนั่งลงพิงกำแพงหิน
อีฮันกยอลใช้ลูกแก้วสื่อสารที่ข้อมือบอกให้เจ้านายของเขารู้ว่านักโทษในห้องขังฟื้นแล้ว เป็นคำสั่งที่เขาได้รับมาว่าถ้าแวมไพร์ในห้องนั่นฟื้นก่อนเวลาที่กำหนดให้บอกทันที
“เวทมนตร์สื่อสารเหรอมนุษย์”
“ประมาณนั้น”
ถ้าเป็นคนอื่นในเมืองคงใช้เวทมนตร์สื่อสารไปแล้ว แต่กับเขาที่ไม่ได้มีเวทมนตร์เหมือนคนอื่นในเมืองนั้น ลูกแก้วสื่อสารอันนี้เลยเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยให้เขาติดต่อกับคนข้างนอกได้ เพราะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ลงมาที่ชั้นใต้ดินนี้ทั้งนั้น ขนาดจะเอาข้าวเขายังต้องเดินไปเอาเองเลย
ถ้าถามว่าทำไมเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์นั้น เขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ถ้าให้หาคำตอบที่สมเหตุสมผลที่สุดก็คงเป็นเพราะเขาถูกองค์ชายเก็บมาเลี้ยง ไม่ใช่คนในเมืองนี้ล่ะมั้ง
อาหารสองชุดถูกนำมาให้ฮันกยอลกับนักโทษหลังประตูไม้
เขาเดินไปรับมันมา วางส่วนของเขาลงข้างประตูก่อนจะนำอีกชุดเข้าไปวางในห้องขัง
“เดินเข้ามาแบบนี้ไม่กลัวข้าเด็ดหัวรึไง” นักโทษในห้องขังพูดขึ้น ฮันกยอลไม่เห็นหรอกว่าหน้าตาของเจ้าแวมไพร์ตนนี้เป็นยังไง เห็นแค่ตาสีแดงคู่เดียวเท่านั้น
“จะเด็ดก็เด็ดไปสิ” เป็นคำตอบจากฮันกยอลก่อนเขาจะเดินออกมานั่งหน้าห้องตามเดิม
แวมไพร์เงียบไปสักพักก่อนที่เสียงเคี้ยวอาหารจะดังขึ้น ในชีวิตหลายร้อยปีของเขาไม่เคยเห็นมนุษย์ที่นิ่งเฉยกับพลังของเขาขนาดนี้มาก่อน
เขาคิดว่ามนุษย์คนนี้น่าสนใจดี
เวลาผ่านไปหลายวันที่มีแค่ฮันกยอล กำแพงหิน ประตูไม้ อาหาร กับแวมไพร์ในห้องขังที่ตอนนี้เขารู้ชื่อแล้วว่าชื่อคิมโยฮัน แวมไพร์หลังประตูนั้นพูดมากกว่าที่ฮันกยอลคิด กลายเป็นว่าเจ้าแวมไพร์นั่นชวนเขาคุยตลอด คอยเล่าเรื่องที่ไปเจอมาให้ฟังอยู่ตลอด
“ฮันกยอล เจ้าไม่เบื่อบ้างเหรอ อยู่แต่ในห้องใต้ดินแบบนี้” เป็นโยฮันที่ทักเขาขึ้นมาก่อน
“ฟังแวมไพร์พูดมากแบบนายเล่าเรื่องอยู่ทุกวันจะเอาอะไรที่ไหนไปเบื่อ” เขาตอบเสียงเรียบ
“ว่าข้าพูดมากเหรอ”
“จะเล่าอะไรอีกล่ะ”
“รู้ทันอีก” แวมไพร์พูดด้วยเสียงหงุดหงิดนิดหน่อย ก่อนจะกลับมาพูดเสียงร่าเริงเหมือนเดิม “วันนี้จะเล่าเรื่องมนุษย์ต้องสาปดีไหม เจ้าเคยได้ยินไหมฮันกยอล”
“ไม่เคยหรอก” ฮันกยอลตอบ เขานั่งลงพิงกำแพงหินเย็น ๆ เหมือนทุกวัน หลับตารอคิมโยฮันเล่าเรื่องด้วยความเคยชิน “เล่ามาสิ”
“ข้าเองก็ไม่เคยเจอหรอกนะ ฟังพวกผู้ใหญ่เล่ามาอีกเหมือนกัน ได้ยินมาว่าบางที่ก็เรียกว่าเป็นคำสาป บางที่ก็เรียกว่าเป็นพรวิเศษล่ะ”
“แปลว่ามีทั้งข้อดีทั้งข้อเสียเหรอ”
“ประมาณนั้นมั้ง ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน” โยฮันหัวเราะเบา ๆ “ข้อสังเกตของพวกเขาคือไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ต่อให้ถูกสอนจากอาจารย์ชั้นเลิศก็ตาม เป็นมนุษย์พวกที่ถ้าถูกจูบแล้ววิญญาณสองดวงจะเชื่อมกันน่ะ แบบว่าถ้าตายก็ตายตามกัน บางที่ก็มองว่ามันเป็นความรักโรแมนติคที่ผูกชีวิตคนรักเข้าด้วยกัน บางที่ก็มองว่าเป็นข้อดีเพราะถ้าคนหนึ่งตายอีกคนจะได้ไม่ต้องถูกทิ้งให้อยู่กับความเศร้า แต่ข้าว่าเป็นเหมือนคำสาปให้ตายทั้งคู่มากกว่า เจ้าว่างั้นไหมฮันกยอล”
“...” ฮันกยอลไม่ตอบ เพียงแค่มองออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงจันทร์ส่องเข้ามาเท่านั้น
“เจ้าหลับแล้วเหรอฮันกยอล”โยฮันถามเมื่อไม่ได้รัยคำตอบจากคู่สนทนา“งั้นก็ฝันดีนะ”
วันต่อมาเป็นวันเดียวกับที่เจ้านายของฮันกยอลบอกว่าแวมไพร์ในห้องขังจะฟื้นพอดี
เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง
อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอก ถ้าแวมไพร์หลังประตูนั่นไม่ได้บอกเขา
“วันนี้พระจันทร์สวยนะฮันกยอล” เป็นเสียงร่าเริงเหมือนที่เขาได้ยินทุกวัน “เจ้าไม่เบื่อบ้างเหรอ”
“จะเล่าอะไรอีกล่ะ”
“วันนี้ไม่เล่าหรอก แต่ข้าอยากชวนเจ้าออกไปข้างนอกล่ะ” โยฮันตอบ “หนีออกจากที่นี่กันมั้ยฮันกยอล เจ้าโดนสั่งให้เฝ้าข้าอยู่แบบนี้ก็เหมือนกับโดนขังนั่นแหละ”
“หนียังไง ฉันออกจากที่นี่ไม่ได้หรอกนะ”
“ใช้พลังของข้า วันนี้พระจันทร์เต็มดวง ข้าแรงเยอะเป็นพิเศษแหละ” เสียงร่าเริงจากอีกฝั่งของกำแพงดังขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนคิมโยฮันจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไปเดินเล่นดูพระจันทร์กันไหม”
“แรงเยอะแต่ก็ออกมาไม่ได้น่ะนะ”
“อาหารมนุษย์อย่างเดียวน่ะพลังข้าไม่กลับมาหรอกนะ เป็นแวมไพร์ก็ต้องกินเลือดถูกไหมล่ะ” แวมไพร์หัวเราะ “เข้ามาหาเราหน่อย”
ฮันกยอลมองออกไปทางหน้าต่าง แสงจันทร์คืนนี้สว่างกว่าทุกวัน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปหาแวมไพร์ที่นั่งคุยกันทุกวันเป็นเวลาเกือบเดือน
เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าตาของแวมไพร์หลังประตูไม้บานนั้น
แสงจันทร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็ก เบื้องหน้าฮันกยอลมีเพียงแวมไพร์ผมสีดำ ตาสีแดงที่งดงามราวกับรูปปั้น ที่ท้องถูกลิ่มตัวใหญ่ตอกไว้ รอบ ๆ แผลมีเพียงรอยเลือด
“ได้เจอกันสักทีนะ” แวมไพร์ยิ้ม “เจ้าสวยกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย”
ฮันกยอลไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่ดึงลิ่มอันใหญ่ออกจากท้องของแวมไพร์ตรงหน้าเท่านั้น
ร่างของแวมไพร์ร่วงลงมาบนพื้น เขามองแผลกลางท้องของโยฮันที่ค่อย ๆ ประสานปิดเหมือนไม่เคยมีแผลเกิดขึ้น พลังของแวมไพร์นี่มันสุดยอดกว่าที่เขาคิดไว้อีก
“กินเลือดฉันถูกมั้ย” ฮันกยอลถามพร้อมกับปลดกระดุมที่คอออก
“ก่อนหน้านั้นข้าถามอย่างนึงได้ไหม” โยฮันเงยหน้าขึ้นมามองเขา ผิวสีซีดกว่ามนุษย์ปกติกับเขี้ยวในปากของเขาไม่ได้ทำให้ฮันกยอลกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว “ไหน ๆ เราก็อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เจ้าน่ารักกับข้ามาก ๆ ข้าขอจูบเจ้าได้ไหม”
ฮันกยอลเลิกคิ้วให้กับคำถามที่เหนือความคาดหมาย เขาลังเลนิดหน่อยก่อนจะพยักหน้า
เขาปล่อยให้คิมโยฮันครอบครองริมฝีปากไปอย่างง่ายดาย
เป็นจูบที่นานเพียงไม่กี่วินาที แต่สำหรับเขาแล้วนานราวกับชั่วนิรันดิ์
ริมฝีปากของคิมโยฮันเลื่อนลงมาตรงคอของฮันกยอลก่อนจะฝังเขี้ยวขาว ดื่มเลือดของมนุษย์ที่อยู่เป็นเพื่อนแก้เหงาให้เขามาตลอดระยะเวลาเกือบเดือน
“ไปกันเถอะ” คิมโยฮันกุมมือฮันกยอลไว้เบา ๆ ก่อนจะลงมือพังกำแพง
เสียงระเบิดปลุกให้ทุกคนในเมืองตื่น
ทหารวิ่งกันขวักไขว่ ตามหานักโทษแหกคุกกับนักรบกบฎที่พานักโทษหนีไป
คิมโยฮันพาฮันกยอลขึ้นมายังระเบียงห้องขององค์ชาย เขาต้องการปลิดชีพเจ้านายของมนุษย์ข้าง ๆ ก่อนจะพามนุษย์คนนี้หนีไป
ด้านในห้องที่สามารถมองเห็นทุกเหตุการณ์ด้านนอกได้ องค์ชายกำลังนั่งหันหน้ามาทางระเบียงราวกับกำลังรอเวลานี้อยู่
“เจ้าชายแวมไพร์คิมโยฮัน เรากำลังรออยู่เลย” องค์ชายพูดด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “แล้วก็อีฮันกยอล ไม่ได้เห็นเจ้านานเลยนะ”
“รอ?”
“เจ้าน่าจะคิดอะไรผิดนิดหน่อย คิดว่างั้นไหม” องค์ชายยังคงรักษาใบหน้ายิ้มแย้มเอาไว้
“พูดอะไรของเจ้า”
“หนึ่ง เราไม่ได้โง่ ทุกอย่างถูกคำนวณไว้หมดแล้ว” คนในห้องชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ก่อนจะเพิ่มขึ้นมาเป็นสองนิ้ว ที่ปลายนิ้วมีแสงจาง ๆ แสดงให้เห็นว่าเขากำลัวใช้เวทมนตร์อยู่ “สอง แผนนี้น่ะเราวางไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จริงไหม อีฮันกยอล”
“ครับ องค์ชายอูซอก” เป็นเสียงจากด้านหลังโยฮันที่พูดขึ้น
แวมไพร์หันกลับไปมองมนุษย์ที่เขาเพิ่งพาหนีออกมาทันที
บนใบหน้าของนักรบหนุ่มมีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยน ในมือของอีฮันกยอลมีดาบอยู่หนึ่งเล่มที่ถูกยกไว้สุดแขน รอบดาบเปล่งแสงสีเดียวกับเวทมนตร์ในมือขององค์ชายในห้อง น้ำตาที่คลอขึ้นมาในตาของเขาสะท้อนกับแสงจันทร์ งดงามยิ่งทุกสิ่งที่เขาเคยเห็นมาในชีวิตหลายร้อยปี แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ใจเขาหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มได้เช่นกัน
“ขอบคุณที่เล่าเรื่องหลายเรื่องให้ฟังนะ โยฮัน”
“ขอโทษนะ” มีเพียงเสียงแผ่วเบาเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงของมีคมเสียบเข้าที่ร่างตรงหน้า
เลือดที่กระเด็นออกจากหน้าอกของคนตรงหน้าเป็นสิ่งสุดท้ายที่คิมโยฮันเห็นก่อนสติของเขาจะดับลง
เรื่องมนุษย์ต้องสาปอะไรนั่นน่ะ อีฮันกยอลรู้ตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะเป็นเขาเอง ที่เป็นหนึ่งในมนุษย์พวกนั้น
เป็นเขาเองที่ถูกเลือกให้เฝ้าคิมโยฮัน
เป็นเขาเองที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของแผนนี้
เป็นเขาเองที่เป็นเพียงหมากหนึ่งตัวในมือขององค์ชายเจ้าชีวิต
เป็นเขาเอง
ที่เป็นแค่เหยื่อที่รอให้ปลามากินเท่านั้น
End.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in