– But you’ll never be alone –
เข้าปีที่สามของการอยู่ร่วมบ้านกับน้องชายที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ทางสายเลือด เด็กชายวัยเจ็ดขวบในตอนนั้นโตขึ้นมาอีกนิดหน่อย เช่นเดียวกับผมที่อายุย่างสิบเจ็ดปี
เราไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ ในแต่ละวันก็แทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ ด้วยนิสัยของเขาที่เป็นคนเงียบ ๆ ส่วนผมก็ทำตัวไม่ถูก และถ้าเกิดบังเอิญได้คุยกัน มันก็คงเป็นบทสนทนาถามคำตอบคำน่าอึดอัด
ย้อนไปเมื่อตอนที่คิมโดยองเข้ามาเป็นสมาชิกคนใหม่ในบ้านของผม จะบอกให้ฟังว่าตัวผมในวัยสิบสี่ปีในตอนนั้นไม่ชอบขี้หน้าของเจ้าเด็กคนนี้เอาเสียเลย มันเป็นความรู้สึกไม่อยากจะยอมรับ ตัวผมที่เป็นลูกคนเดียวมาตลอด
ส่วนเขาเป็นใครกัน
ดวงตากลมดูใสซื่อไร้พิษภัยของคิมโดยองที่ผมเคยสงสัยว่าความจริงแล้วตัวตนของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ จนถึงวันที่ผมเลิกสงสัย ดวงตาคู่นั้นของเขาก็ยังเหมือนกับตอนแรกเจอ
ใสซื่อ และไร้พิษภัย
บางครั้งก็ดูน่าหงุดหงิด
เวลาหมุนเวียนผ่านไป ทุก ๆ อย่างที่เคยแปลกใหม่ ผมก็เริ่มจะคุ้นชินกับมัน
ในวันหนึ่งกลางเดือนเมษายน ระหว่างทางกลับบ้าน เรากำลังเดินผ่านร้านขายไอศกรีม สายตาของเด็กวัยสิบขวบจ้องมองไปที่นั่นไม่วางตา
“อยากกินเหรอ"ผมเอ่ยถามน้องชาย
ผมซื้อไอศกรีมรสช็อกโกแลตให้เขาแท่งหนึ่งในฐานะพี่ชาย มันคงเป็นครั้งแรกที่เห็นรอยยิ้มของเจ้าเด็กคนนี้
“ขอบคุณครับ”
เขาเอ่ยแล้วรับไอศกรีมไปกินอย่างที่ใจหวัง
ผมไม่ได้อยากจะทำตัวเป็นพี่ชายที่แสนดีอะไร ก็แค่ทำตามที่แม่บอกว่าให้ดูแลก็เท่านั้น
ตรงทางม้าลาย เรายืนรอสัญญาณไฟ มือเล็ก ๆ ของเด็กสิบขวบยื่นมาจับมือของผม ส่วนอีกข้างหนึ่งของเขาถือแท่งไอศกรีมที่เริ่มละลายเลอะมือเต็มไปหมด รวมถึงใบหน้าที่มีคราบไอศกรีมเปอระอยู่ด้วย ผมจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเช็ดมือและหน้าของเขาก่อนที่สัญญาณไฟเขียวจะมา
เราจับมือแล้ววิ่งข้ามถนนใหญ่ไปด้วยกัน
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังไม่สนิทกันอยู่ดี
มาถึงช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ผมนัดกับเพื่อนประมาณสามถึงสี่คนมาเล่นวีดีโอเกมที่บ้าน พวกเราเอะอะและเสียงดังอยู่ในห้องนอน เบื่อเกมนั้นก็มาเล่นเกมนี้แทน ไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าการที่ไม่ได้เรียนหนังสือจริงไหม
ในระหว่างที่พวกเพื่อนตัวแสบกำลังเลือกเกมแผ่นใหม่อยู่นั้น ผมมองผ่านหน้าต่างห้องลงไป มันคือสวนหลังบ้านที่ผมไม่ค่อยได้เข้าไปเยี่ยมเยือนมันสักเท่าไหร่
หรือเป็นเพราะคิมโดยองนั่งเล่นอยู่ตรงนั้น ผมถึงไม่คิดจะเข้าไปก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
รถบังคับที่เคยเป็นของผมมาก่อนถูกเขาบังคับให้แล่นไปทั่วสวนหลังบ้าน แต่เขาดูเล่นมันไม่เก่งเอาเสียเลยถ้าเทียบกับผมตอนอายุเท่าเขา
รถของเล่นสีแดงถูกบังคับให้ชนกับพุ่มไม้ไม่ก็รั้วบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า คิมโดยองก็ลุกไปจับให้รถตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อจะได้เล่นต่ออีกครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าเป็นผมคงจะเลิกเล่นไปแล้ว ก็เพราะเล่นไม่เก่ง มันจะสนุกได้อย่างไร แต่เจ้าเด็กโดยองแตกต่างเกินไป ผมไม่รู้เลยว่าภายในใจของเขาคิดอะไรอยู่
“ยองโฮ… ซอยองโฮ!”
เสียงของเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นมาแทรกระหว่างที่ผมกำลังเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“เป็นห่าอะไร”
“ไม่ได้เป็นไร”
ผมตอบ หลังจากนั้นผมกับเพื่อนก็ได้เริ่มเล่นเกมกันอีกครั้ง ผมไม่ได้สนใจน้องชายที่กำลังเล่นคนเดียวที่สวนหลังบ้านจนกระทั่งเพื่อน ๆ ของผมกลับบ้านไปจนหมด
ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีของพระอาทิตย์ตกดิน ผมเดินลงจากห้องของตัวเอง ชั้นล่างของบ้านดูเงียบเหงากว่าที่เคยเป็น เพราะพ่อกับแม่ไม่อยู่ ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจจะฟังที่แม่บอกผมเมื่อตอนเช้าว่าจะไปไหน
ผมเข้าไปที่ห้องครัวที่ว่างเปล่า เปิดตู้เย็นเพื่อมองหาอะไรก็ได้ที่สามารถเติมเต็มความหิวของผม แต่ก็พบว่าข้างในตู้เย็นก็มีแต่ความว่างเปล่าเช่นกัน
เป็นวินาทีที่ผมคิดถึงน้องชายขึ้นมา เพราะถ้าผมหิว แล้วเขาจะไม่หิวหรือ
ผมเปิดประตูออกไปที่สวนหลังบ้าน แต่คิมโดยองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
ผมก้าวขึ้นไปบนบ้านอีกครั้งแล้วเปิดประตูห้องฝั่งตรงข้ามห้องนอนของผม บานประตูสีขาวที่มีป้ายรูปกระต่ายเขียนไว้ว่า “ห้องของโดยอง”
คิมโดยองกำลังนั่งวาดรูปอยู่กับพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมา แววตาของเขาดูตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผม รีบคว้ากระดาษที่เขาวาดไปซ่อนไว้ข้างหลัง
ผมนึกตลกกับท่าทางที่ดูเหมือนกระต่ายตื่นตกใจจนขนพองของน้องชาย และโดยไม่รู้ตัวผมก็ย่อตัวลงไปเพื่อจะคุยกับเขาเสียแล้ว
“วาดอะไรอยู่เหรอ”
โดยองไม่ตอบ เพียงส่ายหน้าเบา ๆ
“พี่ขอดูหน่อยได้ไหม”
น้องชายสบตากับผม ซึ่งผมแปลไม่ออกว่าสายตาของเขาหมายความว่าอย่างไร แต่มันดูน่าเอ็นดูมากกว่าครั้งไหน ๆ
ผมคงจะเป็นบ้าไปแล้ว ที่อยู่ ๆ ก็ดันมีความคิดแบบนี้ขึ้นมา
“พี่ยองโฮ…”
เขาว่าพร้อมกับยื่นกระดาษที่เขาซ่อนไว้ข้างหลังให้กับผม ผมรับมันมาดูแล้วก็เผลออมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“นี่พี่เหรอ”
“อื้อ”
ภาพวาดของเด็กอายุสิบขวบ มีคนที่ดูไม่ค่อยสมส่วนในชุดนักเรียนที่ดูไม่ค่อยเรียบร้อย มองเผิน ๆ ก็ดูคล้ายกับผมอยู่เหมือนกัน
นอกจากภาพคนที่ดูไม่สมส่วนคนนั้นก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กยืนจับมืออยู่ข้าง ๆ พร้อมกับไอศกรีมหนึ่งแท่ง
“ส่วนนี่โดยอง…”
มือเล็กชี้มาที่อีกคนในภาพ เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นรอยยิ้มของเจ้าน้องชายคนนี้
“รู้แล้วล่ะ”
ผมจำได้ เขาก็คงจะจำได้ เหตุการณ์ในวันนั้น ไม่รู้ทำไม มันถึงน่าจดจำขนาดนั้น
“หิวไหม”
โดยองวัยสิบขวบพยักหน้าพร้อมกับส่งสายตาน่าเอ็นดู ผมในวัยสิบเจ็ดก็เกิดความคิดขึ้นมาว่ามันคงจะดีถ้าเราสนิทกันมากกว่านี้
บางทีคิมโดยองไม่ได้เป็นเด็กที่เข้าใจยากอะไร พลอยคิดเองเออเองทึกทักว่าเขาเป็นเด็กประหลาด ทั้งที่ความจริง อาจเป็นผมเองก็ได้ที่ประหลาด
ในฤดูร้อนนั้น ผมก็ค้นพบว่าคิมโดยองได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงโคจรของผมเสียแล้ว
“เราสั่งไก่มากินดีไหม”
เย็นวันนั้น มื้อเย็นของเราก็เป็นไก่ทอดที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ชอบทั้งนั้น รวมไปถึงคิมโดยองคนนี้ที่รีบคว้าเอาน่องไก่ไปครองทันทีที่เปิดกล่อง
ผมมองเขานั่งแทะไก่น่องใหญ่เกือบจะเท่าหน้าของเขาโดยไม่เอ่ยอะไร เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับการได้เห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย ผมก็กินอิ่มไปด้วย
ระหว่างที่โดยองแทะน่องไก่ สายตาใสซื่อของเขาก็เอาแต่จับจ้องมาที่ผมเช่นกัน เขาหยุดยัดน่องไก่เข้าปากตัวเองก่อนจะยื่นมันมาตรงหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มจนตาหยี
“พี่ยองโฮกินสิ”
เสียงเล็ก ๆ ของเขาดังลอดริมฝีปากที่เคลือบไปด้วยน้ำมันของไก่ทอด ปากที่ขยับเคลื่อนน้อย ๆ ของเขา พอได้มองดี ๆ ผมก็เพิ่งจะได้รู้ในวันนี้ว่ามันดูน่ารักน่าชังเป็นบ้า
น่องไก่ที่ถูกเขาแทะไปครึ่งหนึ่งก็ยังคงถูกยื่นมาตรงหน้าผม เจ้าเด็กนี่คงจะเห็นว่าผมไม่ยอมกินเลยจะแบ่งของตัวเองให้แน่ ๆ
“แบ่งให้พี่เหรอ ขอบคุณนะ”
ผมยื่นหน้าไปข้าไปใกล้อ้าปากกัดเนื้อไก่ไปคำหนึ่ง แต่มันคงมากไป โดยองคงไม่ได้ตั้งใจจะให้ผมกินไก่ของเขาไปมากเท่านี้ เขาทำหน้าเศร้าพลางมองน่องไก่ที่แทบจะไม่เหลือเนื้อแล้ว
แต่ในตอนสุดท้ายผมก็กล่อมเด็กที่กำลังจะร้องไห้ด้วยน่องไก่อีกน่องที่ยังไม่ได้กินได้สำเร็จ หลังจากเหตุการณ์นี้ความสนิทสนมของเราก็คงจะกระเตื้องขึ้นมาอีกนิดหน่อย
“เดี๋ยวสอนเล่นรถบังคับเอาไหม”
ผมเอ่ยถามหลังจากที่ล้างจานเสร็จ เด็กน้อยที่รับหน้าที่เอาจานไปเก็บที่ชั้นวางก็หันมาพร้อมกับแววตาที่ลุกวาวเป็นประกาย
เราเดินออกไปที่สวนหลังบ้านที่ตอนนี้ถูกเติมเต็มไปด้วยแสงไฟสลัวที่ติดริมรั้วผสมกับแสงของพระจันทร์และดวงดาวบนฟ้า
รถของเล่นสีแดงถูกวางบนพื้นอีกครั้ง คิมโดยองหยิบจอยบังคับออกมาจากกล่องแล้วเปิดสวิตช์เพื่อบังคับ ท่าทางทุลักทุเลแบบนั้น ทำให้ผมอดขำออกมาไม่ได้
“ต้องค่อย ๆ บังคับแบบนี้สิโดยอง”
ผมโอบตัวของน้องชายไว้จากข้างหลังแล้วให้เขานั่งลงบนตักของผม พร้อมกับมือที่กอบกุมมือเล็ก ๆ ของเขาเพื่อจะช่วยเขาบังคับรถของเล่นคันนั้น
มันเหมือนกับการทดแทนในส่วนที่ผมยังทำได้ไม่ดีพอ ผมที่เคยปล่อยให้น้องชายเล่นคนเดียว ผมที่ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของเขา จนเวลานี้ผมก็สัญญากับตัวเองเป็นที่เรียบร้อยว่าจะไม่ปล่อยให้โดยองต้องเหงาอีก
เพราะผมอยากจะได้ยินเสียงหัวเราะของเขาที่สดใสมากจนผมคาดไม่ถึงแบบนี้
อยากจะสัมผัสกับตัวตนของเขาให้มากกว่านี้ รวมทั้งความรู้สึกของเขาที่ผมเข้าใจผิดมาโดยตลอด
อยากจะโอบกอดเขาเอาไว้แม้ในตอนที่ทุกอย่างมันกลายมาเป็นเรื่องผิดพลาด
อยากจะอยู่รอจนแสงแรกของวันใหม่สาดเจิดจ้ามาในวันที่มีเพียงแค่เราสองคน
.
.
รถบังคับสีแดงในวันนี้ที่มันไม่ได้ถูกหยิบออกมาเล่น แต่กลับถูกวางตั้งไว้ในตู้โชว์แทน เอาไว้ให้นึกย้อนไปถึงในวันนั้น, กลางฤดูร้อนที่เราสนิทกันแล้ว
แสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้องเพื่อบอกใหรู้ว่าเช้าวันใหม่ได้เดินทางมาถึงแล้ว
ในอ้อมแขนของผมมีความรักที่ผมโอบกอดเอาไว้ทั้งคืน
“อรุณสวัสดิ์”
ผมเอ่ยกับคนในอ้อมกอด
END.
Note : This is reposted. Please tag #ccjohndo. Thank you.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in