– Please love me harder, hold me tightly –
“ท่านประธานครับ อีกสิบห้านาทีจะถึงเวลาประชุม เตรียมตัวได้แล้วนะครับ”
เสียงนุ่มหูของคิมโดยอง, เลขานุการหนุ่มดังขึ้นมาในขณะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งไขว่ห้างจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทางสบาย ๆ ดูไม่เร่งรีบอะไร
ดวงตาเรียวสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นดูจริงจังและเคร่งขรึมอยู่เสมอ ในมือของเขามีสมุดบันทึกขนาดกระทัดรัดคู่ใจที่คอยจดตารางเวลาการนัดหมายต่าง ๆ ในแต่ละวัน – เขาเก็บสมุดบันทึกเล่มนั้นไว้ในกระเป๋าลับที่ซ่อนไว้ในเสื้อสูทสีดำเรียบหรู เนกไทสีกรมท่าก็ดูเข้ากับชุดสูทได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งผมสีดำที่ถูกเซ็ทมายิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเลขานุการหนุ่มคนนี้ดูเป็นผู้ชายที่ไร้ที่ติ
“ท่านประธานครับ”
“รู้แล้วน่า ขอจิบกาแฟที่เลขาคิมชงให้ผมต่ออีกสักนิดได้ไหม อย่าใจร้อนนักเลย”
“ไม่ได้ครับ เราต้องไปประชุมแล้วครับ”
ด้วยความเข้มงวดของเลขานุการหนุ่ม ทำให้ประธานซอเผลอแค่นหัวเราะก่อนจะยกมือยอมแพ้แล้วจึงลุกจากที่นั่ง – มือหนาติดกระดุมกระชับเสื้อสูทสีกรมท่าที่สั่งตัดเย็บเป็นพิเศษ หันปลายรองเท้าหนังสีดำขลับขัดอย่างดีก้าวไปหาเลขานุการหนุ่มที่ยืนรออยู่ตรงประตู
“เดี๋ยวครับ”
ก่อนที่จะเปิดประตูออกไป เลขานุการหนุ่มก็เอ่ยรั้งไว้ ขณะที่ประธานซอไม่ทันได้ตั้งตัว คิมโดยองก็ยื่นมือไปขยับปมเนกไทที่เคลื่อนลงมาให้กับอีกฝ่าย พร้อมกับปกเสื้อที่โผล่ออกมานอกเสื้อสูทก็ถูกจัดแจงอย่างเรียบร้อย
ไม่กี่วินาทีที่ใกล้ชิดจนแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ทั้งสองได้สบตากันเล็กน้อย เป็นฝ่ายคิมโดยองที่ชิงหลบสายตาไปก่อน ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มมุมปากแฝงความเจ้าเล่ห์ของประธานซอเลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณ”
พวกเขาเดินออกมาจากห้องทำงาน เหล่าพนักงานที่เดินไปเดินมาต่างก็พากันโค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม – แม้ในสายตาของคิมโดยอง ท่านประธานจะดูเป็นเด็กเอาแต่ใจ และยากจะรับมือ แต่สำหรับพนักงานทั่ว ๆ ไปแล้ว ประธานซอนั้นน่าเกรงขามราวกับสิงโตเจ้าป่า
ร่างกายสูงได้สัดส่วน ดูสง่างาม และน่าดึงดูดใจ ดวงตาคมเฉียบราวกับนกเหยี่ยวรับกับริมฝีปากหยักได้รูปนั้นหากใครได้จ้องมองแล้วก็คงจะพูดเป็นเสียงเดียวว่าองค์ประกอบของชายคนนี้ช่างงดงามเกินจะเอ่ยบรรยาย
แม้จะชอบแสดงท่าทางสบาย ๆ ดูเหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่ซอยองโฮรู้ดีว่าเวลาไหนควรจะจริงจัง เขามีความฉลาดเฉลียวพร้อมทั้งไหวพริบที่ดีในเรื่องการจัดการและควบคุมคน ไม่เช่นนั้นจะคงจะไม่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานบริษัทตั้งแต่อายุยังไม่ขึ้นเลขสี่แบบนี้
เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการประชุมที่เคร่งเครียดเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ระหว่างนั้นเสียงของเลขานุการหนุ่มก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะอีกครั้งหนึ่ง
“นัดหมายต่อไปคือนัดทานอาหารกลางวันกับคุณชเวมินจูที่โรงแรมอิมพีเรียลเวลาเที่ยงตรง แล้วก็ตอนหกโมงเย็นก็ต้องเตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของกลุ่มบริษัททีวายอิเล็กทรอนิกส์ด้วยครับ”
ประธานบริษัทวัยสามสิบปลาย ๆ ลอบถอนหายใจออกมาราวกับเป็นเด็ก ซอยองโฮไม่เอ่ยโต้ตอบอะไร เขาเพียงพับเปลือกตาลงพยายามจะซ่อนความอ่อนล้าเอาไว้ไม่ให้ได้เห็น เพราะมันคงเป็นภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดีนักในสายตาของอีกฝ่าย
“ท่านประธาน…”
“ชู่ว์”
ยกเรียวนิ้วจรดไว้ที่ริมฝีปากหยักของตน เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกกับท่าทางที่เปลี่ยนไป คิมโดยองจ้องมองเจ้านายด้วยสายตาไม่อาจซ่อนความห่วงใยไว้ได้ ก้าวเข้าไปใกล้กับคนที่อ่อนล้าก่อนจะยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่ายที่ยังคงค้างอยู่ที่ริมฝีปาก
มือของซอยองโฮมักจะเย็นอยู่เสมอ มันน่าแปลกที่เป็นอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ร่างกายสูงใหญ่ กลับกันที่มือเรียวของคิมโดยองนั้นอบอุ่น สามารถมอบพลังให้กับอีกฝ่ายได้แทบจะตลอดเวลา
“เหลือเวลาอีกเท่าไหร่จะถึงเวลานัด”
“ครึ่งชั่วโมงครับ”
“ถมเถไป”
ริมฝีปากหยักจรดจุมพิตเข้ากับมือเรียวที่กอบกุมไว้ก่อนหน้านี้ เปลือกตาที่ซ่อนดวงตาคมเอาไว้ก็เปิดเผยให้เห็นแววความเจ้าเล่ห์อีกครั้ง มุมปากยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะใช้ออกแรงฉุดร่างบางของเลขานุการหนุ่มให้ขึ้นมานั่งบนตักของเขา – ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“จะทำอะไรครับ”
“รู้อยู่แก่ใจ”
“แต่นี่มันที่บริษัทนะครับ”
ใบหน้าของเลขานุการหนุ่มเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อไปถึงหู เพราะมือหนาของประธานซอซุกซนไปทั่ว ความเคร่งขรึมที่สะสมเอาไว้เป็นภูเขาน้ำแข็งก็ละลายหายไปในพริบตาเดียวเพียงเพราะการจุมพิตที่หนักหน่วงราวกับสิงโตหิวโหย มือที่ยันไว้กับอกแกร่งก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนเปลี้ยไร้แรงจะขัดขืน วาดขึ้นไปโอบคออีกฝ่ายเอาไว้แทน
ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่คนรักหรือแม้แต่เพื่อนสนิท ยังคงเป็นแค่ประธานกับเลขานุการ เพียงแต่มีบางช่วงเวลาที่หัวใจของพวกเขาใกล้ชิดกันจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนข้างในอกข้างซ้าย สองสายตาประสานกัน ก่อนที่จะมอบจุมพิตให้แก่กันอีกครั้ง
จุมพิตที่หอมหวานยิ่งกว่าจุมพิตไหน ๆบนโลกใบนี้
“ท่านประธาน…”
คิมโดยองที่กำลังเคลิ้มไปกับบทเพลงรักเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยร้องด้วยน้ำเสียงหวานหูปนกับเสียงหอบหายใจอ่อนระทวย ยิ่งส่งเสียงออกมามากเท่าไหร่ก็ยิ่งเร้าอารมณ์ของซอยองโฮมากเท่านั้น
“มากกว่านี้… ได้โปรด… กอดผมให้แน่นกว่านี้”
“เอาแต่ใจเหมือนกันนะเลขาคิม”
ก่อนหน้านั้นจะขัดขืนมากเท่าไหร่ ในตอนสุดท้ายคิมโดยองก็พ่ายแพ้ให้กับซอยองโฮอยู่ดี
ซอยองโฮกัดริมฝีปากล่างของตนดูเหมือนกับนักล่ายามค่ำคืน ก่อนจะโอบกอดร่างบอบบางนั้นตามขำร้องขอ กลิ่นของคิมโดยองก็ยังคงเป็นกลิ่นที่เขาชอบมากที่สุด มากกว่าเครื่องหอมใด ๆ ที่เขารู้จัก – อุณหภูมิสูงขึ้นทุกวินาที เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังสลับกันตามจังหวะของการเคลื่อนไหว ใกล้ถึงเวลาเต็มที
จุมพิตครั้งสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะกลับไปสู่ความสัมพันธ์ปกติ
.
.
เช้าวันใหม่ที่บรรยากาศไม่ค่อยสดใสมากนัก เพราะฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ตอนฟ้ายังไม่สาง จนถึงตอนนี้ไงก็ไม่มีวี่แววว่าฟ้าจะเปิดให้แสงแดดส่องให้ความอบอุ่นได้เลย ประธานซอยืนมองบรรยากาศชุ่มฉ่ำภายนอกผ่านทางหน้าต่างบานใหญ่ในห้องทำงานของเขาด้วยอารมณ์ขุ่นมัวพอ ๆ กับสภาพอากาศ ยังคงหัวเสียไม่หายหลังจากโดนอีแทยงจากกลุ่มบริษัททีวายอิเล็กทรอนิกส์พูดจาเยาะเย้ยเรื่องที่ยอดขายของบริษัทลดลงที่งานเลี้ยงเมื่อวาน ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนกันมานาน เขาคงจะซัดปากอีแทยงไปแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ถึงกับทำให้เขารู้สึกไม่เป็นสุขได้มากเท่ากับเลขานุการคนสนิทของเขาไม่อยู่
มันแปลกมากที่คิมโดยองยังไม่มาทำงาน
ไม่มีแม้แต่จดหมายลางานด้วยซ้ำ
ทั้งโทรศัพท์ไปหา ทั้งส่งข้อความ ไม่มีการตอบรับใด ๆ จากเลขาคิมคนเก่ง
คนตัวใหญ่คิดไปต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับสาเหตุที่อีกฝ่ายไม่มาทำงานราวกับเด็กวัยรุ่นอารมณ์ร้อน เขาเดินวนไปทั่วห้องทำงานสลับกับยกแขนขึ้นมาดูเวลาบ่อย ๆ ยิ่งเข็มนาฬิกาหมุนไปมากเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งแสดงความกระวนกระวายออกมามากเท่านั้น พึมพำกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ‘คิมโดยองหายไปไหน’ เขาขยี้ผมที่เซ็ทมาอย่างดีจนยุ่งเหยิง ซอยองโฮกำลังไม่สบอารมณ์สุด ๆ
ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่
คิมโดยองคงโดนลงโทษมากกว่าตัดเงินเดือน
คอของเขาเริ่มจะแห้งขึ้นมา ตั้งแต่มาถึงบริษัทซอยองโฮยังไม่ได้ดื่มกาแฟสักอึกเดียว เพราะวันนี้ไม่มีกาแฟชงร้อนหอมอบอวลของเลขาคิม
“รสขาติแย่เป็นบ้า”
ซอยองโฮบ่นออกมาหลังจากที่ดื่มกาแฟฝีมือตัวเอง เขากลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน เอกสารมากมายกองอยู่เต็มโต๊ะ แต่เขาก็เลือกจะสนใจโทรศัพท์มือถือที่สั่นครืด ๆ ขึ้นมาเสียก่อน และเขาก็ไม่ลังเลที่จะกดรับสายนั้น
ซอยองโฮพาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านหลังเล็กสีขาว มีต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อยและสวนดอกไม้เล็ก ๆ อยู่ข้างในบริเวณบ้าน คาดเดาได้ว่าเจ้าของบ้านน่าจะชื่นชอบธรรมชาติอยู่ไม่น้อย และคงมีจิตใจที่อ่อนโยนอีกด้วย ซอยองโฮสอดส่องไปรอบ ๆ โชคดีที่ฝนหยุดตกไปแล้ว ถึงแม้ฟ้ายังไม่เปิดมากเท่าไหร่ แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่น เขากดกริ่งที่ติดอยู่หน้าประตูรั้วสีเดียวกันกับตัวบ้าน ข้าง ๆ กันมีหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้วางอยู่บนตู้จดหมายสีแดงที่มีซองจดหมายสามฉบับถูกละทิ้งเอาไว้ เพราะเจ้าของบ้านไม่ได้ออกมาเก็บ
“ผมบอกว่าไม่ต้องมาไง…”
ซอยองโฮหันหน้าไปทางต้นเสียง มันคุ้นหู แต่ก็ฟังดูแปร่ง ๆ กว่าทุกวัน – ตรงหน้าปรากฎร่างของชายหนุ่มร่างโปร่งในชุดนอนเข้าชุดสีฟ้าลายตาราง ทรงผมที่ราวกับเพิ่งลุกจากที่นอนทำให้เขากลายเป็นแค่ผู้ชายอายุสามสิบธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่ได้เหลือสภาพของเลขานุการแสนสมบูรณ์แบบแม้แต่น้อย แต่ก็ยังไม่ลืมส่งสายตาไม่พอใจไปยังคนในชุดสูทที่ยืนรออยู่ข้างนอก
“ประธานโดดงานมาแบบนี้ ลูกน้องที่ไหนจะเชื่อถือกัน”
“พอเถอะน่า ขนาดไม่สบายแล้วยังมีแรงบ่นอยู่อีก”
ซอยองโฮหยุดไปชั่วครู่ เขารู้ว่าคิมโดยองไม่สบาย เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน และโทรไปลางานเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ในหัวของเขามีแต่ความคิดอยากจะแกล้งคนตรงหน้าเล่น เพราะยิ่งคิมโดยองทำท่าโมโหฟึดฟัดมากเท่าไหร่ คิมโดยองก็น่ารักมากขึ้นเท่านั้น
“รู้อย่างนี้ น่าจะทำจนไม่มีแรงเหลือ…”
ก่อนที่คิมโดยองจะขึ้นเสียงเอ็ดท่านประธานของเขาที่พูดจาทะลึ่งตึงตังได้อย่างหน้าตาเฉย เขาก็จามออกมาจนตัวโยน ซอยองโฮหัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบังกับท่าทางของเลขาคิม ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคนตรงหน้าของเขาได้แย่งชิงความสนใจของเขาไปได้ทั้งหมด
“ว่ากันว่าถ้าเกิดจามขึ้นมา แสดงว่ามีคนกำลังคิดถึงอยู่”
ประธานว่าพลางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงวางท่า เผื่อว่ามันจะทำให้คำพูดของเขาฟังดูน่าเชื่อถือ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าคิมโดยองไม่ใช่เด็กห้าขวบที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ อยู่แล้วก็ตาม แต่คนขี้แกล้งก็ยังเป็นคนขี้แกล้งอยู่วันยันค่ำ ต่อให้บ่นเป็นหมีกินผึ้งจนน่ารำคาญ ประธานซอก็ยังจะแกล้งเลขาคิมเล่นอยู่ดี – ถึงได้บอกว่าสำหรับคิมโดยอง ซอยองโฮเป็นคนยากจะต่อกร
“ไร้สาระ…”
“คุณกำลังบอกว่าการที่ผมคิดถึงคุณคือเรื่องไร้สาระอย่างนั้นน่ะเหรอ”
ไม่รอให้คิมโดยองได้บ่นออกมาจนจบตลอดรอดฝั่ง ซอยองโฮก็ชิงเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาก่อน และนั่นก็ทำให้บทสนทนาที่คั่นด้วยรั้วบ้านชะงักไปกลางคัน ได้ยินเพียงแค่เสียงของใบไม้เสียดสีเพราะลมพัดมา บรรยากาศช่างใกล้เคียงกับภาพยนตร์รักโรแมนติก ติดตรงที่คนหนึ่งใส่ชุดนอน และผมก็ยังไม่ได้หวี – ในขณะที่คิมโดยองกำลังหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศ ซอยองโฮก็ยิ้มกว้าง เพราะพึงพอใจที่ได้เห็นคิมโดยองในมุมที่เขาอยากจะเห็นสักที
“ใจคอคุณจะให้ประธานบริษัทยืนอยู่ข้างนอกแบบนี้อีกนานไหม เลขาคิม"
.
.
ซอยองโฮไม่สนใจว่าคนในอ้อมแขนของเขาจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจกระทั่งเขาจะติดไข้ของอีกฝ่ายหรือไม่ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาต้องการเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือคิมโดยอง
แน่นอนว่าซอยองโฮไม่ใช่เด็กเหมือนที่คิมโดยองชอบบ่น เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันคลุมเครือและก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้สนใจที่จะทำความสัมพันธ์นี้ให้มันชัดเจน แต่ช่วงหลัง ๆ มานี้ เขารู้สึกว่าคิมโดยองมีอิทธิพลต่อใจของเขามากกว่าเดิม ดูได้จากเขาที่รีบเหยียบคันเร่งรถยนต์คันหรูของตัวเองที่หวงนักหวงหนามาหาอีกฝ่ายทันทีหลังจากได้รับสายขออนุญาตลาป่วย
“เดี๋ยวติดไข้นะครับ ปล่อยเถอะครับท่านประธาน”
คนในอ้อมแขนแกร่งพยายามขัดขืน แต่คนที่ขึ้นชื่อว่าประธานก็ดูไร้วี่แววจะยอมปล่อยตามคำเตือนของเลขานุการหนุ่ม กลับยิ่งกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม
“ใครสน”
ประธานซอยังคงแสดงท่าทีเอาแต่ใจเรื่อย ๆ ไม่ว่าคิมโดยองจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งจนไม่มีทางไหนเหลือให้เขาหยิบเอาออกมาใช้อีกแล้ว อีกฝ่ายก็ยังกอดเขาแน่นอยู่อย่างนั้น ที่ทำได้อย่างเดียวก็คือยืนอยู่เฉย ๆ แล้วกลายเป็นหมอนข้างให้เด็ก(โข่ง)จอมเอาแต่ใจกอดต่อไป
คิมโดยองรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่หน้าอกข้างซ้ายของประธานซอ หัวใจของพวกเขาที่มันไม่เคยเต้นตรงจังหวะของกันและกัน น่าแปลกที่วันนี้มันกลับเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
และแล้วแขนเรียวก็ยกขึ้นจากข้างลำตัวมาสวมกอดตอบรับอีกฝ่ายอย่างห้ามใจไม่ได้ คิมโดยองซุกใบหน้าลงกับหน้าอกของคนที่เป็นที่รัก – สายลมเย็นพัดเข้ามาผ่านทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนก็ปลิวไปตามแรงลม
“เลขาคิม คุณเคยเห็นสายลมไหม” อยู่ ๆ ซอยองโฮก็เอ่ยถามขึ้นมา หลังจากผิวหนังได้สัมผัสกับแรงลม
“ไม่เคยหรอก”
“นั่นสิ ผมก็ไม่เคย”
ลมพัดมาอีกหนึ่งระลอกราวกับกำลังเป็นใจให้กับฉากรักระหว่างพวกเขาทั้งสอง
“แต่เพราะใบไม้ไหว เราก็เลยรู้ว่ามีลมกำลังพัดผ่าน”
ซอยองโฮคลายอ้อมกอด เพื่อจะมองหน้าของคิมโดยองที่ตอนนี้ก็ยังคงแดงเรื่ออยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้หวัดหรืออะไรกันแน่ – คนตัวเล็กตัวเอียงคอสบตากับอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ซอยองโฮติดไข้เขาไปแล้วหรือเปล่า ทำไมถึงได้พูดจาแปลก ๆ คิมโดยองได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ
“คุณไม่คิดว่ามันเหมือนกับความรักเหรอ”
ความรักก็หมือนกับสายลมตรงที่ แม้จะมองไม่เห็น แต่ก็สัมผัสได้
“หลังจากที่คุณดูแลผมมาเกือบทั้งชีวิต ให้ผมได้ดูแลคุณบ้างได้ไหม… จากนี้แล้วก็ตลอดไป”
ซอยองโฮยื่นมือมาจับมือของคิมโดยอง ฝ่ามือที่หยาบกร้านเล็กน้อยจากการทำงานหนักของซอยองโฮวันนี้ไม่ได้เย็นเหมือนที่เคย กลับกลายเป็นฝ่ายที่ให้ความอบอุ่นกับอีกฝ่ายแทน สายตาของเขาก็ดูจริงจังกว่าที่เคยเป็น – ดวงตาเรียวของคิมโดยองสั่นไหวและเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา มันไม่ใช่น้ำตาของความทุกข์เศร้าโศกแต่อย่างใด
“นั่นคุณร้องไห้เหรอเลขาคิม”
“ไม่ต้องพูดมากเลย”
เพราะมือไม่ว่าง คิมโดยองที่ไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อแก้อาการขัดเขิน เขาใช้วิธีเอนศีรษะไปทุบกับแผงอกกว้างของอีกฝ่าย ก่อนที่จะโดนจับรวบตัวมากอดอีกครั้ง
“Please love me harder and hold me tightly.”
END.
Note : This is reposted. Please tag #ccjohndo. Thank you.
ปล.ชอบความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนของทั้งคู่ยังไงก็ไม่รู้นะคะ ในความไม่ชัดเจนแต่กลับมีความชัดเจนลึกๆ ซ่อนอยู่ แล้วก็เป็นการแอบแซ่บกันในออฟฟิศที่รู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจเลยล่ะค่ะ ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนจอนโดน่ารักๆ ดีๆ ให้ได้อ่านอยู่เป็นประจำนะคะ ขอบคุณที่เรือเรามีคุณ♥️