ประโยคจากปากฟินน์ทำผมหยุดชะงัก
นิ้วที่จะกดปุ่ม shutter ค้างคากล้อง
เด็กแว่นยักไหล่ ปล่อยมือจากผม
“ไม่ได้บอกเป็นลางอะไร” ตาสีเขียวอ่อนดูงามยามพระอาทิตย์ใกล้ตกอย่างนี้ ร่างบางคงนั่งนิ่งข้างกาย
“พูดความจริงก็เท่านั้น”
ผมวางกล้องลงกับพื้นหญ้า ถอนหายใจ
“...ฟินน์คิดงั้นหรอ”
“ก็—“ ปากรสไวน์โรเซ่ที่ผมเพิ่งจูบชิมไปหมาดๆเผยอนิด เล่นเอาประสาทผมรวนไปหมด
แค่ไวน์ขวด 250 มิลสองขวดเล็กที่ฟินน์หยิบใส่ตระกร้า ตอนเราแวะซุปเปอร์มาร์เกตขนาดย่อม ก่อนจะล่องเรือข้ามฟากมาที่เกาะ ผมต้องเป็นถึงขนาดนี้
แค่ไวน์ หรือรสชาติ ผิวสัมผัสของริมฝีปากคู่นั้นกันแน่ ที่จับจองพื้นที่ในหัวผมไม่ยอมไปไหน
“แค่คิด” เจ้าตัวหยิบปลาแซลมอนดิบรมควันเข้าปากอีกชิ้น (นั่นก็อร่อยและติดง่ายเป็นบ้า ผมกับฟินน์แทบจะเหมาไปครึ่งกิโลแล้ว) “บอกแล้วว่าผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรพวกนี้เหมือนกัน”
เดือนกว่าๆ กับฟินน์ทำให้ผมพอจะเข้าใจว่า ‘เรื่องอะไรพวกนี้’ ในความหมายของเด็กหนุ่มคือ อะไรก็ตามระหว่างสองคน ที่อธิบาย จับรายละเอียดเป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ อะไรที่ทั้งผมและฟินน์ไม่แน่ใจพอที่จะนิยาม
“รูปน่ะถาวรจะตาย” ฟินน์ว่า ตามองขอบฟ้าตรงหน้า สองมือเท้ากับพื้นหญ้า
ผมเงียบฟัง
นอกจากเราสอง คนอื่นก็ไปปาร์ตี้แถวร้านอาหารในเกาะกันหมด (ได้ยินมาว่ามีคาราโอเกะด้วย แต่ฟินน์คงฆ่าผมตายถ้าเอ่ยปากชวน
แต่ถ้าถามผม ถ้าถามใจผมจริงๆ
ให้ได้ใช้เวลาที่อยู่กับฟินน์เท่าที่มี เท่าที่เขาพอจะให้ผมได้
เวลาที่ผมได้อยู่ในโลกส่วนตัวของคนๆนี้ ได้ฟังเขาบ่นและตั้งคำถามปรัชญาปลายเปิดที่ผมไม่เคยนึกถึง
ใจก็ไม่ได้อยากขออะไรมากไปอีก
เพิ่งซึ้งเรื่องการประสบความรู้สึกในโลกอีกโลกของคนที่คบด้วยก็เพราะฟินน์)
“ตอนนี้อาจไม่มีอะไร” ท้องฟ้ากลายเป็นสีชมพูอมส้ม ขณะพระอาทิตย์ค่อยๆ ลดตัวต่ำลง
อยากจะขอบคุณตัวเองที่ทำทุกวิถีทางจนเป็นส่วนหนึ่งของทริปเกาะสกาย*(อย่างไม่เป็นทางการ)ของโปรแกรมฟินน์
(“รู้นะ จะไปทำอะไรน้อง” ไอ้แบร์เหล่ตามอง ดีดแขนผมดังป้าบ! “มึงเป็นอะไรขึ้นมาเพราะกาแฟร้านนี้ละกูไม่รับผิดชอบนะเว้ย”
ผมกลอกตา หันขวับไปมองฟินน์ แล้วกลับมาชี้หน้าเพื่อนสนิท
“จะไปทำคะแนนเพิ่ม!” ผมตอบ “แ-่ง ใครเค้ารุกเร็วอย่างมึงฟะ--“)
เพราะจะว่าไปแล้ว นี่อาจเป็นวันจันทร์ที่สุขที่สุดในชีวิตผมก็เป็นได้
“พอจบกันไป รูปมันก็เครื่องตอกย้ำดีๆนี่แหละ”
“คิดมาก” ผมพูดทันที ลูบแก้มเขาช้าๆ
เด็กหนุ่มหลับตา
ผมค่อยประทับปากลงแก้มฟินน์ ไล้ลิ้นตามสันกรามอย่างใจเย็น
ขนลุกนิดๆกับเสียงหอบหายใจนั่น
เหมือนหูจะฝาดไปเอง
(“เอ้อ พี่แฮซพ่อพระ” ไอ้แบร์กระเดาะลิ้น “ยังกับมึงไม่คิด”)
ริมฝีปากนุ่มจูบผมตอบกลับอย่างหิวกระหาย ใจที่เหลวไม่เป็นทรงในอกเต้นระรัวราวจะเตือนให้ผมรับรู้ทุกวินาทีที่ผ่าน
มือสองข้างแตะเอวผม
ลิ้นตวัดรัดพันกันโดยไม่สนไอร้อนในหมอกโดปามีนที่ก่อตัวในหัว
ลืมตาขึ้นอีกทีฟินน์ก็คร่อมผมอยู่ แขนเนียนเสียดสีแขนผมพอดีกับใจที่หลุดหายไปไหนก็ไม่รู้ตอนนี้
“ถ้า—“ ผมคว้าตัวฟินน์ลงมาแนบอก อดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจผมไหม “--ถ้าเราจบกัน...”
(“ก็คนป่ะวะ--“ ผมเบ้ปาก “มึงทำมาพูดดี”)
"พี่คงไม่อยากย้อนกลับมา”
กระบวนการคิดคำและสร้างประโยคของผมเริ่มถดถอยเต็มที ยิ่งโดนฟินน์จ้องจากกลางอกผมคงไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่
“แต่ขอให้พี่ได้จำ--”
จูบอีกครั้งที่ริมฝีปาก ไล่ลงมาที่ซอกคอ
“--ว่ามันเคยเกิด”
อยากจะสบถแรงกับเสียงครางนั่น แต่ร่างบางข้างบนขโมยเสียงผมไปหมดแล้ว
“…อย่าเพิ่งคิดอะไรไกลตอนนี้เลย”.
//
อย่าลืมติดแทก #kpfic ติชมน้า
ขอ dedicate บทนี้ ให้น้องดาว @_ddddow ค่ะ :)
*Isle of Skye (เกาะสกาย) ในไฮแลนด์ของสกอตแลนด์ เคยติดอันดับสี่ของเกาะน่าเที่ยวในโลกจาก National Geographic
ที่ๆ แฮซนั่งอยู่กับฟินน์คือบริเวณชมวิวที่เกาะ มองไปเห็นสะพานสกาย (Skye Bridge) ที่เชื่อมแผ่นดินกับเกาะ ตอนนั้นเหมือนนั่งเรือจาก Mallaig ข้ามมาสกาย
พระอาทิตย์เวลาสามทุ่ม ยี่สิบห้า ในหน้าร้อนวันจันทร์
คิดถึงมาก
ถ้าจะพูดตรงๆ ก็ต้องเพลงพี่เอ็ดกัน
ดื้อๆ แต่ตั้งแต่ฟังเพลงนี้ครั้งแรกก็คิดถึงแฮซฟินน์ละ
มาคุย / ทักทายกันได้ที่ทวิตนะคะ <3
ขอบคุณทุกกำลังใจเสมอค่า
x
ข้าวเอง.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in