"พูดอีกทีสิ"
"อะไร"
"คำนั้นอ่ะ"
"พูดไปแล้วไง"
"อยากได้ยินอีก"
"พี่แฮซ"
"ฟินน์"
"....ทำตายังงั้นให้ตายก็ไม่พูด"
ผมไม่รู้อะไรเยอะเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้หรอก
เมื่อเช้าก็เริ่มต้นเหมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง
จะแปลกไปก็ตรงมีพี่ชายผมสีน้ำตาลมารอผมแต่หัววัน
"มึง"
เสียงพี่แบร์รี่ดังขึ้น สาวๆนี่กรี๊ดกันให้วุ่นตอนนักชกประจำมหาลัยก้าวเข้ามาในร้าน
อย่าให้พี่อนายรินคนงามตามมาเลย
แค่นี้ร้านเล็กๆของผมก็แน่นขนัดเกินจะรับไหวแล้ว
พี่แฮซเงยหน้ามองเพื่อนสนิท แขนยังเท้าตำราเล่มหนาที่ผมเดาว่าเป็นวิชาบัญชีบังคับที่เจ้าตัวบ่นถึงบ่อยๆ
"คิดถึงอ่อ มาหาถึงนี่"
หนุ่มตาฟ้าต่อยพี่แฮซตรงไหล่เข้าให้
"ร้านกาแฟหน้าตึกเรียนมั้ย" เสียงกวนหูสำเนียงไอริชตอบ “กูอยากแ--กคาเฟอีน"
ผมหัวเราะ มือยังง่วนผสมคาราเมลมัคคิอาโต้หวานน้อยแก้วกลางสำหรับสาวผมแดงเพลิงตรงหน้า
ช่วยไม่ได้ ก็พี่แฮซมานั่งตรงโต๊ะฝั่งใกล้เคาน์เตอร์เอง
"มึงอะ ไปเดทกะน้องเค้าครั้งเดียวถึงต้องมาเฝ้าเลยเหรอวะ"
พี่แฮซหน้าแดงขึ้นมาทันที ทำมือเป็นสัญญาณให้เพื่อนเบาเสียงลง
นักร้องคณะสถาปัตย์ส่ายหน้ารัว บุ้ยใบ้มาทางผมพร้อมปากขมุบขมิบที่พอจะเดาได้ว่า "กูมาอ่านหนังสือ!"
พี่แบร์รี่หรี่ตามอง เหยียดปากใส่
"มีสมาธิอ่านที่นี่มากกว่าที่หอล่ะสิ"
แก้มพี่แฮซยังแดงสดเหมือนเบบี้มะเขือเทศในเทสโก้
“ก็—มารอรับน้องไปทานข้าวเย็น...”
พี่แฮซจ้องผมตาแป๋วจากอีกฝั่งของโต๊ะกลมเล็ก
ร้านอาหารชั้นล่างของโรงแรมสามดาวกลางโซโหคึกคักค่ำวันศุกร์ หรี่ไฟสลัว จนยากจะเห็นม่านแดงรอบห้อง จะมีแต่แสงสว่างจากตะเกียงของแต่ละโต๊ะที่เบนจุดโฟกัสแรกของสายตาที่ชินกับความมืดมาที่ตาคนตรงหน้า
“มองผมทำไม”
พนักงานเสริฟ์ก็รับใบเมนูของผมกับพี่แฮซไปแล้ว เจ้าตัวสั่งสเต็กปลาแซลมอนกับเฟรช์ฟราย ส่วนผมขอเบอร์เกอร์โง่ๆกับสลัด
เราสั่งเบียร์เยอรมันขวดกลางมาแบ่งกัน
คู่เดทผมทำเสียงกระแอมเกินจำเป็น เอานิ้วสะกิดช่อดอกไม้เล็กๆข้างแขนผม
“...ขอบคุณพี่แล้วนี่”
พี่แฮซถอนใจ เอื้อมมือมาคว้ามือขวาผม
ผมเคยไม่เชื่อในเพลงรัก
ที่ว่าจะมีคนๆเดียวที่เป็นข้อยกเว้น เป็นคนที่ใจยอมให้เสมอไม่ว่ากรณีใด ไม่ว่าความรู้สึกหรืออดีต ปัจจุบัน เวลาเล่นกลกับหัวใจและความคิดเราอย่างไร
เหมือนเส้นหัวใจวิ่งเป็นกราฟพอลซอง* ติดกับในสถานะมาร์คอฟที่ไร้ความทรงจำ**
วกกลับมาเริ่มนับอายุความสัมพันธ์ใหม่จากถ้อยคำและสัมผัสเขา
ผมเคยไม่เชื่อในเพลงรัก
แต่ผมปล่อยให้มืออยู่ในสัมผัสของพี่แฮซอย่างง่ายดาย
“ชอบเปล่าละ” พี่แฮซถาม
ผมยกเบียร์ขึ้นจิบ
เกราะป้องกันหัวใจคืออะไร ถ้าใจผมอ่อนไปกับคนๆเดียวทุกครั้ง
ก็คงเป็นคนใจแข็งแค่ในหัวตัวเองละมั้ง
“กุหลาบขาว” ผมแตะกลีบดอกไม้ “กับสีลาเวนเดอร์”
อยากจะบอกตัวเองว่าพอ
อยากจะวิ่งหนีไปดื้อๆ
ทั้งที่เคยคิดว่าอาจลอง
แต่กลับกลัวเหมือนหัวใจกำลังถลำไปในที่ๆไม่รู้จัก
อยากจะหยุดปากตัวเอง กลืนคำที่กำลังจะพูด
หากหัวใจยืนยันจะบ้าบอทั้งที่รู้ดี
“พี่กำลังบอกอะไรผมรึเปล่า”
กุหลาบขาวหมายถึงการเริ่มต้น
กุหลาบลาเวนเดอร์คือรักแรกพบ
เราสองคนรู้ดีว่าผมถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
(แน่สิ พี่แฮซก็รู้จักผมดีเกินกว่าคนรอบตัวพอถึงจุดนี้)
“คบกับพี่นะ”
พี่แฮซกลืนน้ำลาย เสยผมแบบที่ชอบทำเวลาประหม่า
“ไม่ต้อง--เอ่อ... ไม่ต้องตกลงอะไรกันตอนนี้” พี่แฮซทำตาโตตรงหน้าผม “ไม่ต้อง... ระบุสถานะอะไรแต่--“
ผมยังไม่ปล่อยมือพี่แฮซไป
“ฟินน์.... คุยกับพี่คนเดียวได้ไหม--” หนุ่มผมสีน้ำตาลดื่มเบียร์เข้าอึกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ ปล่อยผมนิ่งฟัง
ยากจะละสายตาจากตาสีเขียวอ่อนคู่นั้นเหลือเกิน
(ประกายความมุ่งมั่นนั่นทำคนตรงหน้าดูหล่อขึ้นมาชอบกล)
“—ดูๆกันไปก่อน... ให้เวลาพี่” นิ้วพี่แฮซลูบหลังมือผมแผ่วเบา “พี่รู้ว่าเราต้องการเวลา”
ผมยิ้ม
แล้วเมินเสียงเตือนในหัว
ทุกการตัดสินใจมีความเสี่ยง
และในการยอมให้คนๆหนึ่งกลายเป็นข้อยกเว้นต่อกฎอื่นในชีวิต คือการเสาะหาความเสี่ยงอย่างที่คนหวงขอบเขตความปลอดภัยและแน่นอนอย่างผมไม่เคยกล้าทำ***
“ได้สิ”
เสียงผมกลับฟังดูแปร่งหู คล้ายออกจากปากคนแปลกหน้า
“ผมจะคบกับพี่."
//
อย่าลืมติดแทก #kpfic ติชมน้า
เริ่มเขียนตอนนี้ด้วยเพลงนี้
แล้วกลับจบด้วยอารมณ์นี้เฉย
เหมือนเส้นหัวใจวิ่งเป็นกราฟพอลซอง* ติดกับในสถานะมาร์คอฟที่ไร้ความทรงจำ**
เรียนกี่ที ก็อยากใช้คอนเช็ปต์นี้ในฟิคทุกที (เป็นสองคอนเซ็ปท์ที่เด็กโปรแกรมเราหนีไม่พ้น) แต่ไม่เคยได้ใช้
ใครจะคิดว่ามาลงตัวกับแฮซฟินน์ได้ (คือความบ้าของคนเขียนเอง) ยังไงก็คิดว่าตรงนี้เจ๋งมาก เป็นเลขที่เอามาผสานกับจิตวิทยาแล้วอธิบายความคิดในชีวิตจริงได้อีก
(ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าฟินน์เรียนคณะอะไร แต่ถึงตรงนี้ละแอบอยากให้เป็นเด็กวิดวะเหมือนตัวเอง--)
*พอลซอง - มาจาก Poisson Distribution (ในการเรียนสถิติและความน่าจะเป็น/Statistics and Probability นั่นแหละ) - ในที่นี้ใช้คุณสมบัติ 'ไร้ความทรงจำ' (Memoryless property) คือความน่าจะเป็นของเหตุการณ์หลังจากบวกเวลาไปแล้ว โดยคำนึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้า กลับเท่ากันแค่ความน่าจะเป็นของเวลาที่บวกไป ง่ายๆคืออดีตไม่มีผลต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน
ตัวอย่างในห้องเรียนและแบบฝึกหัดมักเป็นอายุขัยของเครื่องจักรหรือหลอดไฟ ประมาณว่าความน่าจะเป็นที่หลอดไฟที่จะมีอายุมากกว่า 15 ปี โดยที่ใช้มาแล้ว 10 ปี เท่ากับความน่าจะเป็นของชีวิตหลอดไฟที่จะใช้มากกว่า 5 ปี**สถานะมาร์คอฟ หรือ Markov State เป็นสถานะใน Markov Process - กระบวนการของระบบที่มีสถานะ discrete เปลี่ยนแปลงตามเวลา (Stochastic Process) โดยสถานะจะมีคุณสมบัติ (Markov property) ที่ว่าสถานะในอนาคตของสถานะปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอดีต แต่ขึ้นอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
คร่าวๆ ตอนเรียนคือจำว่า ที่ๆ เคยผ่านมาไม่สำคัญ ที่ๆจะไปหลังจากนี้ คือคำนวณจากปัจจุบัน ("How you got here doesn't matter. What matters is where you are.")
เป็นคำอ้อมๆ ของเด็กเนิร์ดที่อยากบอกว่า หัวใจบ้าบอของฉันมันแคร์แต่เรื่องปัจจุบันทุกทีที่คุยกับเธอ ทำเป็นลืมอดีตที่เคยรู้สึกเองไปหมดแล้ว
***และในการยอมให้คนๆหนึ่งกลายเป็นข้อยกเว้นต่อกฎอื่นในชีวิต คือการเสาะหาความเสี่ยงอย่างที่คนหวงขอบเขตความปลอดภัยและแน่นอนอย่างผมไม่เคยกล้าทำ
ตามทฤษฎีแล้ว (จากวิชาการตัดสินใจในความเสี่ยง - Decision Making Under Uncertainty) ธรรมชาติของคนกับความเสี่ยงมีอยู่ 3 ประเภท:
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in