พริมอยากเลิกกับลาคแลน แต่สถานการณ์ที่ต้องติดอยู่กลางหุบเขาที่เดินทางไปไหนเองไม่ได้เลยทำให้ความคิดที่จะบอกเลิกต้องหยุดไว้ก่อน ยิ่งคิดเรื่องครอบครัวของเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอไม่มีวันเข้ากับพวกเขาได้สักนิด ช่วงเวลาที่อยู่ในหุบเขารังกิตาตาพริมรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติยิ่งกว่าครอบครัวของแฟน ตัวลาคแลนเองก็ไม่สนใจเธอจนพริมสงสัยว่าที่ผ่านมาพวกเขาคบกันมาเป็นปีได้อย่างไร ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสั้นๆ พวกเขาแทบไม่ได้คุยกัน นับๆ ดูแล้ว พริมคุยกับผีสางมากกว่าเขาเสียอีก ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมไปถึงคำเตือนจากคิริและชาลีเรื่องที่ว่าพวกเขาไว้ใจไม่ได้ แต่เพื่อความราบรื่น พริมคิดว่าเธอคงบอกเลิกลาคแลนเมื่อกลับไปยังโอ๊คแลนด์แล้ว
ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ทุกคนกำลังทำอาหารเย็น พริมรู้สึกเหมือนไม่มีที่สำหรับเธอในห้องครัวอีกเช่นเคย พื้นที่ในครัวไม่ได้กว้างพอสำหรับคน 4 คนจะเดินไปเดินมาก็ส่วนหนึ่ง แต่พริมรู้สึกเหมือนกับว่าห้องครัวเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของแมรี่ที่จะอนุญาตให้คนอื่นเข้ามาใช้ได้ต่อเมื่อเธอเต็มใจ และพริมรู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะไปทำให้ครัวของแมรี่แปดเปื้อนอย่างไม่มีเหตุผล
อาหารวันนี้เป็นสปาเกตตี้โบโลญเนสเนื้อกวางอีกแล้ว พริมไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะต้องกินเมนูนี้ไปเรื่อยๆ จนครบทุกส่วนของชาลีเลยหรืออย่างไร ไม่มีวิธีปรุงแต่งเนื้อกวางที่ดีกว่าซอสโบโลญเนสแล้วหรือ พริมไม่กล้าถามเจคซึ่งเป็นคนทำหน้าที่แล่เนื้อว่าทุกวันนี้พวกเขากินชาลีไปเยอะแค่ไหนแล้ว พริมคิดสงสัยไปถึงหัวกวางในห้องเย็นว่ามันยังอยู่ดีอยู่ไหม ถูกนำไปสตัฟฟ์แล้วขายไปให้เศรษฐีแถวนี้หรือยัง
บนโต๊ะอาหารเจคกับแมรี่กำลังพูดถึงการไปตั้งแคมป์เดินป่าบนเขา เหมือนกับว่าลูกค้ารายใหม่ต้องการเดินเท้าในป่าเพื่อล่าสัตว์ และตั้งเตนท์พร้อมกับทำอาหารบนดินกินกลางทรายท่ามกลางทุ่งหญ้าบนหุบเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสามารถนั่งรถไปแล้วกลับมาที่พักที่มีอำนวยความสะดวกพร้อมก็ตาม แต่ลูกค้ายืนยันว่าเขาต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติระหว่างล่าสัตว์
“พริมจะไปกับพวกเราด้วยไหม มันอาจจะลำบากหน่อย แต่เราคิดว่าการปล่อยเธอไว้ที่บ้านคนเดียวไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่” แมรี่ถาม
“แล้วลาคแลนล่ะ” พริมหันไปถามเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ฉันเอ่อ อยากไปน่ะ ไม่ได้ไปตั้งแคมป์ที่ไหนมานานแล้ว” ลาคแลนตอบเสียงอ่อย เขาไม่อยากบังคับให้พริมต้องไปด้วย แต่ก็ไม่อยากพลาดการไปตัั้งแคมป์ในหุบเขารังกิตาตา
“ฉันไปก็ได้นะ ไม่ได้รังเกียจการตั้งแคมป์อะไร กลัวแต่ว่าฉันจะเป็นตัวถ่วงที่ทำให้ทริปของทุกคนช้าลงมากกว่า ร่างกายของฉันไม่ได้ฟิตขนาดจะเดินได้ทั้งวัน” พริมตอบ คิดซะว่าทดลองเป็นฮอบบิทไปมอร์ดอร์
“ไม่เป็นไรหรอก เราจะมีจุดพักสำหรับตั้งแคมป์ที่ไม่ห่างกันมาก แล้วระหว่างวันที่ลูกค้าของเราไปล่าสัตว์เธอก็พักอยู่บริเวณแคมป์แล้วเดินเล่นอยู่บริเวณนั้นก็ได้ น่าจะไปสัก 2 คืน 3 วันน่ะ”
“ลูกค้าคนนี้ชื่อสตีฟ เป็นคนอเมริกันน่ะ ไม่น่าแปลกใจที่จะขออะไรแปลกๆ แบบนี้” แมรี่พูดอย่างเซ็งๆ
พริมกำลังเคี้ยวเนื้อกวางอย่างฝืดเคือง ระหว่างกินก็นึกถึงภาพชาลีทั้งร่างคนและร่างกวาง รสชาติของโบโลญเนสขมปร่าชวนให้นึกถึงความแค้นที่เธอได้สัมผัส
“เนื้อกวางน่ะนุ่มมากเลย เธอรู้สึกไหม พริม” ลาคแลนถามเธอ
“เอ่อ ก็โอเคนะ ฉันไม่แน่ใจว่าเนื้อกวางควรรสชาติเป็นแบบไหน ไม่ได้มีโอกาสทานบ่อยขนาดนั้น ตั้งแต่มาที่นี่ฉันน่าจะได้กินเนื้อกวางเยอะกว่าที่เหลือทั้งชีวิตรวมกัน” พริมตอบอย่างลังเล รสชาติของความแค้นยังติดอยู่ที่โคนลิ้น
“ปกติแล้วน่ะ สัตว์ที่ถูกล่ามาอย่างสมบูรณ์แบบมักจะเนื้อนิ่มมาก เพราะพวกมันถูกยิงโดยไม่รู้ตัว กระสุนนัดเดียวตัดขั้วหัวใจ พวกมันตายก่อนที่จะรู้ตัวว่าโดนยิงเสียอีก เมื่อพวกมันไม่เครียด เนื้อที่เรากินจึงนุ่มมาก” ลาคแลนเล่าด้วยความชื่นชมกับศิลปะแห่งการล่าสัตว์
“อ๋อ อย่างนั้นเองหรือ” พริมอือออตามน้ำไป ไม่กล้าเล่าเบื้องหลังว่าเจ้ากวางแค้นหนักจนเผลอทำแซมหัวใจวายตาย
วันถัดมาพวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ เตรียมตัวและสัมภาระพร้อมสำหรับการตั้งแคมป์ ทุกคนในครอบครัวไปด้วยกันหมด ถือซะว่าเป็นงานที่ได้พักผ่อนไปในตัว มีเตนท์สำหรับ 2 คนจำนวน 3 หลัง อุปกรณ์เดินป่าอีกมากมาย เมื่อพริมเห็นขนาดของสัมภาระที่แต่ละคนต้องถือก็รู้สึกท้อขึ้นมาว่าเธอจะขนทั้งหมดนี่ยังไงไหว เดินป่าอาจไม่เหนื่อยเท่าแบกของ
สตีฟมารออยู่แล้ว ท่าทางเขาดูเป็นมิตรมากกว่าแซม เขาเป็นชายวัยกลางคน ผมสีดอกเลา ผิวสีแทนแต่โครงหน้าบ่งบอกว่าเป็นเชื้อชาติยุโรป ดูจากการแต่งตัวและอุปกรณ์ที่เขาใช้เพื่อเดินป่าแล้วน่าจะมีเงินล้นเหลือ แน่นอนว่าเจคคงได้เงินจำนวนมากจากทริปนี้ ระหว่างที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการจัดของให้เข้าที่เข้าทาง แอนนาโผล่มาทักทายพริมก่อนไป
“ฉันล่ะสงสารเธอจริงๆ” แอนนาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าอ่อนใจ
“ฉันก็สงสารตัวเองเหมือนกัน” พริมตอบอย่างปลงๆ
“บนนั้นน่ะ โหดร้ายกว่าข้างล่างนะ” เสียงของแอนนาจริงจัง ไม่ขำคิกคักเหมือนตอนวันแอนแซค
“โหดร้ายในแง่ไหนหรอ” พริมถามอย่างไม่แน่ใจ
“ผีสางนางไม้บนนั้นน่ะ เต็มไปด้วยความแค้นแบบชาลี แต่พลังวิญญาณมากกว่าพวกเรานัก เพราะอยู่มาตั้งแต่จุดเริ่มต้นและล่มสลายของระบบนิเวศในเซ็นทรัลโอทาโก้”
“ล่มสลาย???” พริมตกใจกับข้อมูลใหม่
“แต่ก่อนที่แห่งนี้ไม่ได้แห้งแล้งและมีแค่ทุ่งหญ้ากับฝุ่นทราย แต่เอาเถอะ เดี๋ยวขึ้นไปบนนั้นเธอก็จะรู้เอง ฉันแค่มาบอกให้เธอเตรียมใจ เราไม่มีเวลามากพอ และที่สำคัญ อย่าไว้ใจใครนะ”
เหมือนกับว่าผีสางนางไม้เหล่านี้จะเริ่มมีเยื่อใยกับพริมขึ้นมา แต่ละคนดูเป็นห่วงเธอในเรื่องที่บอกไม่ได้ ไหนจะเรื่องการล่มสลายของระบบนิเวศและความแค้นมากมายบนนั้นอีก พริมเริ่มรู้สึกว่าอยู่บ้านคนเดียวและมีผีแวะมาเฝ้าอาจจะสบายใจกว่า แต่เหมือนลาคแลนและครอบครัวก็ดูไม่ได้อยากปล่อยเธอไว้ที่บ้านคนเดียว บอกไม่ได้ว่าห่วงเธอหรือห่วงบ้านมากกว่ากัน
พวกเขาเริ่มออกเดินทางเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ทิวเขาในแสงแดดยามเช้าสวยจนพริมเกือบจะลืมเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดนี่ เจ้าแคชวิ่งลิ้นห้อยอยู่ข้างๆ พริม ถ้าให้นับกันจริงๆ แล้ว เจ้าแคชน่าจะเป็นมิตรกับเธอมากที่สุดในบรรดาคนในครอบครัวลาคแลน อากาศยามเช้าเย็นสบาย เมื่อแบกสัมภาระมากมายและออกเดินร่างกายจึงอบอุ่นขึ้นมา พริมรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นการพักผ่อนที่แท้จริงเสียทีตั้งแต่เธอมาเยือนหุบเขาแห่งนี้
“อย่าพึ่งดีใจไป” เสียงของชาลีดังขึ้นในหูพริม
วิญญาณของเจ้ากวางเดินอยู่ข้างๆ เธอ สภาพของมันดูดีขึ้นมาก แทบจะเหมือนกับกวางตัวเป็นๆ เลยทีเดียว
“นายดูดีขึ้นนะ แล้วทำไมฉันไม่ต้องสัมผัสนายหรือฝันเพื่อสื่อสารแล้วล่ะ” พริมถามขึ้นมาในใจ
“อิมมิเกรชันมีตา มองเห็นถึงประโยชน์ของพวกเรา ในที่สุดพวกเขาก็เลื่อนขั้นให้ฉันมี essential work visa อย่างน้อยพวกเราก็ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศนิวซีแลนด์โดยการดึงดูดเศรษฐีแบบสตีฟเข้ามาผลาญเงินเพื่อล่าเราน่ะสิ เป็นบุญของฉันที่ทุนนิยมอยู่ข้างเรา ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต”
พริมไม่รู้ว่าจะตอบชาลีอย่างไร ครอบครัวลาคแลนเริ่มเดินทิ้งห่างเธอไกลออกไป พริมที่มัวแต่คุยกับชาลีจนเผลอเดินอ้อยอิ่งจึงรีบจ้ำตามทุกคนไปอย่างเหนื่อยหอบ ยังอีกไกลกว่าจะถึงจุดพักสำหรับตั้งแคมป์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in