เสียงเพลงที่ไม่มีคำร้องมีเพียงแต่ท่อนทำนองดังขึ้นมาจนจบสามนาทีกว่าของมันแล้ววนกลับไปมาอยู่อย่างนั้น นานเท่าไหร่ไม่รู้เขาก็จำไม่ได้
ในมือเขามีกระดาษแผ่นใหม่เอี่ยมที่ยังไม่ถูกแม้แต่ขีดเขียน
เพื่อนที่มักอยู่ด้วยกันในสตูดิโอตอนนี้ก็กลับบ้านไปแล้ว ตั้งแต่มีลูกมีเมียอย่าหวังว่าจะเรียกใช้อีกคนดึกๆได้อีกต่อไป
พูดไปก็รู้สึกทั้งอิจฉาและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน
จุนฮยองหันไปมองเวลาที่ผ่านมาเกือบห้าชั่วโมงแล้วแต่เขายังไม่ได้อะไรเลย
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้เขาแปลกใจก่อนที่ใบหน้าที่เขายอมรับว่าต้องการที่สุดในตอนนี้จะโผล่มา
“ยังไม่กลับอีกหรอ” จุนฮยองไม่ตอบแต่กวักมือเรียกอีกคนมห้เข้ามาพลางตบหน้าขาของตัวเอง
“ถ้ามันหักทำไง”
“ซื้อใหม่ดิรวย” กีกวังเผลอเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็นั่งลงบนตักอีกคนอยู่ดี เอนตัวให้หลังตัวเองสัมผัสกับหน้าอกอีกคนก่อนจะหลับตาพริ้มฟังทำนองเพลงที่ผ่านไป
“คิดไม่ออกอ่ะ” เสียงทุ้มดังข้างหูปลุกให้กีกวังตื่นจากภวังค์ก่อนจะมองหน้าคนที่ตีหน้ายุ่งใส่
“ก็อย่าเพิ่งคิดดิ ปะ” จู่ๆกีกวังก็ลุกขึ้นยังไม่พอดึงแขนให้คนที่นั่งจมเก้าอี้ให้ลุกตามไปด้วย
“ไปไหน”
“ไปหาแรงบันดาลใจ”
“แล้วเป็นไงงานไนกี้” รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นเมื่อพูดถึงเรื่องที่เจ้าตัวชอบ คำบรรยายถึงรองเท้าราวกับหญิงที่รักมันทำให้เขาหมั่นไส้เหลือเกิน
“ได้มากี่คู่”
“คู่เดียวอ่ะ ดูจุนให้ซื้อคู่เดียว” พูดไปก็แค้นใจเขาอุตส่าห์จะสอยซักสองคู่แต่โดนคนที่ไปด้วยบ่นว่าเขารองเท้าเยอะมากแล้วซื้อไปก็วางไว้ให้ยางมันพังป่าวๆ เขาเลยได้กลับมาแค่คู่เดียวแบบนี้
ลมเย็นๆในฤดูหนาวค่อยๆพาผ่านพวกเขาสองคนไป ไม่มีคำพูดประโยคอะไรต่อจากนั้น ตาของคนสองคนกำลังทอดมองไปยังแม่น้ำตรงหน้า
“นี่” กีกวังพูดขึ้นก่อนจะดึงมืออีกคนมาจับไว้ ส่งยิ้มแบบที่เขายอมรับเลยว่ามันฮีลใจเขาได้จริงๆ
“ค่อยๆทำไปนะ อย่าเครียด”
“อื้มรู้แล้ว”
“ยงจุนฮยองอ่ะเก่งอยู่แล้ว เนอะ” จุนฮยองยีผมอีกคนก่อนจะส่งยิ้มให้เช่นกัน ในวันไหนที่เขาท้อแท้สิ้นหวังเขาขอบคุณความคิดบวกของอีกคนที่ทำให้เขารู้สึกมีความหวังทุกครั้ง
ถ้าสิ่งเดียวที่เขาให้เขาได้
ก็แค่หวังว่าไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ขอมีอีกีกวังอยู่ข้างตลอดไปก็พอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in