Day 21 : กำแพงสังกะสี (อย่าดึงประตู) | #Novelber
Author : Sean
Pairing : Colin Firth x Hugh Grant
ป.ล.ธีมแหวกมาแนวลูกทุ่งนะคะ (แถมภาษาอีสานแปร่งๆมาด้วย) โดยไรท์แปลงชื่อตัวละครนิดหน่อยให้เข้ากับความบ้านนานะ ฟฟฟฟฟ
หาเพลงลูกทุ่งที่เข้ากันไม่เจอ งั้นเอาเพลงเพื่อชีวิตไปแทนละกัน
จิ้ม~ แค่นั้น - ปู พงษ์สิทธิ์
--- ---
“บักคิน!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายดังอยู่แถวใต้ถุนเรือน – ผมมีนามว่า ‘คิน’ เป็นสัตวแพทย์ประจำตำบลนี้
“บักหมอหมา! หัวฟาดพื้นห้องน้ำตายไปแล้วหรือไงวะ” เสียงเหยียบหญ้าดังสวบๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ – ผมจำได้ว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของ ‘ฮิวโก้’ ลูกเจ้าของไร่ที่ผมสนิทด้วย เขาไหว้วานให้ผมมาช่วยดูแลโคนมท้องแก่ที่ใกล้คลอด
“เฮ้ย! เดี๋ยว! อย่าเพิ่งเข้ามา มีคนอยู่!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อฮิวโก้ดึงประตูสังกะสีจนกลอนแทบจะขาดออกจากตัวยึด จริงๆแล้วผมก็อาศัยเอาเศษผ้าผูกตัวล็อคไว้กับตะปูแทน แต่เพื่อความปลอดภัยสองชั้นผมเลยล็อคกลอนด้วย (ซึ่งไม่เคยช่วยอะไรเลย)
ห้องน้ำที่นี่ค่อนข้างเก่าแก่ กำแพงสังกะสีก็เป็นรูโจงโปงแจงแปงมากมาย (แปลว่า รูกว้าง) แสงตะวันส่องมาทียังกะไฟดิสโก้ในร้านสาวน้อยคาเฟ่
“แม่ร่วง!” หลังได้ยินเสียงอุทานของเขาก็มีเสียงดังโครมตามมา – ซวยแล้ว..
ผมโยนขันตักน้ำลงในตุ่มแล้วรีบหยิบผ้าขาวม้าที่พาดอยู่บนคานของห้องน้ำมาพันรอบเอวเพื่อปิดส่วนล่างของตัวเอง
“ฮิวโก้! เป็นอะไรไหม” ยิ่งผมรีบเท่าไหร่มือของผมก็ยิ่งสั่นเท่านั้น – ผมแกะเศษผ้าที่ผูกกลอนไว้ออกอย่างเร่งรีบเพื่อออกไปดูอาการของอีกคนที่อยู่ข้างนอกนั่น ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
“โอ้ย! บักผีบ้า” ฮิวโก้ลูบก้นตัวเองป้อยๆ – ผมเห็นว่าตรงนั้นมีตะไคร่น้ำสีเขียวๆเกาะอยู่เต็มพื้น ผมยื่นมือให้เขาแต่ถูกเขาปัดมือผมทิ้งจนปลิว
“ก็รู้ว่าฉันเรียก ทำไมเอ็งไม่ขานรับ?!” ทันทีที่ลุกขึ้นยืนได้ก็เริ่มโวยวาย
“ว้อย! แล้วนายรอให้ฉันขานรับไหมเล่า - ก็บอกแล้วไปไงว่าอาบน้ำก่อน เดี๋ยวตามไป” ผมโวยกลับไปบ้าง
“อาบบ้าอาบบออะไรนานขนาดนี้ สำลีจะคลอดแล้วโว้ย!” เขาขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงเพื่อระบายอารมณ์ ก่อนจะมองผมด้วยสายตาอาฆาต “ถ้าสำลีของฉันตาย เอ็งจองหลุมตัวเองได้เลย” เขาชี้หน้าผม – สำลีที่เขาหมายถึงคือแม่โคนมสาวที่ท้องแก่จวนคลอด
“ปัดโธ่! ถุงน้ำคล่ำยังไม่โผล่ออกมาเลยโว้ย! ฉันขอเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดหน่อยไม่ได้หรือไง ไอ้แจ็คมันก็มาแล้วไม่ใช่เรอะ” ผมเสยเส้นผมเปียกๆที่ตกลงมาปิดหน้า – ไอ้แจ็ค คือเพื่อนของผมที่ผมชวนมันมาช่วยทำคลอดสำลี
“ถุงน้ำคล่ำมันโผล่แล้ว! จะแจ็คจะเจิ้กที่ไหนก็ช่างหัวมัน พ่อฉันเรียกนายไปดูสำลีโว้ย! ไอ้ลูกคนโปรด..” เขางึมงำประโยคสุดท้ายที่เผลอด่าผม – จริงๆผมไม่ใช่พี่น้องของเขาหรอก แต่ผมเป็นคนสนิทของพ่อเขา ผมมักจะถูกพ่อเขาชมต่อหน้าเขาบ่อยๆ หรือไม่เขาก็ถูกพ่อของเขาด่าต่อหน้าผมบ่อยๆ นั่นทำให้เขาค่อนข้างหมั่นไส้ผม
คิดว่างั้นนะ
“เออ! ขอนุ่งผ้าก่อนได้ไหมเล่า!?” ผมขมวดคิ้ว “หรือจะให้เดินไปแบบนี้เลย เอาไหม” ไม่พูดเปล่า ผมแกล้งกำปมผ้าขาวม้าที่มัดอยู่ตรงสะดือ
“ไอ้โรคจิต! ไปใส่เสื้อผ้าไป๊!” ว่าแล้วเขาก็เดินปัดตูดไป ทิ้งไว้ให้ผมยืนมองตามเขาอยู่อย่างนั้น แต่เดี๋ยวนะ
“เห้ย ฮิวโก้” ผมตะโกนเรียก เมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่แขนของเขา
“อะไรอีกเล่า” เขาหันขวับมาแทบจะทันที
“ปลิงเกาะแขนเรอะ” ผมแก้ปมผ้าขาวม้าแล้วมัดใหม่ให้มันแน่นขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาเขา
“ไหน? อยู่ไหน? อย่ามาล้อเล่นนะไอ้บ้า! ฉันเอานายตายจริงๆนะเว้ย” เขารีบหันแขนตัวเองดู แต่เผอิญว่าตรงนั้นมันค่อนข้างมืดและเต็มไปด้วยดอกหญ้าที่สูงเกือบจะถึงครึ่งตัว
ผมเดินเข้าไปหาฮิวโก้แล้วจับแขนของเขาพลิกขึ้น
“ปลิงบ้านนายเหรออยู่แถวนี้ มันอยู่บนหลังควายโน่น” เขาโวยวายทั้งๆที่ยังไม่ได้มองแขนตัวเองที่ผมพลิกให้ดู
“เออ ไม่ใช่ปลิง” ผมเอานิ้วแตะๆดู “แต่แขนนายบาด” (แปล เป็นแผล)
“ห้ะ?” เขาร้องเสียงหลง เหมือนรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันตา – เขาหันมาโวยวายใส่ผมอีกครั้งแล้วเอามือกุมศอกตัวเอง “ไอ้บ้า นายทำแขนฉันเป็นแผล!”
“แผลเท่าขี้แมว อย่าเว่อร์ขนาดนั้น” ผมปล่อยแขนเขาแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“หน็อย! ไอ้หมอหมา! นายไม่คิดจะทำอะไรเลยเหรอ ห้ะ!?” เขากระทืบเท้าปึงปังเดินตามหลังผม ยกมือหมายจะตบหัวผมเหมือนครั้งก่อนๆ
“ไม่อยากตายก็อยู่นิ่งๆแล้วไปนั่งรอที่ตะแคร่ไป๊” ผมหมายถึงแคร่ไม้ไผ่ที่อยู่ใต้ถุนบ้านพักของผม
“ให้ไวเลยนะเว้ย!” เขาเดินเข้าไปนั่งรอผมที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้านแต่โดยดี ไม่วายบ่นงุบงิบไปตลอดทาง – เขาชอบโทษผมเสมอเวลาตัวเองซุ่มซ่ามแล้วได้แผล แต่ก็ให้ผมทำแผลให้ตลอด
ผมกำลังเดินขึ้นบนบ้านเพื่อหาเสื้อผ้าใส่ก่อน แล้วคิดว่าค่อยหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่อยู่บนชั้นวางของลงมาด้วย – จริงๆแล้วของพวกนี้ผมแทบจะไม่ได้ใช้กับใครเลยนะ จะใช้ก็แค่กับจอมหาเรื่องที่นั่งอยู่ด้านล่างนั่นแหละ ก่อเรื่องเอง เจ็บเอง แต่ผมดันเป็นคนผิดเองซะงั้น ดีจริงๆ
“อ้อยอิ่งอยู่นั่นแหละ ทำอะไรให้เร็วๆกว่านี้มันจะตายหรือไง” ทันทีที่เสียงเท้าของผมแตะถึงพื้นไม้ เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาถึงชั้นสอง
“..ไอ้บ้า คนนะไม่ใช่ลิง อะไรจะไปเร็วปานนั้น - - ติดเชื้อตายแหน่แม้..” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ หากคิดต่อปากต่อคำกับเขามันจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากๆ เพราะเขาไม่เคยยอมใครเลยนอกจากพ่อของเขา
“ฉันรู้นะว่านายแอบด่าฉันในใจ นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันเป็นแผลอยู่ ฉันฆ่านายแน่” เขายังตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่อย่างนั้น
ปากเก่ง..
ผมสวมเพียงแค่เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงวอร์ม และหิ้วกล่องปฐมพยาบาลลงมาด้านล่าง – ผมเหลือบเห็นเขายืนกอดอกจ้องมองผมอยู่ตรงแคร่ไม้ไผ่ขณะที่ผมกำลังลงจากบันได
“โวยวายจะเป็นจะตายอยู่ได้ หนวกหูโว้ย” ผมบ่นดังๆให้เขาได้ยิน
“ถ้าฉันตายนะ ฉันจะมาหลอกเอ็งทุกคืนเลยคอยดู” เขากระแทกก้นลงนั่งกับแคร่ไม้ไผ่
“เออ ก็ลองตายดูสิ” ผมเดินอ้อมไปนั่งข้างๆเขาแล้ววางกล่องปฐมพยาบาลลงแรงๆแบบประชดประชัน
“นี่ นายแช่งฉันเหรอ ไอ้หมอหมา!” เขาฟาดฝ่ามือลงบนแขนของผม
เห็นไหม..ผมบอกแล้วว่าเขาเป็นจอมหาเรื่อง
“เจ็บนะโว้ย ฉันจะไม่ทำแผลให้นายแล้วนะฮิวโก้” ผมลูบแขนตัวเอง “ตอนเด็กๆมีคนเอาเขียดตีปากนายหรือไง ห้ะ ทำไมพูดมากแบบนี้”
“บักหมอ! เอ็งว่าฉันเรอะ” เขาเงื้อแขนขึ้นหมายจะตีผมอีกครั้ง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ผมชี้หน้าเขา “ลืมไปแล้วหรือไงว่าต้องไปดูสำลีต่อ”
“เออ ฝากไว้ก่อนเถอะ” เมื่อผมพูดถึงสำลี นั่นจะทำให้ฮิวโก้เงียบลงโดยอัตโนมัติ – เสมือนว่าเป็นจุดอ่อนของเขา
“ทำไมต้องทำให้บรรยากาศมันแย่ลงทุกทีเลย” ผมเปิดขวดแอลกอฮอล์แล้วใช้สำลีชุบน้ำในขวด เช็ดรอบบาดแผลของเขา
“เพราะฉันไม่ชอบหน้านายไง” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติซึ่งต่างกับทุกครั้งที่มักจะเสียงดังตลอด
“ฉันไปทำอะไรให้ ทำไมต้องไม่ชอบฉันด้วย” ผมถามและวางก้อนสำลีที่เช็ดแผลลง ผมหยิบขวดยาเหลือง (เบตาดีน) ขึ้นมาแล้วใช้สำลีชุบน้ำเช็ดแผลให้เขาอีกครั้ง
“เพราะพ่อฉันปลื้มเอ็งไง แล้วเอ็งมันก็ชอบอวดฉลาด หึฟ์”
ผมเม้มปากแน่นแล้วแกล้งกดสำลีลงข้างๆแผล
“โอ้ย! เล่นบ้าเล่นบออะไรของเอ็งเนี่ย ไอ้บ้า” เขาดึงแขนตัวเองกลับทันที พร้อมกับขึงตาใส่ผม
“คันแข่ว” (แปล หมั่นไส้) ผมโยนสำลีที่อยู่ในมือลงบนแคร่ไม้ไผ่แล้วหยิบผ้าก็อตในกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมา “จะติดไหม ผ้าก็อต”
“ไม่”
“เออ ไม่ติดก็ไม่ต้องติด” ผมเก็บมันไว้ที่เดิม แล้วปิดกล่องปฐมพยาบาล
“ติดโว้ยติด!” เขาตะเบ็งเสียงใส่หูผม
“เรื่องมาก” ผมพึมพำเบาๆแล้วเปิดกล่องนั่นอีกครั้งเพื่อหยิบผ้าก็อตมาติดให้กับฮิวโก้
“ว่าไงนะ” เขาขึงตาใส่ผมอีกรอบแล้วดึงคอเสื้อผมเข้าไปใกล้ๆ
“…..” แต่ผมเลือกที่จะเงียบใส่แล้วมองหน้าเขาแทน
“เงียบทำมะเขืออะไร! ตอบมา!” ถึงแม้หน้าผมกับหน้าเขาแทบจะติดกัน แต่เขาก็ยังคงเสียงดังไม่ลดเลย
“นี่”
“อะไรเล่า!?”
“เสียงดังแบบนี้ไม่หนหวยตัวเองบ้างเรอะ” ผมถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ดึงมือเขาออกแต่อย่างใด (หนหวย = รำคาญ)
“ไม่โว้ย!!” เขาตะโกนใส่หน้าผมอีกแล้ว – ผมเอื้อมมือที่ว่างเปล่าบีบปากเขาเข้าหากันเหมือนปากตุ่น
“เออ ก็เงียบได้นี่” ผมขมวดคิ้วแต่ยังคงบีบปากของเขาอยู่อย่างนั้น “ไหนลองเงียบแบบนี้สักสองสามนาทีซิ”
น่าแปลกที่เขายอมนั่งนิ่งๆ – ผมยังคงจ้องหน้าฮิวโก้อยู่โดยที่มีมือของเขาดึงคอเสื้อผมอยู่
“โว้ย!!” ในที่สุดฮิวโก้ส่ายหัวเพื่อให้ปากของตัวเองหลุดออกจากมือของผม เขายกมือขึ้นมาฟาดผมรัวๆ “เพื่อนเล่นหรือไง!?”
“ก็เห็นน่ารักเหมือนหมา หยอกนิดหยอกหน่อยไม่ได้หรือไง” ผมยักไหล่ “เมื่อกี้นิ่งจนนึกว่าลืมหายใจไปแล้ว หลงฉันเข้าแล้วล่ะสิ”
“หลงกับผีเอ็งน่ะสิ” เขาผุดลุกขึ้นทันที “ลีลาอยู่นั่น! เดินไปฟาร์มเองแล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็เดินไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ตรงทางเข้าของบ้านพักผมโดยไม่รอผมเลย
ผมหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะปิดกล่องปฐมพยาบาล ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่รถของฮิวโก้พร้อมกับหิ้วกล่องปฐมพยาบาลไปด้วย
--- ---
แปะรูปฮิวโก้กะคุณหมอคินค่ะ > w <
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in