เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber | #Firthgrantsean and his nightmares
Beef Steak | นัดบอด
  • Day 20 : Beef Steak (นัดบอด) | #Novelber

    Author : Sean

    Pairing : Colin Firth x Hugh Grant

     



     


    ผมได้รับคำชวนมาจากคุณเฟิร์ธเมื่อตอนบ่ายนี้..จริงๆเราแค่นัดบอดกัน

     

    เขาบอกว่าเขาชอบทำอาหาร และเขาชวนผมมาทานมื้อค่ำที่บ้านของเขา – ผมมองแผ่นกระดาษที่จดที่อยู่ของคุณเฟิร์ธในมือของตัวเอง

     

    ผมยืนอยู่หน้ารั้วขนาดมหึมา – ผมมองหาจุดสิ้นสุดของรั้วนี้แต่มันกลับทอดยาวจนสุดสายตา ผมมองไม่เห็นจุดจบของรั้วนั่น หรือบางทีอาจเป็นเพราะดวงไฟที่ติดอยู่บนรั้วสว่างไม่เพียงพอที่จะทำให้ผมมองเห็น

     

    แท็กซี่ไปแล้ว.. ใช่.. ผมเดินทางมาที่นี่โดยแท็กซี่ เพราะการจราจรในตัวเมืองนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างวุ่นวาย อีกทั้งรถส่วนตัวของผมเพิ่งเข้าอู่ไปเมื่อหลายวันก่อน

     

    ผมคิดว่าที่ดินแถบนี้คงแพงน่าดู เพราะละแวกนี้มีแต่บ้านหลังใหญ่โตทั้งนั้น ติดเพียงแค่ว่าบ้านของคุณเฟิร์ธไกลออกมาจากตัวชุมชนนิดหน่อย

     

    มีเวลาให้สังเกตของรอบตัวไม่ทันไร ไฟหน้ารถที่สาดสว่างมาจากถนนด้านในก็เรียกให้สายตาของผมหันไปจับจ้องดวงไฟคู่นั้นโดยอัตโนมัติ – ผมไม่สามารถทนความจ้าของแสงนั้นได้จนต้องยกมือขึ้นมาบังไว้ แต่แล้วไฟก็ค่อยๆดับลงพร้อมกับเสียงเปิดประตู

     

    “ยินดีต้อนรับครับคุณแกรนท์” ดวงตาทั้งสองข้างของผมยังคงพร่ามัวเพราะแสงสว่างเมื่อครู่..ผมใช้เวลาปรับสายตาอยู่นานถึงคิดคำพูดตอบกลับไป – จู่ๆเสียงกลอนของประตูรั้วนั้นก็ดังขึ้น ผมไม่ทันได้สังเกตว่าชายที่อยู่ข้างหน้าได้จับกลอนประตูไหม

     

    “สวัสดีครับ..” ผมก้าวเข้าไปในรั้วนั่น – ผมยื่นมือไปข้างหน้าและมีมือลื่นๆเอื้อมมาจับมือผม..มันลื่นจนผมต้องก้มลงไปมอง – เขาสวมถุงมืออยู่

     

    “สวัสดีครับ..คุณเฟิร์ธให้ผมออกมารับคุณแกรนท์เข้าไปด้านในครับ” ถ้าให้ผมเดา คุณคนนั้นต้องเป็นพ่อบ้านของที่นี่แน่ๆ

     

    “จริงๆแล้วไม่ต้องเปิดไฟสูงก็ได้นะครับ” ผมพูดติดตลกแล้วเขย่ามือเขาเบาๆ – แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ตลกกับผมเท่าไหร่

     

    “เข้าไปข้างในกันเถอะครับ คุณเฟิร์ธรออยู่” เขาปล่อยมือจากผมแล้วผายมือไปข้างหน้าแทน

     

    “ครับ..” ผมเม้มปากแน่นๆแล้วก้าวเข้าไปที่รถคันนั้นที่จอดอยู่ มันมืดมากจนผมมองไม่เห็นว่าเป็นรถรุ่นอะไร หรือแม้แต่ยี่ห้ออะไร

     

    ผมเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งในรถนั่น – ไม่นานคุณคนนั้นก็ก้าวเข้ามานั่งในรถข้างๆผม

     

    “จริงๆแล้วคุณควรนั่งด้านหลังนะครับ..” เขาเอนตัวเองเข้ามาใกล้ๆผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ

     

    “คุณไม่ใช่คนขับรถของผมนี่” ผมยักไหล่ “คุณเฟิร์ธของคุณคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง”

     

    “ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะครับ” ผมมองไม่เห็นหน้าเขาชัดหรอก แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเขากำลังยิ้มอยู่

     

    ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง.. พยายามเพ่งสายาตามองสิ่งรอบข้าง – ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด

     

    “ใกล้ถึงหรือยังครับ” ผมเอ่ยถามเพื่อฆ่าความเงียบ แต่มันนานจริงๆนะ

     

    “ใกล้แล้วครับคุณแกรนท์..” เสียงราบเรียบจากคนข้างๆผมตอบกลับมา – ผมได้แต่นั่งนิ่งๆแบบนั้นต่อไป

     

     

    ไม่นานผมก็เห็นสปอร์ตไลท์เล็กๆที่ตั้งอยู่ฐานทั้งสี่ทิศของสิงโตตัวใหญ่ที่กำลังพ่นน้ำอยู่ด้านหน้า – ผมมองไปด้านหลังของสิงโต ..ขนาดของบ้านหลังนั้น ไม่สิ..มันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าบ้านเลย ผมควรเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า มันมีขนาดใหญ่มากราวกับวัง สมกับรั้วที่อยู่ด้านหน้าจริงๆ สปอร์ตไลท์ดวงเล็กๆติดอยู่ทุกมุม กำลังบอกความใหญ่โตของคฤหาสน์

     

     

    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลเฟิร์ธครับ..คุณแกรนท์” รถค่อยๆจอดเทียบกับชานบันไดที่ทอดยาว - จู่ๆชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมก็พูดขึ้น จนนั่นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย เขาเน้นชื่อผมด้วยพยางค์สุดท้าย

     

    เขาไม่รอให้ผมได้ตอบกลับอะไร แต่เขากลับเปิดประตูและลุกออกไปจากที่นั่ง เขาเดินกลับมาฝั่งผมและเปิดประตูให้

     

    “เชิญครับ” เขาผายมืออีกครั้ง – ผมก้าวลงจากรถด้วยความหวั่นๆในใจ ต้องเข้าใจว่าที่บ้านผมไม่ค่อยมีอะไรพิธีรีตองแบบนี้

     

    “ขอบคุณครับ” ผมโค้งหัวให้เขาเป็นเชิงขอบคุณและก้าวลงจากรถ – และทันที่ผมเงยหน้าขึ้น ผมก็เห็นชายร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าผม ห่างกันเพียงสองก้าวเท่านั้น

     

    “เอ่อ..” ผมไม่ทันได้ตั้งตัว “..สวัสดีครับ”

     

    “สวัสดีครับ” เขายิ้มและยื่นมือมาข้างหน้าผม “ผมคอลิน เฟิร์ธครับ”

     

    “ยินดีที่ได้รู้อีกครั้งครับคุณเฟิร์ธ.. ผมฮิวจ์..ฮิวจ์ แกรนท์ครับ” ผมยื่นมือไปจับที่มือของเขา – มือของเขาใหญ่มาก..แต่ก็นุ่มและอุ่นมากเช่นกัน

     

    “เข้าไปข้างในกันเถอะครับ..ผมเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว” ถ้าผมไม่ตาฝาด ผมคิดว่าผมเห็นเขากระตุกยิ้มที่มุมปากด้วย.. ผมปล่อยมือออกจากมือของคุณเฟิร์ธ ผมหันหลังกลับไปมองคุณคนที่ขับรถอีกครั้ง แต่ผมไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา..เหลือเพียงแค่รถว่างเปล่าคันที่ผมเพิ่งลงมา

     

    “คุณแกรนท์ครับ” เสียงของคุณเฟิร์ธเรียกสติของผมได้เป็นอย่างดี – ผมรีบหันกลับไปและเดินตามแผ่นหลังของผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

     

    “ซิมค็อกซ์เขาก็เป็นแบบนี้แหละครับ..เมื่อหมดหน้าที่แล้วเขาก็ไป” คุณเฟิร์ธชะลอความเร็วของฝีเท้าตัวเองลงเพื่อให้ผมเดินตามทัน จนกลายเป็นว่าตอนนี้เขาเดินอยู่ข้างๆผมแทน

     

    “แปลกดีนะครับ ไปไวมาไวจริงๆ..” ผมพึมพำ หวังว่าเขาคงไม่ได้ยิน

     

    “ฮะๆ” ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะออกมาเบาๆ “คุณแกรนท์หิวหรือยังครับ..จะทานเลยไหม หรือจะเดินเล่นรอบๆก่อน ผมมีเวลาทั้งคืนนะ..” เหมือนประโยคหลังเขาพูดกับตัวเองเสียมากกว่า เพราะผมแทบไม่ได้ยินประโยคนั้นเลย

     

    “ถ้าไม่ว่ากัน ผมว่าผมหิวแล้วล่ะครับ” ผมพูดติดตลกตามนิสัยของตัวเอง – ผมได้ยินเสียงหัวเราะของคนที่เดินอยู่ข้างๆผม

     

    “ผมจะว่าทำไมล่ะครับ ผมชวนคุณมาทานมื้อค่ำนะ” เขายักไหล่แล้วยิ้ม – พอดีกับที่ผมหันไปมองเขา ยิ้มของเขาดูอบอุ่นไม่แพ้มือของเขาเลย มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าผมสามารถไว้วางใจเขาได้ ทั้งๆที่เราเพิ่งได้รู้จักกันจริงๆเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน

     

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาหยุดเดินแล้วถามย้ำ

     

    “ปะ..เปล่าครับ” ผมไม่รู้ว่าตัวเองเหม่อมองหน้าของเขานานแค่ไหน แต่คิดว่านานพอสมควร – ผมส่ายหน้า “ไปกันดีกว่าครับ..ผมหิวแล้ว” ผมยิ้มให้เขา

     

    “งั้นตามผมมาทางนี้เลยครับ” เขาเอามือล้วงกระเป๋าแล้วเดินนำผมไปทางปีกขวาของคฤหาสน์ – ผมพยายามที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ยืนจ้องกับความสวยงามของคฤหาสน์ของคุณเฟิร์ธ แต่มันค่อนข้างยาก ศิลปะร่วมสมัยที่เขาใช้ในการตกแต่งผนังบ้านทำให้ผมแทบจะเบนสายตาไปทางอื่นไม่ได้เลย

     

    ถึงส่วนมาก(และเกือบทุกครั้ง)ที่ผมสบตากับคุณเฟิร์ธนั้น สายตาของเขามักจะทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลุดเข้าไปในภวังค์มากกว่า

     

    ผมยังคงเดินตามแผ่นหลังของเขาไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา – ผมเพิ่งได้สังเกตเขาชัดๆว่าเขาเป็นคนที่มีรูปร่างสมบูรณ์แบบมาก ส่วนสูงของเขาสามารถเป็นนายแบบได้ง่ายๆ ทั้งความกว้างของไหล่และแผ่นหลังของเขา – น้ำเสียงและคำพูด จังหวะการก้าวเท้าและการเดินของเขาดูนุ่มลึกราวกับผู้ดีไม่มีผิด

     

    “ผมออกกำลังกายทุกวันนะ เผื่อคุณอยากรู้” เขาพูดขึ้นมาลอยๆ - ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่คิด “ถึงแล้วครับ” เขาพูดเหมือนประโยคที่เขาพูดก่อนหน้านี้ไม่มีความหมายอะไรเป็นเพียงแค่คำสร้อย – คุณเฟิร์ธหยุดที่เก้าอี้ใกล้ๆกับหัวโต๊ะ เขายกและเลื่อนมันออกมา เหมือนกับบอกผมโดยนัยว่าให้นั่งลงตรงนี้

     

    “งั้นผมคงต้องขอสูตรลัดที่ทำให้หุ่นดีเหมือนคุณเฟิร์ธแล้วล่ะ” ผมยิ้มและเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้น “ขอบคุณครับ” ผมกล่าวขอบคุณ

     

    “ถ้าอยากรู้จริงๆเดี๋ยวผมบอกครับ..” เหมือนผมเห็นว่าเขากระตุกยิ้มที่มุมปากอีกแล้ว แต่เขาหันหลังเดินไปที่อีกฝั่งของโต๊ะเร็วเหลือเกิน – เขาเปิดฝาครอบจานที่ครอบอยู่บนอาหารจำนวนมากที่วางรายล้อมอยู่บนโต๊ะอาหาร

     

    “..พูดแบบนี้ดูมีเลศนัยนะครับคุณเฟิร์ธ” ผมยิ้ม – ตอนนี้ในใจของผมแอบรู้สึกหวั่นๆเล็กน้อยกับรอยยิ้มของเขา

     

    “เรียกผมว่าคอลินเถอะครับ” เขายิ้มอีกแล้ว.. “เรียกแบบนั้นมันดูห่างไกล จริงไหม..วันนี้คุณมาเดทกับผมนะ” เขาหยิบไวน์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในถังน้ำแข็งขึ้นมาและรินลงบนแก้วของผมก่อน ตามด้วยของเขา

     

    “ถึงแบบนั้นก็เถอะครับ..” ผมเผลอยักไหล่ – แล้วหยิบแก้วไวน์ที่เขาเพิ่งรินให้เมื่อครู่

     

    “ทำแบบนั้นไม่ดีเลยนะ” จู่ๆเขาก็พูดขึ้นมา จนผมจับต้นชนปลายไม่ถูก

     

    “อะไรนะครับ” ผมขมวดคิ้วแล้วมองหน้าเขาแบบงงๆ

     

    “ยักไหล่แบบเมื่อกี้ยังไงล่ะ” เขาพูดโดยที่ไม่ได้มองผม

     

    “เอ่อ..ผมขอโทษด้วยนะครับ หากนั่นทำให้คุณไม่พอใจ คือผมทำจนติดเป็นนิสัยแล้ว..” ผมเม้มปากแน่น

     

    “ไม่เป็นไร..ช่างมันเถอะ” เขายิ้ม ถึงแม้ผมจะรู้ว่าจริงๆแล้วเขาแค่กลบเกลื่อน – เขาเปลี่ยนประเด็นด้วยการยื่นแก้วไวน์มาข้างหน้าผม “แด่มื้อเย็นของเรา”

     

    “แด่มื้อเย็นของเรา..” ผมชนแก้วไวน์ของตัวเองเข้ากับแก้วไวน์ของเขาที่ยื่นมาจนเกิดเสียงดัง แกร๊ง! เบาๆ

     

    เขาจิบไวน์นั่นเล็กน้อยในขณะที่ผมดื่มไปเสียอึกใหญ่ – เขาวางแก้วไวน์ลงและหยิบมีดขึ้นมาหั่นสเต็กเนื้อที่อยู่ข้างหน้าตัวเอง.. เขาดูนุ่มนวลแม้กระทั่งวิธีการจับมีด แต่ไม่นานเขาก็หยุดหั่นและเงยหน้าขึ้น

     

    “อาหารไม่อร่อยเหรอครับฮิวจ์ ไหนบอกว่าหิว” เขาลู่คิ้วเข้าหากันแล้วมองผม “เป็นอะไรหรือเปล่า ผมเห็นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

     

    “เปล่าครับ..ผมลืมบอกไปว่าผมไม่ชอบทานเนื้อวัวน่ะครับ..” ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอมองเขาไปตั้งนาน

     

    “อ่า..เหรอครับ..” เขาถอนหายใจเหมือนโล่งอก “งั้นทานสลัดไหมครับ ผมทำเผื่อไว้ในครัว เดี๋ยวผมไปหยิบให้นะ” เขาลุกขึ้นและเดินไปห้องครัวเลยโดยที่ไม่รอให้ผมพูดอะไรก่อน – ซึ่งจริงๆแล้วผมก็พอทานได้ ไอ้เนื้อวัวนั่น แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง

     

    ผมนั่งรออยู่อย่างนั้นประมาณห้านาทีเขาก็กลับมาพร้อมถาดสลัดผักที่อยู่ในมือ – เขาตักมันใส่จานที่อยู่ข้างหน้าผม และกลับไปนั่งที่เดิมของเขา

     

    “ไม่เห็นต้องลำบากเลย..จริงๆแล้วผมก็พอกินได้นะ” ผมบอกเขา

     

    “ไม่ได้หรอก เดทแรกของเราต้องเป็นเดทที่วิเศษสิ” เขายิ้มและยื่นส้อมสำหรับทานสลัดให้กับผม – ผมกล่าวขอบคุณและรับมันมา

     

    “แค่นี้ก็วิเศษสุดๆแล้วล่ะครับ” ผมยิ้มบ้างและใช้ส้อมที่อยู่ในมือจิ้มลูกมะเขือเทศที่อยู่ในจาน

     

    “งั้นทานให้อร่อยนะครับ” เขายังคงยิ้มให้ผมทุกครั้งที่ผมสบตากับเขา.. – นั่นทำให้ผมแทบสติหลุดอีกครั้ง

     

     

    เราใช้เวลาทานมื้อค่ำเกือบๆหนึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้เราลุกออกมาจากโต๊ะอาหารกันแล้ว และกำลังเดินไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าคุณเฟิร์ธจะพาไปไหน ก็เขาบอกว่าจะพาเดินเล่นรอบๆ – แปลกดีที่ผมไม่ได้ยินเสียงของใครในบ้านนี้เลยนอกจากคุณเฟิร์ธและผม

     

    “คนอื่นๆไปไหนเหรอครับ” ผมหมายถึงคนในครอบครัวของเขา

     

    “เขาอยู่ที่อเมริกากันน่ะ” ดูเหมือนเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ผมหมายถึงด้วย

     

    “อ๋อ..” ผมพยักหน้าช้าๆ - คำถามที่ผมมักจะใช้ถามต่อคงเป็นพวก ‘แล้วภรรยาคุณล่ะ’ ไม่ก็ ‘แฟนคุณล่ะ’ แต่เขาไม่ใช่คนไข้ของผม และที่สำคัญคือผมเป็นคู่เดทของเขา ซึ่งไม่ควรถามอะไรแบบนี้

     

    “จริงๆแล้วพ่อกับแม่ก็เคยนัดบอดลูกสาวเจ้าของบริษัทพันธมิตรให้กับผมนะ แต่ผมขู่บอกขายหุ้นใหญ่ที่ถือไว้ให้หมด พวกท่านก็ไม่ยุ่งกับผมอีกเลย” เขาพูดติดตลก

     

    “อยู่คนเดียวแบบนี้เหงาแย่เลยนะครับ” ผมเผลอยักไหล่โดยที่สายตาของตัวเองยังคงจ้องที่ทางเดินข้างหน้า – แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็น

     

    “ก็ใช่ว่าผมจะอยู่คนเดียวตลอดนี่ ใช่ไหมล่ะ” เขาหันมาทางผมแล้วยิ้ม

     

    “แหงอยู่แล้ว..ที่นี่คงจะมีคนแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่เรื่อยๆใช่ไหมล่ะครับ”

     

    “แน่นอน..ตามมาสิ” คุณเฟิร์ธเดินนำหน้าผมไปยังระเบียงที่สามารถมองเห็นสวนด้านหลังของคฤหาสน์ได้ทั้งหมด – ผมเดินตามหลังเขาไป โดยที่สายตายังคงจ้องมองภาพวาดของบรรพบุรุษของเขาที่ติดอยู่บนฝาผนัง

     

    “คุณคงมาจากตระกูลเก่าแก่สินะ...” ผมเอ่ยถาม ขยับเข้าไปยืนข้างๆเขาที่หยุดยืนและวางแขนอยู่บนรั้วเล็กๆที่กั้นไว้ตรงระเบียง

     

    “ใช่แล้วล่ะ..” เขาพูดโดยที่ไม่ได้หันมามองผม แต่สายตาเขากลับจับจ้องอยู่ที่ดวงดาวบนท้องฟ้า “ผู้ชายตระกูลเฟิร์ธได้รับการถ่ายทอดสิ่งเดียวกันมาเกือบๆห้ารุ่นแล้ว”

     

    “ขอโทษนะครับแต่ว่าคุณหมายถึงอะไร”

     

    “ความลับน่ะ..แต่ถ้าคุณอยากรู้…” เขาเว้นวรรคให้ผมรู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้น “คุณต้องเก็บเป็นความลับนะ โดยการเซ็นสัญญา..”

     

    “ถึงกับต้องเซ็นสัญญาเลยเหรอ” ผมหลุดหัวเราะออกมา – คุณเฟิร์ธหันมามองผม “เอ่อ..ขอโทษครับ”

     

    “เพื่อกันความลับรั่วไหล..มีแค่ผู้ชายในตระกูลของเราเท่านั้นที่จะรู้เรื่องนี้” เขาก้มลงมากระซิบเบาๆที่ข้างหูของผม – นั่นทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที

     

    “งั้นผมไม่รู้ดีกว่า..อึดอัดแย่เลย” ผมยักไหล่แล้วยิ้มให้เขาแทน

     

    จู่ๆเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ผมมาขึ้นจนผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขาที่เป่ารดใบหน้าของผม เขาใช้หลังนิ้วแตะที่คางผมเบาๆ – ผมเชิดหน้าขึ้นมองเขาโดยอัตโนมัติ “แต่ผมอยากให้คุณรู้นะฮิวจ์..”

     

    “จะดีเหรอครับ..ผมไม่ใช่คนในตระกูลของคุณนะ” เสียงของผมสั่นเครือตอนที่ตอบเขาไป

     

    “ผมอนุญาต” นั่นคือคำสุดท้ายที่เขาพูดก่อนจะกดจูบลงบนริมฝีปากของผม

     

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ..จูบของเขาทำให้ผมรู้สึกราวกับถูกแช่แข็ง ผมเริ่มใช้ฝ่ามือดันหน้าอกของเขาเพราะหายใจไม่ทัน – เขายอมผละออก โดยที่มีผมที่ยืนหอบหายใจอยู่

     

    “..ผมจะพาคุณไปห้องลับของตระกูลผม” เขาโอบแขนรอบคอของผมและกระชับอ้อมแขนนั้นเข้าหาตัวเอง

    ผมมองเขาด้วยความงงงัน – ใบหน้าของผมร้อนผ่าว แต่ในที่มืดแบบนี้เขาคงดูไม่ออกว่าผมหน้าแดงแค่ไหน

    “เรื่องสัญญาค่อยว่ากันทีหลัง..” เขากระตุกยิ้มพร้อมกับลูบต้นแขนผมเบาๆ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in