แกรก
ร่างบางเปิดประตูห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จก้าวออกจากห้องน้ำทั้งที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดร่างกายส่วนล่างหยดน้ำเกาะอยู่ทั่วร่างกายที่ผ่ายผอมกว่าแต่ก่อน
ขณะนำผ้าขนหนูอีกผืนขยี้เส้นผมหอมสบู่ที่เปียกชื้นดวงตาเหลือบมองเห็นหน้าจอมือถือที่สว่างวาบอยู่บนเตียง จึงรีบเดินเข้าไปในใจพองโตแอบหวังว่าใครบางคนจะโทรมาหา แต่แล้วเมื่อเห็นรายชื่อที่ปรากฏหัวใจที่เต้นรัวก็แผ่วลง
...ลุงเกษม...
"ครับสวัสดีครับคุณลุง..."
("สวัสดีตอนเช้า ชะเอมหืม...ตื่นเช้าเหมือนกันนี่นา") เสียงทุ้มอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูทำให้คนฟังต้องแอบอมยิ้ม
"ไม่หรอกครับพอดีเพิ่งอาบน้ำเสร็จด้วย...คุณลุงโทรมามีอะไรรึเปล่าครับ"น้ำเสียงอ่อนใสแกมสงสัย เรียกเสียงหัวเราะเบาจากอีกฝั่ง
("ก็คิดถึงน่ะสิลุงไม่ได้เจอชะเอมนานแล้วนะ โทรหาเจ้าคินก็ไม่รับ สงสัยจะยังไม่ตื่น")ได้ยินชื่อนั้นทำเอาร่างบางอึกอักไม่รู้จะตอบอะไรดีนะที่คุยโทรศัพท์ไม่งั้นคงเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนไม่อยากตอบของเขาแน่
"ผมก็คิดถึงคุณลุงครับ"เขาเลือกที่จะข้ามประเด็นตรงนั้นไป แล้วก็ได้แต่ถอนใจโล่งอกที่คนฟังไม่ติดใจอะไรหนำซ้ำคำพูดนั้นทำเอาคนฟังชื่นอกชื่นใจอีกต่างหาก
("ถ้างั้นชะเอมมาเจอลุงบ้างสินัดกินข้าวเย็นกันไหม เอ้อ ถ้าไงลุงฝากลากเจ้าคินมันมาด้วยละกันมีแต่หนูที่มันยอมฟังนะ ขนาดพ่อแท้ๆ ของมันยังไม่ฟังเลย")เสียงหัวเราะดังปิดท้ายราวกับประโยคที่พูดออกมาตลกนักหนาแต่หารู้ไม่ว่าคนฟังยิ้มแหย
ทำไมกลับมาประเด็นเดิมได้เนี่ย
"คือ..."เอมกลืนน้ำลายเบาๆ หลับตาในหัวคิดหาคำพูดพยายามอธิบาย"ช่วงนี้คินเขางานยุ่งมากครับแล้วก็ต้องไปค้างหอเพื่อนที่ทำงานกลุ่มเดียวกัน...เขาไปค้างได้สามวันแล้วล่ะครับ"ร่างบางเอ่ยคำโป้ปดรัวเร็วพร้อมเอ่ยขอโทษผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตในใจและปลอบใจตัวเอง
ไม่เป็นไรยังไงก็มีเรื่องที่ไปจากที่นี่สามวันแล้วก็เป็นเรื่องจริงล่ะนะ
("อ้าว! จริงเหรอนี่ลุงไม่เห็นรู้เรื่องเลย งานกลุ่มที่ว่าคืองานที่คณะมันใช่มั้ย")
เด็กหนุ่มกลั้นหายใจ "ครับ"ต่อมาได้ยินเสียงร้องออพร้อมพึมพำอะไรบางอย่าง
("งั้นไม่เป็นไรๆเอาเป็นช่วงที่ทั้งหนูและคินว่างพร้อมกันก็แล้วกัน")
"...ได้ครับ" รับคำพร้อมพรูลมหายใจ
("แล้วหนูอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ยนี่ลุงว่าถึงเจ้าคินจะไปทำงานกลุ่มก็น่าจะกลับมานอนที่คอนโด...ไม่น่าปล่อยชะเอมอยู่คนเดียวเลยนะแล้วนี่จะไปเรียนยังไง") เกษมเอ่ยเสียงเครียดราวกับจะตามคนที่อยู่ในบทสนทนากลับมาคุยเดี๋ยวนี้เลยทำเอาร่างบางปฏิเสธละล่ำละลัก
ขืนทำแบบนั้นคินยิ่งได้เขม่นเขามากกว่าเดิมสิ
"อะ...เออ มะไม่เป็นไรครับเขานอนกับเพื่อนน่าจะสะดวกมากกว่า ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาด้วยส่วนเรื่องไปเรียนไม่ต้องห่วงนะครับ ผมนั่งรถเมล์ไปได้"
("เจ้าลูกคนนี้นี่มันจริงๆเลย") เกษมบ่นแต่ไม่วายถามย้ำ ("เอางั้นเหรอ ลุงตามใจชะเอมนะ")
"ครับผมอยู่คนเดียวได้ไม่มีปัญหา" ร่างบางเอ่ยเสียงอ่อน
("โอเคแล้วเรื่องเงินล่ะ") เกษมเปลี่ยนเรื่อง ปกติถ้าเป็นคนอื่นถามจุกจิกชะเอมอาจจะบอกปัดด้วยความรำคาญไปแล้วแต่กับลุงเกษมเขาเข้าใจว่าทุกคำถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วง("เงินที่ลุงให้พอใช้มั้ย เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ลุงโอนให้นะ")
"ไม่ต้องก็ได้ครับทุกวันนี้เอมก็ใช้ไม่หมดแล้ว ที่เหลือเก็บยังใช้ได้อีกหลายเดือนเลย"ร่างบางรีบปฏิเสธ อยู่ๆ ก็ขนลุกเพราะอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนต้องหยิบรีโมทกดปิดตอนนี้ตัวเขาแห้งแล้ว เส้นผมก็ชื้นไม่มีหยดน้ำ
("...แต่เดือนที่แล้วลุงก็ไม่ได้โอนให้นี่")
"นั่นเพราะเดือนก่อนคุณลุงให้มาเยอะผมยังใช้ไม่หมดไงครับ" ชะเอมบอกอย่างดื้อดึง
("เฮ้อ ก็ได้ๆแต่ถ้าชะเอมมีอะไรอยากได้ต้องบอกลุงนะ อย่าลืมว่าหนูก็เป็นลูกของลุงคนหนึ่งไม่ต้องเกรงใจ") เกษมเอ่ยเสียงอ่อนโยน เพราะรู้ดีเขาเป็นคนเลี้ยงเด็กคนนี้มากับมือ ทั้งความเกรงใจที่ยกตัวเองออกห่างถึงจะมองว่าเขาเป็นพ่อแต่ก็ยังไม่เรียกว่าพ่อ แต่เขาก็ภูมิใจชะเอมเป็นเด็กที่ดีเหลือเกิน
ชะเอมฟังแล้วแน่นอก ไม่ว่ายังไงคุณลุงก็ใจดีกับเขาเสมอมาน้ำตาเหมือนจะรื้นขึ้นมาเพราะความตื้นตัน
ผู้มีพระคุณของเขา สักวันจะต้องตอบแทน
"ครับคุณลุงถ้ายังไงผมขอวางก่อนนะครับ จะได้ไปแต่งตัว" ชะเอมเอ่ยเสียงอู้อี้คุยเรื่องนี้ทีไรเป็นต้องยาวทุกที ดูเหมือนอีกฝั่งก็จะรู้จึงยอมถอย
("โอเค ถ้างั้นเอาไว้เจอกันนะอย่าลืมกินข้าวเช้าล่ะ ลุงเป็นห่วงนะ")
"ครับคุณลุงก็ดูแลตัวเองนะครับ สวัสดีครับ"
ชะเอมกดวางสายเหลือบมองนาฬิกาแล้วเดินไปที่ตู้เพื่อแต่งตัวไปมหาวิทยาลัย
เพราะวันนี้มีเรียนทั้งวันตั้งแต่เช้ายันเย็นนอกจากต้องตื่นเช้ากว่าเดิมเพราะต้องนั่งรถประจำทางมาเองแล้วยังต้องทำข้าวเช้าและข้าวกล่องสำหรับมื้อเที่ยงมาด้วยถึงฝีมืออาหารจะไม่ค่อยอร่อยมากแต่ก็ยังพอกินได้เพราะปกติต้องทำอาหารให้ทั้งตัวเขาและคินเป็นประจำ อาหารเช้าจึงเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับเขามากเพราะทำให้ร่างกายไม่ป่วยง่ายและสมองก็ปลอดโปร่งทำให้การเรียนตอนเช้าเป็นไปได้ด้วยดีอีกด้วย
ร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะด้วยตั้งแต่กำเนิด สภาพแวดล้อมหรืออะไรก็แล้วแต่...ที่ทุกวันนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ได้ เพราะการดูแลตัวเองและการระมัดระวังหลีกเลี่ยงในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ไม่มีใครเลือกเกิดได้...และชะเอมก็ทำใจได้กับเรื่องนี้มานานแล้ว
พอนึกถึงเรื่องใครอีกคนก็ทำให้ใจหม่นเศร้าพยายามบอกตัวเองว่าต้องหาเวลาไปคุยและเคลียร์กันให้เข้าใจเพราะยิ่งเป็นแบบนี้ต่อไป มันจะไม่ดีทั้งตัวเขาเองและจะทำให้คุณลุงเกษมไม่สบายใจได้
ชะเอมเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกคุณลุงเกษมรับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมทั้งที่มีลูกชายซึ่งก็คือคินอยู่แล้วถึงจะไม่รู้ว่าเขาไปถูกชะตาอะไรกับคุณลุงแต่ก็ขอบคุณมาตลอด
ขอบคุณที่เก็บเขามาเลี้ยง
ขอบคุณที่ให้ความสำคัญ
ขอบคุณที่ดึงเขาขึ้นมาจากขุมนรก
ถึงจะจำได้ลางๆแต่ชะเอมมีความทรงจำไม่ดีกับพ่อแท้ๆ ของตัวเองไม่มีวันไหนที่เขาไม่โดนทุบตีหรือทำร้ายร่างกายไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากพ่อขี้เหล้าและติดการพนันวันไหนอารมณ์เสียจากการเล่นก็โดนลูกหลงจากอารมณ์ลงหนักจนสลบ ฟื้นขึ้นมาก็โดนแล้วโดนอีกกระหน่ำลงมาทั้งมือทั้งเท้าไม่เคยเลยที่วันไหนจะได้อยู่อย่างสงบ จนวันหนึ่งเขาก็ทนไม่ไหววิ่งหนีออกมาจนได้มาอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า
ไม่มีการแจ้งตำรวจเรื่องเด็กหายหรือประกาศตามหาตัวแต่อย่างใดเพราะเขาไม่เคยทำประโยชน์ให้กับพ่อบังเกิดเกล้าแถมยังเป็นภาระนอกจากจะเป็นที่รองมือรองเท้าเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้น
ขณะกำลังยืนบนรถประจำทางเบียดกับผู้คนที่ไปทำงานชะเอมรู้สึกวิงเวียนและผะอืดผะอมกับกลิ่นเหงื่อของฝูงชนและควันรถแต่ก็ยังอดกลั้นพยายามไม่แสดงอาการอยากจะอาเจียนออกมา
"นาย...ไหวมั้ย?"ได้ยินเสียงถามอย่างเป็นห่วงจากด้านข้าง ทำให้เขามองตามเสียงเห็นผู้ชายตัวพอๆ กับเขาใส่ชุดนักศึกษาซึ่งสังเกตเนคไทมีตรามหาลัยเดียวกันยืนอยู่สีหน้าขมวดคิ้วมุ่น
"หน้านายโคตรซีดเลย"น้ำเสียงทุ้มใส ฟังแล้วเหมือนทำให้ร่างบางรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
"อื้ม" ชะเอมยิ้มอ่อน "น่าจะ"
"อืม แปปนะ" คนข้างๆ พูดชะเอมมีสีหน้างุนงงเล็กน้อยเห็นอีกคนล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงเหมือนควานหาอะไรบางอย่างก่อนล้วงออกมาบิดสิ่งที่อยู่ในมือแล้วจ่อเข้าใกล้หน้า ได้กลิ่นมินต์เย็นๆ ลอยออกมาช่วยลดความผะอืดผะอมที่อยู่ในอกได้มาก
"ใกล้ถึงแล้วทนหน่อยละกันถ้าไม่ไหวยืนพิงเราได้"
ร่างบางกระพริบตาปรับภาพที่พร่ามัวสูดลมหายใจลึกให้กลิ่นเย็นๆ เข้าก่อนพยักหน้านิดๆ
"...ขอบใจนะ"
อีกฝ่ายยิ้มส่ายหน้านิดๆราวกับบอกว่าไม่เป็นไร
ราวสิบนาทีกว่าจะถึงหน้าประตูชะเอมถึงกับโล่งอก ส่งยาดมที่เพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกันคืนกับมือ
"ขอบใจมากนะเจ้านี่ช่วยได้เยอะเลย...เอ่อ นาย"
"เราชื่อราม อยู่คณะอักษรปี3"
สิ่งที่ได้ยินทำให้ร่างบางที่ยังหน้าซีดเซียวเบิกตานิดๆ
"เอ๊ะ บังเอิญจังอยู่คณะเดียวกันเลย"
"ชะเอม ปีเดียวกันเอกจีนใช่มั้ย" ยิ่งได้ยินยิ่งอึ้งนิ่งค้าง ทำคนมองอย่างรามหัวเราะร่วน
"ทำไมรู้"น้ำเสียงใสเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งแต่ก่อนที่จะได้รับคำตอบสายตาเหลือบเห็นรถคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าเลี้ยวเข้าประตูมหาลัยวิ่งไปทางตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์
เขาจำรถคันนั้นได้ดี
ฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำทะเบียน กท
รถของคิน
บางทีเขาก็คิดว่าดีจริงๆที่รถคันนั้นฟิล์มดำทึบพอที่จะมองไม่เห็นข้างในเขาไม่อยากจะรับรู้อะไรที่ทำให้ใจเขาเจ็บไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ถึงในใจจะรู้ดีว่าในรถนอกจากคินแล้วมีใครคนอื่นอยู่ด้วยแทนที่ตรงที่เขาเคยนั่ง
"ที่ลือกันว่าเอมเลิกกับคินแล้วก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิอะเอ่อ...โทษที"
เสียงที่ดังข้างๆทำให้ร่างบางรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียวกว่าจะเข้าใจว่ารามพูดอะไรรถคันนั้นก็วิ่งลับสายตาไปแล้ว
"อืม ไม่เป็นไร"ร่างบางหันมาพูดกับอีกฝ่าย "ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย
"อย่ายิ้มแบบนั้นสิ" รามพึมพำพูดเสียงอ่อยเขาไม่เคยเห็นใครยิ้มรวดร้าวเท่าคนตรงหน้ามาก่อนเลยน้ำตาคลอกับแววตาเจ็บปวดที่สื่อออกมาทำเอารู้สึกผิดที่เผลอปากเปราะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป
"ไม่เป็นไรไม่เป็นไรจริงๆ" เสียงที่เขาเอ่ยออกมาแผ่วเบา ไม่รู้ว่าบอกกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอหรือบอกกับตัวเองกันแน่ ชะเอมเอื้อมมือที่สั่นจนรู้สึกได้กระชับกระเป๋าสะพายข้างเข้ากับไหล่เดินผ่านมุ่งตรงไปยังตึกคณะที่อยู่อีกฝั่ง
"เอม...นายพกนี่ไว้ดีกว่านะหน้าซีดอีกแล้วรู้ตัวไหม" กล่าวไม่เอาคำตอบแถมของที่ว่ายังถูกยัดใส่มือแบบพลการอีกต่างหาก พบว่ามันคือยาดมหลอดเดิม
"นายหิ้วของมาเยอะจัง มาเดี๋ยวเราช่วยถือ
"เอ๊ะ! เอ่อ...ไม่เป็นไร เราถือได้
จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งได้สังเกตเพื่อนใหม่ที่บอกว่าตัวเองชื่อราม ตัวสูงกว่านิดไม่ถึงห้าเซน ตัวหนากว่าเขาหน่อยผิวออกขาวเหลือง ตาเรียวตี่เหมือนคนจีน ปากนิดจมูกหน่อย ดูรวมๆก็เรียกได้ว่าหน้าตาค่อนข้างดีเลย
"ขอบใจ"ได้ยินรามว่าแล้วร่างบางก็รู้สึกหวิวๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองมือเย็นขนาดไหนรู้สึกมึนๆ เหมือนจะเป็นลม
ข้าวเช้าก็กินมาแล้วนี่นา
ขณะคิดมือก็แกะยาดมขึ้นมาสูด
"เออนี่รามยังไม่ได้บอกเราเลยว่ารู้จักเราได้ยังไง"เอมถามอย่างสงสัย ทำเอาอีกฝ่ายเลิกคิ้ว ถามเสียงสูง
"นี่ไม่รู้เลยเหรอว่าตัวเองดังขนาดไหน"
"หืม" ร่างบางหัวเราะ"ถามจริง" น้ำเสียงไม่อยากเชื่อ
"โห...พลาดแล้วนี่จะบอกให้นะว่าเรื่องของนายกับคิน ไม่มีใครในมหาลัยนี้ไม่รู้จักหรอก"รามพูดรัว แล้วก็เป็นอีกครั้งที่รู้ตัวช้าเกินไปว่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ เสียจริง "โทษทีเอม มันเผลอ"
ชะเอมยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจแต่ในใจแอบกระตุก "แล้ว...ยังไง ได้ยินมาแบบไหนล่ะ"
"ก็...ทั้งเรื่องดี"รามอึกอัก แต่ไม่อยากโกหก เขาไม่ชอบโกหก "แล้วก็ไม่ดีด้วย"เขาเหลือบมองสีหน้าร่างเล็กกว่าตัวเองที่เดินเยื้องด้านหน้าใบหน้าขาวซีดกับเส้นผมสีดำออกน้ำตาลคลอเคลีย นัยน์ตาดำกลมโตใสว่างเปล่ามักจะสะท้อนความเศร้าออกมา ในตอนนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวหรือไม่
รามรู้จักชะเอมเพียงแค่ชื่อมานานตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาได้เกือบปีเป็นคนที่ทั้งสวยและหล่อเป็นที่หมายปองของสาวๆ และหนุ่มๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยแน่นอนว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเรือนร่างผอมแอบมีกล้ามเนื้อเล็กน้อยทำให้ยิ่งดูมีเสน่ห์ผิวขาวผ่องใสราวกับไม่เคยโดนแดดแผดเผา ให้ความรู้สึกอยากปกป้องแต่ฝันของใครหลายคนต้องสลายเมื่อรู้ว่าหนุ่มหน้าหวานคบอยู่กับคินหนุ่มหล่อวิศวะมีดีทั้งด้านเรียนและกีฬา แถมบ้านยังร่ำรวยอีกด้วย นิสัยก็ดี เพอร์เฟ็คต์แบบที่ใครๆก็ไม่อาจสู้จึงต้องยอมแพ้ถอยกันไปหลายราย แต่ทางคินก็ใช่ย่อย หล่อขนาดนั้นก็ต้องมีตุ๊ดกะเทยและชะนีทั้งหลายยอมถวายตัวเข้าไปเกาะแกะตลอดแต่เห็นว่าคินรักเดียวใจเดียวไม่ยอมเผื่อใจให้ใครทำให้ทั้งคู่เป็นคู่รักในมหาวิทยาลัยที่เขาล่ำลือกันว่าเป็นคู่ที่โชคดีที่สุด
แต่ข่าวล่าสุดที่ได้ยินตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนระหว่างเรียนปีสองเทอมสอง ทั้งคู่เกิดทะเลาะด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่วงในว่ากันว่าคือ'
ถึงจะได้ยินแบบนั้นมาก็เถอะ...
แต่จากที่คุยครั้งแรกในรอบสามปีที่เรียนคณะเดียวกันมาดูๆ แล้วไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างชะเอมหนุ่มบอบบางดูท่าทางเรียบร้อยคนนี้จะไปหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่น
แถมท่าทางเงียบๆ และแววตาเศร้านั่นอีก
หรือว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นเรื่องไม่จริง
ตอนนี้พวกเราทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าคณะอักษรศาสตร์แล้วก่อนที่จะแยกทางกัน รามก็ถอนใจ ถึงยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปยุ่งได้แต่ก็อดไม่ได้ที่จะ... "นี่...เรื่องที่เราได้ยินมา"ร่างบางภายใต้ชุดนักศึกษาหันมาสบตา "เป็นเรื่องจริงรึเปล่า"
รามค้นหาสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตากลมดำเหมือนลูกกวางนั้น
"เรื่องไหนเหรอ"
"ที่เขาว่านาย...ทำร้ายเรย์"เขาไม่ได้ต้องการย้อนความทรงจำในอดีตทำให้คนตรงหน้าเจ็บปวดเขาก็แค่อยากรู้...ไม่รู้ทำไม
ได้แต่หวังว่าคนตรงหน้าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาลือกันก็เท่านั้น
น่าเสียดายที่รามพบว่าในแววตาคู่นั้นมีเพียงแค่...ความว่างเปล่า
"แล้วถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะ"
คราวนี้ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกคนและชะเอมก็ไม่ได้ต้องการคำตอบด้วย ทั้งคู่ยืนเงียบจ้องตากันจนกระทั่งร่างบางเป็นคนถอนหายใจแผ่วเบา
"เรื่องยาดม ขอบใจมากเราขอตัวก่อน" พูดเสร็จก็เดินหันหลังเข้าตึก ทิ้งใครอีกคนยืนนิ่ง
"เอม... "
อยากจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น
ขอโทษ...
แน่นอนว่าถ้าหากรามสังเกตให้ลึกลงไปอีกนิดจะพบว่าภายใต้เปลือกตาของชะเอม ในความว่างเปล่านั้นมีความเสียใจอยู่
เสียใจในการกระทำของตัวเองที่ไม่สามารถแก้ไขได้
แต่แน่นอน ถ้าหากย้อนกลับไป
ร่างบางก็ยังยืนยัน...ว่าจะทำเช่นเดิม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in