Pre - ก่อนมาเป็นออแพร์
เริ่มกันที่ขั้น Pre เลยนะคะ ขยายความจากอีพี 01 เนอะ หลายคนเห็นเพื่อนเราและคนอื่นๆไปแนะนำในกลุ่มย้ายประเทศกันเถอะ แล้วก็มีความสนใจแต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับโครงการเลย จริงๆเราได้เขียนแนะนำไปแบบคร่าวๆแต่ก็ถือว่าเยอะมากในอีพี 01 ไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละค่ะ มาอธิบายกันอีกรอบให้มันชัดเจนที่สุดเลยดีกว่า ถ้าทุกคนพร้อมแล้วมาทำความรู้จักโครงการออแพร์ให้มากขึ้นกันอีกขั้นด้วยกันนะคะ
- ออแพร์คืออะไร?
ออแพร์คือพี่เลี้ยงเด็กแหละค่ะ แต่ออแพร์มาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กในฐานะผู้มาแลกเปลี่ยนด้วยวีซ่า J-1 โดยที่เราจะต้องอาศัยอยู่กับโฮสต์แฟมมิลี่ พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนค่าเล่าเรียนจากโฮสต์ด้วยค่ะ โดยออแพร์มีความแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรปค่ะ หลังจากครบสัญญา 1 ปี ออแพร์จะมีโอกาสท่องเที่ยวต่อในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 30 วันอย่างถูกกฎหมายด้วยค่ะ แถมยังต่อสัญญาได้อีก 1 ปีด้วยนะคะ
- ออแพร์ได้รับสิทธิอะไรบ้าง?
มีคนถามเข้ามาเหมือนกันนะคะว่าออแพร์ได้อะไรบ้าง เงินเดือนพอมั้ย แล้วต้องทำงานยังไง เลือกเด็กได้มั้ย เอาจริงๆเลยตอนเราสมัครเข้าโครงการ เราไม่เคยมีคำถามในหัวเลยค่ะ เราไม่ได้สนเรื่องเงินเท่าไหร่ เพราะมาอเมริกาทั้งทีก็อยากจะใช้ชีวิตให้มันคุ้มที่สุด แต่เรามามันติดโควิดพอดีนี่แหละค่ะ เลยไม่คุ้มอะไรเท่าไหร่ แต่มาตอบคำถามข้อนี้ให้ทุกคนที่สงสัยทราบกันนิดนึงเนอะ
+ สิ่งที่ออแพร์จะได้รับ
- สัญญาการเป็นออแพร์อยู่ที่ 1 ปี และสามารถเลือกต่อได้ 6, 9 หรือ 12 เดือน
- ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายสัปดาห์ 195.75$ ต่อสัปดาห์
- ได้รับการสนับสนุนค่าเล่าเรียนจากโฮสต์แฟมมิลี่ จำนวน 500$ เราสามารถเลือกเรียนอะไรก็ได้ตามความสนใจ แต่ต้องเก็บหน่วยกิตครบ 6 หน่วยกิต หรือ 60 ชั่วโมง (เดี๋ยวอันนี้มาเขียนแนะนำอีกทีในบทความอีพีต่อไปนะคะ)
- มีที่ปรึกษาท้องถิ่นให้ปรึกษาเสมอค่ะ หากเกิดเหตุอะไรขึ้น
- มี Vacation ให้ 2 อาทิตย์ต่อปี
+ เงินเดือนพอมั้ย
สำหรับเราเลยนะคะ เราพอค่ะ ข้าวเราก็กินฟรี เครือข่ายโทรศัพท์เราก็ใช้ฟรี ที่อยู่อาศัยอีก เราไม่ต้องจ่ายอะไรเลยค่ะ ยกเว้นเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนหรือเวลาเทคเวเคชั่นที่มันเป็น your own expenses ซึ่งเรามองว่ามันขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์มากกว่าค่ะ เราไม่ได้เก็บเงินเก่งเลยนะ เราใช้จ่ายอาทิตย์ละ 300-400$ ก็มีค่ะบางช่วง (ไม่ใช่ทุกเดือน/ทุกอาทิตย์นะคะ) หลายคนมองว่าเงินแค่นี้ทำอะไรได้ บอกตามตรงเลยนะคะ Adidas/Nike ที่เราไม่เคยซื้อในไทยเพราะมันก็ถือว่าเป็น brand ที่แพงสำหรับเราที่เป็นแค่นักศึกษาหรือพนักงานออฟฟิศมีเงินเดือนแค่หมื่นกว่าๆ แต่ต้องจ่ายค่าหอ/ค่าอาหาร/ค่าเดินทาง/ค่าโทรศัพท์เองทั้งหมดน่ะค่ะ ทั้งปีได้เงินเก็บไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำค่ะ มานี่เราซื้อหมดเลย เก็บกด ฮ่าๆ
- ทำไมถึงเลือกออแพร์?
เอาจริงๆก่อนจะเลือกออแพร์ มันก็ต้องทำความรู้จักกับโครงการก่อนเนอะ อย่างที่บอกเลยว่าเราชอบเลี้ยงหลานมาก หลานมาหาทีคือเลี้ยงได้ทั้งวัน แต่ก็ไม่ใช่คนที่ extrovert ขนาดนั้น กว่าจะทำความคุ้นเคยกับหลานได้ก็นานอยู่ค่ะ แต่ด้วยความที่คิดว่าเราเลี้ยงหลานรอดนี่แหละ ก็เลยคิดว่าโครงการนี้มันใช่เราแน่ เราใจเย็นมาก และ optimistic มากด้วย ผ่านปีหนึ่งมาได้และอยู่จนจะครบปีสองแล้วค่ะ ใกล้จะกลับไปรับความเฮงซวยในไทยเร็ววัน เพราะว่าไม่ได้แพลนอยู่ต่อที่นี่นั่นเองฮะ
- เข้าโครงการยังไง?
เข้าโครงการไม่ยากเลยค่ะ พอรู้รายละเอียดคร่าวๆแล้วเราก็โทรติดต่อเอเจนซี่ไปเลย เหมือนที่เคยเล่าว่าเราติดต่ออีกเอเจนซี่ไปก่อนแล้วพี่เขาบอกเราภาษาอังกฤษยังไม่รอด ให้ไปฝึกก่อนแล้วติดต่อมาอีกที จนมาเจออีกเอเจนซี่หนึ่งที่มาสัมมนาใกล้บ้านพอดี เลยเข้าร่วมด้วยนั่นแหละค่ะ แนะนำให้ทุกคนติดต่อเอเจนซี่ไปเลยนะ ถามพี่ๆเจ้าหน้าที่ในเอเจนซี่ที่สนใจเลยค่า และออแพร์อเมริกาเนี่ยจะต้องมาผ่านเอเจนซี่เท่านั้น ไม่สามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้เลยเหมือนกับฝั่งยุโรป มาค่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ใช่แล้วจ้าทุกคน เราจะมาแนะนำเอเจนซี่ในไทยที่เรารู้จักให้ทุกคนนะคะ ซึ่งจริงๆเราว่ามันมีอีกเยอะมาก แต่เอาที่เราเคยได้ยินชื่อและมีคนได้มาจริงๆในช่วง 2-3 ปีนี้ก่อนแล้วกันนะคะ เราขอบอกข้อมูลคร่าวๆที่เราทราบนะคะ เพราะเราก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของเอเจนซี่ ถ้าอยากได้ข้อมูลแน่นๆ ติดต่อไปทางเอเจนซี่เลยน้า
+ แนะนำเอเจนซี่ในไทย
1) American Learning - สุดท้ายก็ต้องเปิดเผยว่าเรามากับเอเจนซี่อะไร ใช่แล้วค่ะ เรามากับเอเจนซี่ American Learning (เอเจนซี่ไทย) หรือ AuPairCare (เอเจนซี่หลักในอเมริกา) อันนี้เราพูดได้เยอะหน่อย เพราะรู้จักกับพี่ๆเขาเกือบ 1 ปีเลย (เราเริ่มไปสัมมนาเดือนพฤศจิกายน 2018 - บิน 20 ตุลาคม 2019) ถ้าใครสนใจเอเจนซี่นี้ หลังไมค์มาถามได้ในทวิตเตอร์เช่นเคยค่ะ ทวิตเตอร์ หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของเอเจนซี่
คลิก (ข้อสำคัญคือจ่ายค่าโครงการหลังแมทช์ค่ะ)
2) Cultural Care - เราไม่ได้รู้รายละเอียดเท่าไหร่นะคะ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์และประสบการณ์ของออแพร์ในกลุ่มออแพร์ค่ะ สนใจศึกษาเอเจนซี่นี้เพิ่มเติม คลิก 3) Thai Au Pair - อันนี้เอเจนซี่ของนัทโลมาที่เราเคยไป collab ด้วยเองค่ะ ถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่เรารวบรวม ลองศึกษาจากเว็บไซต์ของเอเจนซี่ คลิก หรือสอบถามกับรุ่นพี่ออแพร์อย่างนัทดูได้นะคะ
คลิก (จ่ายค่าโครงการหลังสัมภาษณ์วีซ่าผ่าน) 4) Beloved Thai Au Pair - เอเจนซี่นี้เราเห็นโฆษณาผ่านเฟสบุ๊คบ่อยมากค่ะ ตอนกำลังเลือกเอเจนซี่ก็มองไว้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้สอบถามไป ยังไงลองศึกษาในเว็บไซต์ของเอเจนซี่ดูนะคะ คลิก 5) Asia Bridge - เอเจนซี่นี้เปิดมาไม่กี่ปีเองค่ะ แต่เคยได้ยินจากในกลุ่มบ่อยๆ เราเอาข้อมูลที่แสดงในเว็บมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น ไม่ได้รู้ข้อมูลเยอะ ยังไงลองสอบถามทางเจ้าหน้าที่ดูนะคะ หากเพื่อนๆท่านใดสนใจเอเจนซี่นี้ คลิก 6) Engenius - อันนี้มาใหม่เลยค่ะ เห็นว่ามีทุนเยอะมาก เพราะเพิ่งเปิดใหม่ น่าจะหากลุ่มลูกค้าใหม่ เรารวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ของเอเจนซี่มานะคะ แต่ไม่ได้ทราบลึกๆว่ามีรายละเอียดยังไง ทุกคนลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์เอเจนซี่ดูนะคะ คลิก 7) Edudee - เราได้ข่าวแว่วๆจากเอเจนซี่นี้มาบ้างในช่วง 3-4 เดือนนี้ค่ะ เหมือนเขาเป็นเอเจนซี่ที่ส่งออก W&T มามากมาย เคยทำออแพร์มาก่อน แล้วหยุดไป ตอนนี้กลับมาทำออแพร์อีกรอบแล้วนะคะ มีโปรโมชั่นพิเศษให้กับสายครูและสายสุขภาพด้วย ยังไงลองอ่านเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของเอเจนซี่ดูได้นะคะ เราว่าน่าสนใจอยู่เหมือนกัน ลองดูค่ะ
คลิก เรารวบรวมมาแค่นี้ก่อนนะคะ เพราะเห็นบ่อยๆในช่วง 2-3 ปีนี้ก็มีประมาณนี้ค่ะ จริงๆเราลองเสิร์จดูมันมีเอเจนซี่เยอะกว่านี้มาก แต่เขาไม่แสดงรายละเอียดในเว็บไซต์ไว้เลย เราเลยเอามาพูดถึงแค่นี้ก่อน ยังไงก่อนเข้าร่วม แนะนำเพื่อนๆสอบถามไปทุกเอเจนซี่นะคะ อย่ารีบร้อนค่ะ เพราะตอนเรา เราก็ถามไปแค่ 2 เอเจนซี่เอง เลยรู้สึกว่าไม่ได้ทำการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละเอเจนซี่เท่าไหร่ ส่วนปัจจัยที่แนะนำว่าควรเข้าเอเจนซี่ไหนดี เราแนะนำเป็นความน่าเชื่อถือ, เลือกราคาที่เราจ่ายไหวและจำนวนโฮสต์ในระบบแล้วกันค่ะ ถ้าโฮสต์น้อยก็แมทช์ยากอีกเนอะ ยังไงเพื่อนๆลองสอบถามเจ้าหน้าที่แต่ละเอเจนซี่ไปดูนะคะ :)
- ไม่มีงานทำ ไปได้มั้ย?
จากที่เราคลุกคลีกับพี่เอเจนซี่เรามาเกือบ 1 ปี พี่ที่ดูแลเราเขาเคยตอบคำถามเราไว้ว่ามาได้ค่ะ แต่ว่าต้องเป็นกรณีที่ผู้เข้าร่วมโครงการจบปริญญาตรีมาได้ไม่นาน ระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือนก่อนเดินทาง นั่นหมายความว่าน้องๆที่เรียนปี 4 อยู่เหมาะกับการมาแบบไม่ต้องมีงานทำค่ะ ส่วนของเราสมัครเข้าโครงการหลังจบปริญญาตรีได้ 5-6 เดือน พี่เขาเลยบอกว่ามันไม่เหมาะสม กลัวผ่านสัมภาษณ์วีซ่ายาก นั่นเลยเป็นเหตุให้เราต้องมีงานทำก่อนเดินทางมายังอเมริกาค่ะ
มีคนมาแชร์ว่าจบมัธยมปลาย (ม.6) ก็มาได้นะคะ ยังไงลองติดต่อกับเอเจนซี่ดูนะคะ ไม่จำเป็นต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยก็ได้ค่ะ ยิ่งมาเร็วยิ่งดีเลยน้า จะได้รับประสบการณ์ที่เร็วกว่าเพื่อนคนอื่น ฮ่าๆ
- เก็บชั่วโมงยังไง? ทำตอนไหน?
มีคนถามมาอีกนั่นแหละว่าเราไปเก็บชั่วโมงยังไง เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะติดต่อยากขนาดนั้นมั้ยนะคะ แต่ว่าเราอยู่ต่างจังหวัด เราก็เลยหา nursery แถวบ้าน แล้วก็เข้าไปถามเขาเลยว่าขอเก็บชั่วโมงได้มั้ย แล้วก็คุยรายละเอียดกับเขาว่าเราจะไปออแพร์นะ ขอเก็บชั่วโมงเลี้ยงเด็กได้มั้ย ซึ่งของเราทำเป็น volunteer ค่ะ ไม่ได้ทำเต็มวัน ทำวันละ 3-4 ชั่วโมงก็มี และไม่ได้เงินเดือนจ้า ฉะนั้นถ้าใครอยากได้เงินเดือนก็ไม่ต้องบอกนะคะว่ามาเก็บชั่วโมง สมัครเป็นงานไปเลย และขั้นตอนการเก็บชั่วโมงของเรา เราทำหลังจากที่สมัครเข้าร่วมโครงการกับเอเจนซี่ไปแล้ว ระหว่างที่เก็บชั่วโมงก็ทำเอกสารกับเอเจนซี่ไปด้วยค่ะ
เนื่องจากเรามากับ APC ทางเอเจนซี่เลย request ให้เก็บชั่วโมง 200 ชั่วโมงทางการ โดยต้องมีชั่วโมงดูแลน้องอายุ 0-2 ปี จำนวน 200 ชั่วโมงรวมอยู่ในนั้นด้วย เอาจริงๆเราเขียนเล่าส่วนของเราไปหมดแล้วในอีพี 01 ว่าเราเก็บชั่วโมงแบบไม่รีบร้อน เก็บชั่วโมงเกือบ 8 เดือนเลยค่ะ ยิ่งมีชั่วโมงเยอะยิ่งดีค่ะ เราเก็บรวมๆแล้วก่อนมาไปประมาณ 1,280 ชั่วโมงเลย เพราะตั้งใจจะมาหลังวันเกิดตัวเอง แต่พอดีโดน lay off ซะก่อน เนื่องด้วยสถานการณ์การเงินของทางโรงเรียน ที่แจ้งให้ออกก่อนถึงวันที่กำหนดให้ออกเพียงแค่ 5-6 วันเท่านั้น เป็นประสบการณ์ทำงานที่จะจำไปจนแก่เฒ่าเลยค่ะ ฮ่าๆ เป็นเหตุให้เราเลยล่าช้าตรงนี้ไป 1 เดือนค่ะ แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่าเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด ทาง daycare หรือสถาบันต่างๆปิดทำการ เห็นเพื่อนๆหลายคนก็ struggled กับตรงนี้อยู่ เราก็หวังว่าทุกคนจะได้ไปเก็บชั่วโมงกันในเร็ววันนะคะ สู้ๆค่า
- ขั้นตอนระหว่างเตรียมเอกสาร?
เราเขียนทุกขั้นตอนของเราไปแล้วในอีพี 01 ยังไงลองศึกษาดูได้นะคะ
คลิก พี่ๆเอเจนซี่ของเพื่อนๆน่าจะช่วยทุกขั้นตอนเหมือนกันกับเรา ข้อดีของการมีเอเจนซี่ช่วยเหลือก็ดีตรงนี้แหละค่ะ แล้วก็มีคนสอบถามว่ามาเราฝึกภาษายังไง เอาจริงๆเราอ่อนมากเลยค่ะ แต่ว่าเอเจนซี่เราเขาจะช่วยฝึกในระหว่างเตรียมเอกสารด้วย นั่นก็คือการดูหนังแล้วตอบคำถามเกี่ยวกับหนัง จริงๆพี่เขามีบททดสอบเยอะมาก แต่เราดูไปแค่ 2 เรื่อง และพี่เขาก็บอกว่าถึงเวลาออนไลน์แล้ว หมายถึง submit ทุกอย่างเพื่อหาโฮสต์แล้วนะคะ พี่เขาก็จะนัดตรวจเอกสารแล้วก็ทดสอบเกี่ยวกับออแพร์อีกรอบก่อนจะให้เราส่งเอกสารให้สำนักงานใหญ่ และเมื่อสำนักงานใหญ่ตรวจเอกสารของเราเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะแจ้งให้เราทำแบบทดสอบด้านจิตวิทยาแล้วก็กด submit เลย รอ 1-2 อาทิตย์ให้เอเจนซี่หลักในอเมริกาอนุมัติ (แล้วแต่นะคะว่าจะใช้เวลานานมากมั้ย ของเรา 1 อาทิตย์ค่ะ) และเราก็เริ่มออนไลน์เพื่อหาโฮสต์ได้เลยค่า
Pro - ระหว่างออนไลน์ และการเตรียมตัวสำหรับวีซ่า
แล้วก็นั่นแหละค่ะ เราได้เขียนขั้นตอนทุกอย่างไปหมดแล้วในอีพี 01 เลยไม่รู้จะพูดถึงยังไงดี แต่มาแนะนำตอนสัมภาษณ์เล็กน้อยแล้วกันนะคะ พอได้ออนไลน์แล้วทุกคนก็จะมีโฮสต์เข้ามาขอแมทช์ เราก็ต้องนัดสัมภาษณ์กับโฮสต์นะคะ โดยเรานัดหมายทางอีเมลทั้งหมดเลย ซึ่งตรงนี้พี่เอเจนซี่เราเขามีไกด์ให้หมดเลยค่ะ ไม่ยากเลย ช่วยเหลือดีมากๆค่ะ แล้วก็แนะนำว่าให้ตรวจสอบวันเวลาดีๆนะคะ เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่มาก เวลาในแต่ละภูมิภาคก็จะแตกต่างกัน อันนี้เราก็ได้เขียนแนะนำในอีพี 06 ไปเรียบร้อยแล้ว ยังไงเพื่อนๆลองศึกษาในบล็อกของเราดูนะคะ โดยแนะนำตามหัวข้อดังนี้ค่ะ
• การสัมภาษณ์กับโฮสต์
คลิก • ขั้นตอนการเตรียมเอกสารและการสัมภาษณ์วีซ่า
คลิก • สถานที่และเวลาในอเมริกา
คลิก
ถ้าใครมีคำถามอะไร เรายินดีตอบมากๆค่ะ แต่ว่าเวลาจะไม่ตรงกัน เราช้ากว่าประเทศไทย 14 ชั่วโมงเลย ตอบช้าอย่าว่ากันนะคะ ส่วนข้อไหนที่เราได้เขียนไว้แล้ว รบกวนอ่านบล็อกก่อนจะถามน้า เพราะเราว่าเราก็เขียนไปเยอะแหละ ฮ่าๆ ฝากด้วยค่ะทุกคน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in