พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกผิดอะไรกับสิ่งที่พวกเราเลือก เพราะว่าไม่ว่าเราจะเลือกอะไร มันก็ไม่เคยจะถูกต้องสำหรับทุกอย่างบนโลกใบนี้ และไม่ว่าเราจะเลือกหรือไม่เลือกอะไรก็ตามที โลกใบนี้มันก็เคลื่อนไหวของมันอยู่ตลอด รวมทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี เพราะฉะนั้น มันไม่เป็นอะไรเลยถ้าเราจะเลือกอะไร และพวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลว่ามันจะมีผลกระทบต่อโลกใบนี้อย่างไร
อย่างที่ฉันได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ และหนังเรื่องนี้ก็คอยย้ำกับพวกเราตั้งสองครั้งว่า “โลกมันยุ่งเหยิงของมันอยู่ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ” และ “โตเกียวเคยเป็นเมืองใต้น้ำมานานกว่า 300 ปี มันก็แค่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม” หนังเรื่องนี้มันอยากบอกกับพวกเราจริงๆว่า มันไม่เป็นอะไรเลย ถ้าเราจะเลือกความสุขหรือสิ่งที่รักมาก่อนโลกใบนี้ ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่หนังอยากจะบอกกับพวกเรา นอกเหนือจากนั้น ฉันคิดว่ามันมีอีกอย่างหนึ่งที่หนังอยากบอกกับพวกเราเหมือนกัน ในตอนทึ่ีฉันดูหนังเรื่องนี้อยู่ ฉันไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า “สภาพอากาศ” มันมีผลกระทบต่อจิตใจมนุษย์ขนาดไหน เพราะฉันคิดว่า “ทัศนคติที่เรามอง” ต่อ “สิ่งที่เกิดขึ้น” นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่ฉันก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ผ่านการดูหนังเร่ืองนี้ว่า “สภาพอากาศ” มันเป็นเรื่องสำคัญต่อการใช้ชีวิตอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ตอนจบของหนัง ตัวเอกทั้งสองคนไมไ่ด้สนใจเกี่ยวกับ “สภาพอากาศ” อีกต่อไปแล้ว พวกเขาแค่ต้องการที่จะอยู่ด้วยกัน นี่มันสามารถตีความได้ว่า ต่อให้พวกเขาจะเจอพายุที่ใหญ่ขนาดไหน ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร ตราบใดที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ที่จริงแล้วมันสามารถตีความได้หลายอย่าง มันไม่จำเป็นที่จะตีความถึงความสัมพันธ์โรแมนติดได้อย่างเดียว
ฉันคิดว่า ฉันสามารถสรุปมันได้อย่างนี้ “ตราบใดที่คุณอยู่กับความรักของคุณ ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร ต่อให้แม้ว่าวันหนึ่งจะต้องเจอกับพายุ ไม่ว่ามันจะเป็นพายุแค่ชั่วคราวหรือตลอดไปก็ตามที”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in