มีไดอะล็อกเท่ ๆ จากหนังเรื่อง Chungking Express ที่ฉันชอบมาก เป็นตอนที่พระเอกของเรื่อง นายตำรวจรหัส 223 (Cop223) ได้กล่าวไว้ในวันที่ใจซบเซาว่า
"ในเวลาที่ผิดหวังเรื่องความรัก สำหรับผม ผมจะออกไปวิ่ง เพราะการวิ่งจะเผาผลาญน้ำในร่างกาย มันจะได้ไม่มีเหลือมาเป็นน้ำตา ไม่มีน้ำตาแล้วผมจะร้องไห้ได้ยังไง" (We're all unlucky in love sometimes. When I am, I go jogging. the body loses water when you jog, so you have non left for tears)
หง่อวว อยากจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับโควทแห่งปีดัง ๆ เป็นเพราะตอนอกหัก ไม่ได้ออกไปวิ่งออกกำลังนี่เอง น้ำตาถึงได้ไหลออกมามากมายไปหมด แม้จะเป็นอะไรที่เซอร์เรียลอยู่บ้าง เพราะต่อให้วิ่งออกกำลังไปถึงดาวอังคาร น้ำในร่างกายก็ไม่มีวันเหือดหายไปได้ แต่ให้ผ่านนะคะ เสียเหงื่อจนไม่เหลือกลายมาเป็นน้ำตาเนี่ยนะ หว่องกว่านี้ไม่มีแล้ว ด้วยความที่มี Cop223 เป็นไอดอล สาย Hiking อย่างเราผู้ถือคติว่า "เสียเหงื่อเพราะเดินขึ้นเขา ดีกว่าเสียน้ำตานั่งเศร้าให้เรื่องความรัก" จึงชวนกันไปเดิน DRAGON'S BACK สันเขาหลังมังกร แค่ชื่อก็ดูยิ่งใหญ่แล้ว สิ่งแรกคือการถอยรองเท้าผ้าใบ Nike Run คู่ใหม่ที่ Fa Yuen Street มงก๊ก เอามาใส่เดินโดยเฉพาะ นับว่าเป็นการลงทุนอันคุ้มค่าของมนุษย์ผู้อกหัก
Dragon's back ตั้งอยู่บนพื้นที่อุทยาน Shek O ส่วนที่เป็นหลังมังกรจะเป็นแหลมยื่นลงสู่ทะเล ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะฮ่องกง ซึ่งนิตยสาร TIME Asia เคยยกให้เป็น The best urban hiking trail เลย ความเดอะเบสต์ของสรรพสิ่งก็เป็นอะไรที่เราไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
เราออกเดินทางกันแต่เช้า ออกจากป่าคอนกรีตเข้าสู่ป่าไม้ใบเขียว ๆ ของจริง นั่ง MTR จากคอสเวย์เบย์ไปลงสถานี Shau Kei wan อันไม่เคยคุ้น ออก Exit 3 นั่งบัสต่อไปอีกหน่อยถึงจุดสตาร์ท To Tei Wan เสบียงพร้อม น้ำดื่มพร้อมเอาใส่ไว้ในเป้ แต่ไม่ลืมโบกกันแดดมาอย่างหนา รวมไปถึงยาดมและพัดลมมือถือขนาดเล็ก ก็ไม่รู้จะแบกไปทำไม เพราะเดิน ๆ ไปได้สักพักก็แทบจะขว้างทุกอย่างที่อยู่ในเป้ทิ้ง เป็นความรู้สึกที่ว่า แม้แต่สำลีก็ยังว่าหนักเกินไป
คนที่มาร่วมขบวนสู่หลังมังกรเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ 70% ไม่แน่ใจว่ามีคนไทยไหม แต่เพราะไม่มีใครพูดภาษาไทย ฉันก็เลยสรุปเอาเองในใจว่าคงไม่มี
เราเดินไปตามเส้นทางที่มีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ ต้นไม้ทอดเงาร่มรื่น ธรรมชาติระดับสิบบวก ๆ เหมือนได้มาสูดออกซิเจนให้เต็มปอด พอเดินไปสักพักเริ่มเข้าสู่ที่โล่ง ความรู้สึกชื่มชมร่มเงาหายวับ แดดแรงระดับเทียบเท่าหน้าเตาไฟ คิดว่าน้ำในร่างกายคงไม่เหลือมาเป็นน้ำตาแน่นอน ในขณะที่เหนื่อยเป็นหมาหอบแดดอยู่นั้น ระหว่างทางก็เดินสวนกับอากง อาม่า ซึ่งเดินกันชิลล์น่าดู จนอยากเดินเข้าไปถามอาม่าเอาความเหนื่อยไปทิ้งไว้ตรงไหน ทำให้เราเองก็ฮึกเหิมตาม ความรู้สึกประหนึ่งจอมยุทธท่องไปในยุทธภพกับเส้นทางนับหมื่นลี้เลยทีเดียว
ระหว่างทางมีทั้งทางราบและทางขึ้นบันได พอให้บริหารกล้ามเนื้อขา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็ได้มาเจอกับจุดชมวิวที่สวยจนแทบลืมหายใจ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง สวยเหมือนอยู่บนสวรรค์ น้ำทะเลสีฟ้าตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า เป็นวิวแบบพาโนรามาที่สวยมากจริง ๆ
จากจุดนี้ เราเดินไปตามแนวเขา เพื่อไป Shek O Peak จุดสูงสุดของหลังมังกร ตลอดทางที่เดินคือวิวทะเล ทะเล และทะเล มีเกาะน้อยใหญ่ มองย้อนกลับไปดู คุณพระ!! นี่พี่ข้ามเขามาแล้วกี่ลูกคะ อยู่ดีก็มาโผล่เขานี้ยังกะหนังอินเดียเลย ไม่นานนักก็ถึงจุดสูงสุด ให้เราไดัพักดืู่มน้ำและถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย ข้างบนนี้ลมพัดแรง แต่แดดก็แรงเช่นกัน ท่ามกลางอุณหภูมิอันร้อนระอุ แดดเปรี้ยงเบอร์ร้อยชนิดที่เอาผ้ามาตาก ผ้าก็แห้งในสามนาที นั่งพักไม่นานนักเราก็ต้องลุกขึ้นเดินทางกันต่อ ใจจริงก็อยากเปิดเพลงเศร้านั่งทำมิวสิค แต่แดดเบอร์นี้พี่คงอินดี้เป็นนางเอกเอ็มวีไม่ไหว
จากนั้นก็เดินต่อมายังเส้นทางอันเป็นสันหลังเขา เพื่อพิชิตหลังมังกร เดินไปได้สักพัก วิวทะเล หาดทราย สายลมและสองเราก็หายไป เจอต้นไม้อันร่มรื่นคล้ายกับตอนขามา มีคนหิ้วจักรยานเดินผ่านไป ก็นึกสงสัยในใจว่าพี่ปั่นไปได้ยังไงคะ เพราะตั้งแต่เดินมา ยังไม่เห็นพื้นเรียบให้ปั่นโดยสะดวกเลย
ลงจากจุดสูงสุดของหลังมังกรมาสักหน่อย ก็จะเจอป้าย Shek O Road คือสามารถกลับได้เลย ถ้าจะไม่เดินต่อ แต่ถ้าใครพลังยังเหลือเฟือก็ให้ไปทาง Tai Long Wan ทางด้านขวา แน่นอนว่ายอดหญิงอย่างเราต้องเลือกไปต่อ แม้ว่าใจอยากจะกลับเลยก็ตาม แต่ไหน ๆ มาแล้วก็ควรจะไปต่อให้จบทริป
เส้นทางที่เดินเป็นทางราบ บางช่วงเป็นก้อนหินเล็กก้อนใหญ่ เดินไปเรื่อย ๆ จนเจอถนน ต้องขอบ่นเลยว่าร้อนอิ๊บอ๋ายเลยฮะ ร้อนมากกกก มากแบบกอไก่แปดล้านตัว บางทีเวลาจะอกหักก็ควรเลือกฤดูบ้าง ถ้าไปอกหักตอนฤดูหนาวก็คงจะเดินได้สบายกว่านี้ นี่เศร้าใจไม่พอ สังขารก็จะไม่ไหวไปอีก คนที่ไม่ค่อยได้เดินระยะไกลก็มักจะเหนื่อยเป็นปกติ
ทั้งหมดนี้ใช้เวลา 4 ชั่วโมงโดยประมาณ ระยะทางทั้งหมด 8.5 กิโลเมตรเบา ๆ เราก็มาถึงด้านล่างด้วยอาการขาเปลี้ย ปกติจะชอบจ็อกกิง วิ่งแค่ในสวนสาธารณะหรือในฟิตเนส ใช้เวลาอย่างมากก็แค่ชั่วโมงเดียว เจอสามชั่วโมงเข้าไปข้าเจ้าถึงกับทรุด แต่การเดินเขาครั้งนี้ก็มีข้อดีอีกข้อ นั่นคือในเวลาที่เราเหนื่อย เราจะนึกถึงแค่ตัวเอง พิจารณาสังขารวนไปไม่มีแก่ใจจะคิดถึงใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมนายตำรวจรหัส 223 ถึงได้วิ่งเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in