ฝนตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา วันนี้ฉันมีนัดทานข้าวเย็นกับพี่เสี่ยวลี่ที่ร้านอาหารไทยแถวโซโห (South of Hollywood Road) ฉันแวะเซ็นสัญญาเช่าและเอากุญแจห้องที่ออฟฟิศของเบตตี้แถวเซ็นทรัล (Central) ที่อยู่เยื้องกับร้านหยงเก่ (Yung Kee) ร้านห่านย่างอร่อยล้ำอันดับหนึ่งในใจของคนไทย แถวนี้มีธนาคารกรุงเทพสาขาเซ็นทรัลด้วย เบตตี้เป็นชื่อของพนักงานบริษัทจัดหาที่พักในฮ่องกง ฉันไม่แน่ใจว่าเธอมีชื่อเป็นภาษากวางตุ้งไหม แต่คนฮ่องกงรุ่นใหม่ล้วนแล้วแต่ตั้งชื่อเป็นภาษาฝรั่งกันหมด เธอช่วยหาที่พักให้ตามเรทราคาที่แจ้งไป สาเหตุที่ฉันจะย้ายออกจากที่เดิมนั่นเพราะข้างห้องชอบมีกิจกรรมเข้าจังหวะกันทุกคืน ย้ำว่าทุกคืน ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ฉันอยู่ที่นี่ เคยเขียนโน้ตไปแปะตรงประตูว่าพี่ช่วยเบา ๆ กันหน่อยเถอะค่ะ พลีสสส นอนไม่ได้มาหลายคืนจนตาจะเป็นแพนด้าฮ่องกงแล้วว้อยยย แต่ผลคือเสียงเงียบไปประมาณสามวันแล้วก็ตึง ๆ ตัง ๆ กันอีก หมดปัญญาจะกล่าว ได้แต่ปล่อยให้เขามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นกันไป ส่วนห้องด้านล่างเป็นห้องของหนุ่มสาวชาวปากีฯหรืออินเดียหรือเนปาลอะไรแถบ ๆ นั้น พวกพี่ช่างขยันทำแกงกะหรี่และอาหารที่มีรสฉุนทุกวี่ทุกวันเหลือเกิน บางทีนั่งทำงานอยู่ดี ๆ ก็จะได้กลิ่นเนื้อสัตว์ผสมกลิ่นเครื่องเทศแรง ๆ โชยมา ผ้าที่ตากไว้ตรงระเบียงก็จะมีกลิ่นอาหารติดจนต้องเอามาซักใหม่จนเหนื่อย แก้ปัญหาด้วยการอบผ้าให้แห้งสนิท คาร์ดิแกนบางตัวก็หดลดไซส์จาก m เป็น xxxxs ไปอีก แหย่นิ้วก้อยลงไปข้างเดียวก็คับติ้วแล้ว ครั้นจะไปบอกให้เขาหยุดทำกับข้าวก็ไม่ได้ คิดจะทำส้มตำปูปลาร้าหรือผัดพริกแกงสู้ก็ใช่เรื่อง จะมาทะเลาะกันเรื่องอาหารก็เกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติ การย้ายออกจึงเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่าน่าจะดีที่สุด อ้ปป้าบอกให้ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกัน ห้องคุณพี่มีสองห้องนอน มีห้องรับแขกอีกหนึ่ง ครัวกว้าง ห้องน้ำในตัว จะย้ายเข้าไปแบบไม่ต้องจ่ายเงินสักเหรียญเลยก็ได้ ฉันบอกไปว่าไม่เป็นไร การเป็นแฟนกันก็ควรจะเกรงใจกัน ไม่ใช่เอาความเป็นคนรักมารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวซึ่งกันและกัน อย่างน้อยก็ควรมีสเปซให้เราทั้งคู่ได้หายใจหายคอบ้าง
ทางเข้าออฟฟิศของเบตตี้เป็นทางแคบ ๆ เก่าแก่เหมือน ๆ กับตึกแถวทั่วไปในฮ่องกง มีตี่จู่เอี๊ยะตั้งอยู่ด้านในตึก มีผลไม้เป็นเครื่องเซ่น แถมลิฟต์ยังดูวังเวงจนจิตตก ในลิฟต์มีประตูเหล็กยืดแบบโบราณที่ต้องดึงมาปิดอีกชั้น เห็นแล้วถึงขั้นอุทานในใจ พี่สร้างมาตั้งแต่สมัยไหนคะเนี่ย โบราณกว่านี้ไม่มีแล้ว เกิดลิฟต์ไปโผล่อีกมิติทำไง หนังสือพิมพ์ฮ่องกงคงได้พาดหัว "สาวไทยหายตัวลึกลับ" อะไรแบบนี้ ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่าที่เห็นนั่นเป็นงานวินเทจนะหนู หาดูที่ไหนไม่ได้แล้วนะ อยากได้อารมณ์ย้อนยุคก็ต้องขึ้นลิฟต์แบบนี้ ที่น่ากลัวกว่าสิ่งลี้ลับก็กลัวลิฟต์ตกเนี่ยแหละ วันดีคืนดีมีน็อตสักตัวชำรุด ก็คงไม่ต้องสืบว่าจะมีชีวิตรอดกลับไทยไหม จะไม่ขึ้นก็ไม่ได้ เพราะออฟฟิศของเบตตี้อยู่ตั้งชั้นสิบ จะให้เดินขึ้น เดินลงก็กลัวจะเป็นลมตายไปซะก่อน ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนท่องพุทโธวนไปอยู่ในลิฟต์ สตินะคะสติ
เสร็จธุระแล้ว ฉันยกข้อมือดูนาฬิกาบอกเวลาว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงก่อนถึงเวลานัด ฝนตกหนักได้เพียงชั่วครู่ก็หยุด ถนนที่มีน้ำเจิ่งนองระบายได้รวดเร็ว ตรงนั้นตรงนี้ก็ไม่มีน้ำขัง งงเหมือนกันว่าน้ำไหลไปลงท่อระบายน้ำตรงไหน แดดยามบ่ายแก่เริ่มทอแสงอ่อน ๆ เป็นปรากฏการณ์หลังฝนตกที่ชุ่มฉ่ำมีชีวิตชีวาดีจัง ออกจากออฟฟิศของเบตตี้แล้ว ก็เดินเล่นชมความคึกคักของย่าน Central เดินทะลุซอกนั้นออกซอกนี้ ไปโผล่ลานไควฟงหรือ เลิน ไขว่ ฝู ในภาษากวางตุ้ง (Lan Kwai Fong) ย่านไนต์ไลฟ์ของคนฮ่องกง และรวมไปถึงคนต่างชาติแบบเรา ๆ ด้วย สีสันของฮ่องกงยามค่ำคืนเป็นสิ่งที่หลายต่อหลายคนติดอกติดใจนักหนา แถวนี้มีร้านสวย ๆ ให้ชมจนเพลิน ทั้งร้านน้ำชา ร้านขนม แกลเลอรีศิลปะ งานโชว์อินทีเรียร์สวย ๆ ของแต่งบ้านเก๋ ๆ เดินเรื่อย ๆ จนมาเจอป้ายทางขึ้น Central mid-level escalators บันไดเลื่อนกลางแจ้งที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งใครเป็นแฟนหนังเรื่อง Chungking Express ของเฮียหว่อง การ์ไว ก็จะพอจำได้ว่าเป็นฉากหนึ่งในหนัง เป็นบันไดที่อาเฟย นางเอกของเรื่องย่อตัวลงกับพื้นบันไดเพื่อที่จะมองหาห้องของ Cop663 หรือเฮียเหลียง (เหลียงเฉาเหว่ย) พระเอกของเราที่อยู่ริมบันไดเลื่อน ซึ่งบันไดนี้ถูกบันทึกไว้ใน Guinness World Records ว่าเป็นบันไดเลื่อนกลางแจ้งที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวทั้งสิ้น 800 เมตร หรือถ้าวัดระยะในแนวดิ่งเท่ากับ 135 เมตร มีทางออกเป็นระยะ ๆ ตามจุดต่อของบันไดเลื่อน Central mid-levels escalator แห่งนี้ได้เปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ.1993 สาเหตุที่สร้างเนื่องจากในพื้นที่บริเวณนี้เป็นเนินเขา ถ้าใช้ยานพาหนะอย่างรถยนต์ก็จะขับซิกแซกวนขึ้นไปจนเวียนหัว ถ้าเดินขึ้นตรง ๆ ก็จะย่นระยะทางและเวลากว่า และที่สำคัญยังช่วยลดการใช้รถยนต์ด้วย แต่บันไดเลื่อนจะเปิดปิดขึ้นลงเป็นเวลา ในเวลา 6.00-10.00 บันไดเลื่อนจะเลื่อนลง 10.30-24.00 บันไดจะเลื่อนขึ้น มาถึงที่นี่แล้วอยากจะกระทำความหว่อง ทำตัวเป็นเฟย หว่องก็ไม่ผิดอะไร ฉันขึ้นบันไดเลื่อนโดยยืนชิดขวา เพื่อที่จะเว้นที่ไว้ให้ใครที่รีบ ๆ เดินแซงไปก่อน ระหว่างที่บันไดเลื่อนไป ใจก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มองผู้คนที่เดินสวน มองตึกรามบ้านช่องตามแนวบันไดเลื่อนที่มีต้นไม้ขึ้นประปราย ด้วยลักษณะภูมิประเทศของฮ่องกงเป็นเกาะ พื้นที่น้อย ทำให้ต้องสร้างตึกสูง แต่น่าแปลกที่ฮ่องกงติดอยู่ในลิสต์เมืองน่าอยู่อันดับต้น ๆ ของเอเชีย ส่วนมากผู้คนที่เดินสวนกันเกือบ 70% เป็นฝรั่ง ลักษณะเหมือนคนที่มาอาศัยอยู่เป็นระยะเวลานาน ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยว ดูพวกเขาคุ้นเคยกับทุกซอกมุมของพื้นที่นี้ดีด้วยซ้ำ
ฉันไม่ลืมที่จะเอาบัตรปลาหมึก (Octopus) ไปแตะกับตู้ MTR Fare Saver เพื่อรับส่วนลดค่าโดยสารรถไฟใต้ดินได้เงินคืนมา 2HKD ดูรัฐบาลฮ่องกงใส่ใจประชาชนดีมากจริง ๆ ที่นี่สะดวกสบายแทบทุกอย่าง ระบบขนส่งอะไรก็ดี เสียแต่ว่าค่าครองชีพสูงลิ่วก็เท่านั้น ช่วงเวลาที่ฉันขึ้นเป็นตอนเย็น ซึ่งตอนขึ้นก็ชิลล์ไป ไม่มีปัญหาอะไร ชมตึกชมร้านรวงสวยเก๋ข้างทาง จนขึ้นไปจนสุดจนถึงป้ายรถเมล์ด้านบน แต่ตอนลงลืมคิดไปว่าบันไดจะไม่เลื่อนในเวลานี้ จะเลื่อนอีกทีก็เช้าเลย ผลคือต้องเดินลงจนขาแทบขวิด จับเวลาดูแล้ว ใช้เวลาไปทั้งสิ้นกว่าครึ่งชั่วโมง กว่าจะลงมาถึงร้านไทยตรงโซโหก็เล่นเอาเหนื่อยเป็นหมาหอบแดดเลย แต่ดูคนฮ่องกงจะเดินตัวปลิวสบาย ๆ ดูไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย สังเกตดูว่าคนที่นี่เอวบางร่างฟิตกันทุกคน เพราะแค่เดินขึ้นเดินลงก็เผาผลาญไปแล้วล้านแคลฯ
แบตฯมือถือหมดเกลี้ยง แบตฯคนก็ต้องชาร์จ เพราะอ่อนแรงเต็มทน ขาสั่นพั่บ ๆ เลยแม่จ๋า เมื่อเผาผลาญพลังงานไปเยอะ ก็เติมเข้าไปเยอะมากเช่นกัน ยิ่งกินก็เหมือนยิ่งหิว ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะหิวจัดหรือเพราะคิดถึงอาหารไทยมากกว่ากันก็ไม่รู้ แต่รู้แค่ว่าเป็นมื้อที่อร่อยมากมายเป็นพิเศษจริง ๆ กินจนจานเรียบเป็นเงาวับชนิดที่ว่าถ้าหมาเห็นหมาก็คงร้องไห้แน่นอน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in