คงไม่ผิดนัก หากจะพูดว่าสามปีในเคนยาและแอฟริกาถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สุดยอดของชีวิต
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2011 ผมออกเดินทางจากประเทศไทยเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่เลขานุการโทที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี สาธารณ-รัฐเคนยา (ก่อนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการเอกในปลายปีนั้น)
แม้จะเป็นการออกไปปฏิบัติงานนอกประเทศเป็นครั้งแรก (ก่อนออกเดินทาง ผมรับราชการมาแล้วเจ็ดปี แต่ก็ทำงานอยู่แต่ในประเทศไทย) แต่ผมก็ได้รับโอกาสให้ปฏิบัติงานครบทุกรูปแบบ แถมยังได้ใช้ชีวิตในมิติอื่นอย่างครบครัน
ผมจึงสามารถพูดได้เต็มปากว่าการเดินทางไปเคนยาทำให้ผมเข้าใจงานของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศอย่างครบถ้วน แถมยังทำให้ผมโตขึ้น และได้รู้ว่าผมชอบงานที่ตัวเองทำมากแค่ไหน
ผมกลับมาประจำการที่ไทยอีกครั้งเมื่อธันวาคม 2013
หลายคนชอบถามผมว่า คิดถึงเคนยาบ้างมั้ย?
ไม่เลย...คือคำตอบของผม
ไม่ใช่เพราะไม่ประทับใจ แต่เป็นเพราะผมรู้สึกว่าได้ทำงาน ได้ใช้ชีวิต และได้เรียนรู้โลกอย่างเต็มที่แล้ว ผมจึงไม่เคยฟูมฟายถึงเคนยาและแอฟริกา หรือเสียดายที่กลับมาก่อนทั้งๆ ที่ผมสามารถอยู่ต่อได้อีกหนึ่งปี
เอาเข้าจริง เมื่อต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ ผมรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะก้าวออกจากวิถีชีวิตที่คุ้นเคย ละทิ้งชีวิตสบายๆ ใน ‘คอมฟอร์ตโซน’ แล้วกลับไปเริ่มสิ่งใหม่ที่ท้าทายให้ต้องดิ้นรนและขวนขวาย พร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าในเส้นทางที่ไม่รู้จักอีกครั้ง
แต่สามปีในเคนยาและแอฟริกาของผมมีเรื่องราวและสิ่งที่ได้พบเห็นมากมาย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานที่สถานทูต และที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในดินแดนแอฟริกาตะวันออกที่อาจยังไม่เป็นที่รับรู้และรู้จักของคนไทยมากนัก
ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในชาติตะวันตกทั้งในสมัยก่อนและสมัยปัจจุบัน ถือเป็นธรรมเนียมของนักการทูตที่เวลากลับมาจากต่างประเทศจะต้องเขียนบันทึกเรื่องราวการทำงานในประเทศนั้นๆ ประหนึ่งเป็นรายงานสำคัญที่จะต้องให้กระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาล หรือเจ้าผู้ครองนคร (ในสมัยโบราณ) ของตนรับทราบว่าที่หายหน้าหายตาไปหลายปี เราได้ไปทำอะไรมาบ้าง
เรื่องเล่าที่ปรากฏในรายงานหรือบันทึกการทำงานเหล่านั้นไม่ใช่แค่เรื่องสถิติข้อเท็จจริงอย่างเดียว หากยังรวมถึงความรู้สึกนึกคิด ประสบการณ์การใช้ชีวิต รวมทั้งแง่มุมต่างๆ ของสังคมที่นักการทูตได้พานพบและสนใจ ซึ่งไม่ได้มีแต่เรื่องการเมืองการปกครองหรือแนวนโยบายด้านการต่างประเทศเพียงอย่างเดียว
ผมเห็นว่าธรรมเนียมการเขียนบันทึกประสบการณ์ที่ว่านี้เป็นเรื่องที่ดี
ที่ผ่านมา ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศของไทยหลายท่านก็เคยเขียนเรื่องราวบอกเล่าประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศไว้มากมาย ทั้งในรูปแบบของงานเขียนเชิงสารคดี บันเทิงคดี หรือไม่ก็เรื่องสั้นหรือนวนิยายที่มีฉากและตัวละครเกิดขึ้นในประเทศที่ไปประจำการ
ด้วยเหตุนี้ ผมถึงตั้งใจว่า หากมีโอกาสได้ไปอยู่ที่ไหน ก็จะพยายามกลับมาเล่าเรื่องที่เห็นและเรื่องที่ทำด้วย เพราะนอกจากหวังจะถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้พบแล้ว ผมยังหวังต่อไปว่า ข้อเขียนในหนังสือเล่มนี้น่าจะทำให้ผู้อ่านได้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตการทำงานของพวกเรา—ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่ถูกส่งไปประจำการที่สถานทูตและสถานกงสุลของไทยในที่ต่างๆ ซึ่งหลายครั้งก็ไม่ได้สบาย (หรือลำบาก) อย่างที่ใครๆ คิด
หากหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์และให้ความเพลิดเพลินใจแก่ผู้อ่านบ้าง ผมขอมอบความดีทุกประการให้กับกระทรวงการต่างประเทศที่ผมภาคภูมิใจ แต่หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผมก็ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว และผมก็ขอขอบคุณสำนักพิมพ์แซลมอนที่ให้โอกาสในการเผยแพร่ข้อเขียนชิ้นนี้แก่สาธารณชนด้วยครับ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in