เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฝันนั้นฉันเป็นของเธอKSRENEBUNNY
Chapter 6: Under arrested
  • “เฮ้ย!! ”

    เกิ้ลถูกดันตัวเข้ากับกำแพงด้านข้าง แขนซ้ายโดนบิดก่อนจะรู้สึกถึงโลหะเย็นล็อคไว้ที่ข้อมือทั้งสองข้าง

    เดี๋ยวนะ...นี่คือโดนจับเหรอ?

    ร่างกายของเธอโดนมือปริศนาตบไปรอบๆ ตัวเพื่อค้นหาอาวุธ จมูกพลันได้กลิ่นหอมชวนลุ่มหลงล่องลอยมาจากทางด้านหลัง หากแต่สถานการณ์มันไม่ได้ชวนให้น่าลุ่มหลงตามเนี่ยสิ

    “อะไรเนี่ยคุณ!! ”

    “คิดจะปล้นร้านกลางวันแสกๆ ...หึ! นอนคุกยาวแน่งานนี้”

    เสียงหวานของผู้หญิงดังขึ้นด้านหลังเธอ ปล้นเหรอ? หน้าตาแบบนี้เนี่ยนะจะไปปล้นใครเขาได้ แค่ไล่หมาหน้าปากซอยหมามันยังไม่กลัวเลยเถอะ แล้วนับประสาอะไรกับคน

    “ตำรวจงั้นเหรอ? ”

    “ใช่”

    “นี่ตำรวจจริงป่ะเนี่ย? ขอดูตราหน่อย”

    เกิ้ลที่โดนดันหลังอยู่รีบเอ่ยถาม เห็นในหนังเขาขอดูเลยเอาบ้าง ก่อนที่ตราตำรวจจะถูกยื่นไปตรงหน้าให้เธอเห็นในระดับสายตา

    “ให้ดูแค่นี้ของปลอมรึเปล่า? ”

    ตำรวจสาวใช้นิ้วเรียวพลิกบัตรแสดงตัวตน บนบัตรนั้นมีทั้งรูปถ่ายและชื่อ แต่ไม่ทันได้พินิจพิจารณาอย่างละเอียด คุณเธอก็เก็บตราไปแล้วดึงเกิ้ลให้หันไปทางรถ

    “ไปคุยกันที่โรงพักเนอะ”

    หลายคนที่เดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์ก็หยุดยืนมองเกิ้ลอย่างสนใจ เธอจึงโวยวายใส่ตำรวจสาวที่ใช้มือดันตัวเธออยู่ด้านหลัง

    “คุณตำรวจจับผิดคนแล้ว ฉันไม่ใช่โจร!! ”

    “เฮ้อ~ ไปหลอกเด็กเถอะจ้า”

    ร่างสูงทอดสายตามองสารรูปตัวเองที่ยับเยินไม่มีชิ้นดีในเงาสะท้อนของกระจกรถ เรือนผมยุ่งๆ กระเซอะกระเซิงมีกิ่งไม้ติด เสื้อมีเศษหญ้าเศษใบไม้ติดอยู่เต็ม หน้าตามอมแมมเลอะฝุ่นเปื้อนดิน เห็นดังนั้นถึงกับอุทาน

    “เชี่ยย”

    ถึงจะไม่ใช่โจรก็เถอะแต่ก็เถียงไม่ได้ว่าเหมือนพวกคนจรจัดไร้บ้านจริงๆ นั่นแหละ

    ก่อนจะส่งสายตาเหลือบมองเงาสะท้อนของอีกคนในกระจก แม้จะเห็นไม่ค่อยชัดแต่ใบหน้าที่เข้ารูป ดวงตากลมโตกับผมที่ถูกมัดรวบอย่างง่ายๆ หรือแม้กระทั่งเสื้อแขนยาวสีดำ ทุกอย่างดูเข้ากันและลงตัวไปหมดจนกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือหน้าตาแบบนี้เป็นดารานางแบบได้สบายๆ

    เอ๊ะ...หรือนี่เขาถ่ายหนังกันอยู่นะ?

    ว่าแล้วก็รีบหันมองซ้ายมองขวา จนคุณเธอสงสัย

    “อะไรของเธอ? ”

    “อ้าวไม่ได้ถ่ายหนังกันอยู่เหรอ? ”

    ตำรวจสาวกระชากแขนเกิ้ลให้หันกลับมามองเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยพูดเสียงเข้ม

    “ตลกมากป่ะ? ”

    “จริงๆ แล้วคุณแค่รับบทเป็นตำรวจสาวพราวเสน่ห์ใช่มั้ยล่า? โถ่~ ทีหลังบอกดีๆ ก็ได้คุณ ฉันน่ะ...โอ๊ยยย!! ”

    ยังไม่ทันพูดจนจบเกิ้ลก็ถูกเตะเข้าที่ขาจนเสียหลักล้มลงคุกเข่าก่อนจะโดนกดไหล่ไว้

    “ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ”

    “โอเคๆ ยอมแล้ว”

    “ขึ้นรถ”

    คนหน้าสวยเปิดประตูแล้วดันเกิ้ลให้ไปนั่งที่หลังรถ แล้วเดินอ้อมไปทางคนขับเพื่อขึ้นรถขับตรงไปยังสถานีตำรวจ เกิ้ลมองไปตามทางก็มีแต่คำถามที่สงสัยมากมายผุดขึ้นอยู่ในหัวราวกับดอกเห็ด


    ไม่นานนักก็ถึงสถานีตำรวจ เป็นสถานีที่ใหญ่ในระดับนึงเลยแหละ จนเธออดคิดไม่ได้ว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานีตำรวจหลักของย่านนี้เลยด้วยซ้ำ ตำรวจสาวร่างเล็กจอดรถแล้วเปิดประตู เกิ้ลจึงได้ลงมายืนมองหน้าคนที่จับกุมเธอ พอได้ทอดสายตามองชัดๆ คือบอกเลยว่าสวยกว่าที่มองผ่านเงาสะท้อนล้านเท่า ไหนจะผิวขาวละเอียดราวกับน้ำนม จมูกโด่งเข้ารูป กับริมฝีปากบางสีชมพูดูสุขภาพดีนั่นอีก ภาพที่ประจักษ์ตรงหน้าเล่นทำเอาหัวใจของเธอกลับเต้นเร็วขึ้นมาเสียดื้อๆ นี่มันสวยระดับไร้ที่ติแล้วแม่เจ้าโว้ยย...

    “เดินไป”

    “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”

    “บอกให้เดินไปไง! ”

    คนหน้าสวยผลักเกิ้ลที่แกล้งเดินอ้อยอิ่ง

    “เร็วๆ ร้อน”

    “รีบก็ไปก่อนสิ”

    “เอ๊ะ!! ”

    คุณตำรวจคนสวยตวัดสายตามามองเกิ้ลที่รีบก้มหน้างุดๆ เดินไปอย่างว่าง่าย เมื่อถึงชั้นสอง ผู้ต้องหาจำเป็นอย่างเกิ้ลก็ถูกค้นร่างกายอีกครั้งและจับตรวจหาสารเสพติดทันที คนหน้าสวยยึดสร้อยเงินที่เป็นของติดตัวเพียงชิ้นเดียวไป ก่อนที่เกิ้ลจะโดนลากตัวไปสอบปากคำในห้องที่มีกระจกกั้น เกิ้ลมองไปยังกระจกสะท้อนนั้น อีกฝั่งคงมีคนยืนมองเหมือนในหนังสินะ แล้วร่างบางก็วางสมุดก่อนจะนั่งลงตรงข้ามร่างสูง

    “ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีเงิน ไม่มีสารเสพติดในร่างกาย ไม่มีอะไรสักอย่าง คนเร่ร่อนงั้นเหรอ? ”

    “เร่ร่อนบ้านคุณสิ! ”

    “กรุณาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยค่ะ”

    “ก็บอกแล้วป่ะว่าจับผิดคน”

    คนสวยตรงหน้าเมินคำพูดของเธอ

    “ชื่ออะไร? ”

    “เกิ้ล”

    “ชื่อนามสกุล”

    “ทยาวีร์ จิรศักดากุล”

    “เขียน”

    ร่างบางดันสมุดกับปากกาไปตรงหน้าเกิ้ลที่ยกสองมือที่โดนตรึงไว้โดยกุญแจมือขึ้นมาในระดับอกพลางทำหน้าตากวนประสาทใส่คนตรงหน้า

    “ฉันเขียนไม่ถนัด”

    “เขียน”

    คนตรงหน้าเอ่ยเสียงเข้ม เกิ้ลจึงหยิบปากกามาเขียนชื่อลงในสมุดอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ตำรวจสาวคนนั้นจะฉีกกระดาษแล้วเดินออกไปนอกห้อง อึดใจเดียวเธอก็กลับมา

    “บอกชื่อจริงเธอมา”

    “ก็บอกไปแล้วไงจะเอาอะไรอีก? นี่กำลังเล่นตลกอะไรอยู่? หรือฉันอยู่ในรายการเดอะเฟคโชว์? ไม่สนุกแล้วนะแบบนี้”

    ปั้ง!!!

    ตำรวจสาวตบโต๊ะอย่างแรงทำเอาเกิ้ลสะดุ้งสุดตัว สีหน้าและแววตาของเธอดูดุดัน จริงจังและน่ากลัวกว่าตอนแรกหลายเท่า

    “นี่ยังคิดว่าถ่ายทำรายการอีกเหรอ? ”

    “ก็ใช่น่ะสิ! คุณไม่เคยเห็นฉันบ้างรึไง? ”

    “.....”

    เกิ้ลมองคนตรงหน้าแล้วเอ่ยพูดอย่างมีความหวัง เดี๋ยวยัยตำรวจนี่ก็ต้องนึกออกแน่ว่าเธอเป็นใคร

    “โฆษณารองเท้ารีเวิร์สไง”

    “ยี่ห้ออะไรไม่รู้จัก”

    “โหคุณไปมุดหัวอยู่ไหนมาเนี่ยไม่รู้จักรีเวิร์ส”

    “.....”

    เธอมองคนตรงหน้าที่คิ้วเริ่มขมวดยุ่งอีกครั้ง

    “งั้นโฆษณาเกมมิ่งเกียร์ล่ะ? ผู้หญิงที่เล่นเกมอ่ะ”

    “.....”

    “อีเกิ้ลคลัทช์กัปตันทีมเรท แชมป์บียอนด์โปรลีค 9 สมัยล่ะรู้จักมั้ย? ”

    “หยุดแต่งเรื่องได้แล้ว ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับเธอทั้งวัน”

    “เฮ้อ...”

    เกิ้ลหลับตาพลางถอนหายใจยาว ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเธอจริงๆ ด้วยสินะ

    “บอกชื่อจริงเธอมา”

    “ฉันบอกไปแล้ว”

    “ในทะเบียนราษฎร์ไม่มีชื่อของเธอมันก็แปลว่าเป็นชื่อปลอมไง!! ”

    “โธ่เว้ยก็บอกไปแล้วไงว่านั่นคือชื่อจริง!! ”

    ปึ้งง!!

    เกิ้ลเผลอใช้สองมือทุบโต๊ะด้วยความโมโห สายตาจ้องเขม็งไปยังคนฝั่งตรงข้าม ก็บอกไปแล้วจะเซ้าซี้หาอะไรอีกวะ? แต่การกระทำนี้ไม่ได้ส่งผลให้คนตรงหน้าดูตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อย

    “บ้านอยู่ไหน? ”

    “อยู่หมู่บ้าน xx ที่ถนน xx”

    ตำรวจสาวถอนหายใจยาวพลางนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน เธอใช้นิ้วมือเรียวนวดคลึงบริเวณขมับก่อนจะกดเสียงให้ต่ำลงกว่าเดิม

    “เลิกโกหกสักที แล้วบอกความจริงมา”

    จ๊อกกกกกกกกก

    เสียงท้องร้องดังลั่นห้อง เจ้าของกระเพาะถึงกับต้องเอาสองมือขึ้นมาปิดหน้าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงแถมลามไปยันหูด้วยความอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ในขณะที่คนตรงหน้าเผลอหลุดยิ้มออกมา

    “หิวเหรอ? ”

    “.....”

    ถามแต่ไม่รอคำตอบ ร่างบางลุกขึ้นสาวเท้าเดินออกจากห้องไป สักพักเธอก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับขนมปังและน้ำก่อนจะวางไว้ตรงหน้าเกิ้ล

    “กินซะ”

    “ฉันไม่หิว”

    จ๊อกกกกกกกกกก

    “จะกินดีๆ หรือจะให้ฉันยัดใส่ปากเธอ? ”

    “ก็ฉันโดนใส่กุญแจมือเนี่ย! จะกินยังไง!! ”

    ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพลางยกมือทั้งสองข้างที่ถูกพันธนาการไว้ขึ้นอีกครั้ง ตำรวจสาวจึงแกะห่อขนมปังแล้ววางให้ เกิ้ลมองขนมปังก่อนจะมองหน้าคนตรงหน้าเหมือนเป็นเชิงขออนุญาต

    “เชิญ”

    หลังจากสิ้นเสียงของร่างบาง เกิ้ลก็รีบหยิบขนมปังกัดกินอย่างหิวโหย คนสวยจึงบริการเปิดฝาขวดน้ำให้ เมื่อกินขนมปังเสร็จก็รีบยกขวดน้ำขึ้นดื่มอึกๆ ก่อนจะเช็ดปากด้วยแขนเสื้อของตัวเอง

    “ทีนี้จะยอมบอกได้รึยังว่าชื่ออะไร”

    “บอกไปหมดแล้ว!! ”

    “แล้วจะเข้าไปปล้นร้านทำไม? ”

    “ปล้นบ้าอะไร อาวุธก็ไม่มี ฉันหิวข้าว! จะไปขอข้าวกิน!!! ”

    ถึงจะกินขนมปังเข้าไปแล้ว แต่เธอก็ไม่หลงกลยอมรับสิ่งที่ไม่ได้กระทำหรอกนะยัยตำรวจจอมเจ้าเล่ห์ ฝันไปเถอะ

    “ทำมากี่ครั้งแล้ว? ”

    “ไม่เคยทำ”

    “จะปากแข็งไปถึงไหน? ”

    เกิ้ลหัวเราะในลำคอ พอจะเข้าใจแล้วแหละ ฝีมือแบบนี้น่าจะเพิ่งบรรจุล่ะสิท่า

    “นี่คุณ เป็นตำรวจใหม่เหรอ? หรืออยากทำงานเอาหน้า? แค่จับยังผิดคนแบบนี้ ชาตินี้ทั้งชาติคงเป็นได้แค่หมู่แหละว้า”

    คนสวยตรงหน้ายกยิ้มมุมปาก ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

    “ขอโทษนะคะ ลืมแนะนำตัว ฉันพันตำรวจตรีหญิงอาริน พิทักษ์ชัยชนะ สังกัดหน่วยป้องกันและปราบปราม”

    เธอส่งสายตามองคนที่เพิ่งจะแนะนำตัวว่าชื่ออารินด้วยสายตาไม่เชื่อ หน้าเด็กงี้เนี่ยนะสารวัตร? ก่อนจะขำเสียงดังลั่นห้องสอบสวน

    “ฮ่าๆ พันตำรวจตรี? สารวัตรอ่ะนะ? นี่สิแกงหม้อใหญ่ เชื่อก็โง่ละ”

    รอยยิ้มเหยียดหยันปรากฎบนใบหน้าสวย พลางเอื้อมมือหยิบตราตำรวจที่เหน็บไว้ที่เข็มขัดกางเกงก่อนจะสไลด์ไปให้เกิ้ลที่หยิบตราขึ้นมาดู บัตรที่เธอแสดงตัวตนตั้งแต่ตอนแรกที่ขอดู เกิ้ลเพิ่งได้สังเกตจริงๆ

    พ.ต.ต.หญิง อาริน พิทักษ์ชัยชนะ

    สังกัดหน่วยป้องกันและปราบปราม

    ร่างสูงวางตราไว้ที่เดิม คนสวยตรงหน้าเป็นสารวัตรจริงๆ อย่างที่พูด อารินเอื้อมมือไปหยิบตรามาติดไว้ที่เดิมและเก็บข้าวของ

    “ในเมื่อเธอไม่ยอมรับ ก็รอเจ้าทุกข์มาแจ้งความแล้วกัน ฉันแจ้งพื้นที่ไปแล้ว อีกไม่นานก็คงมีคนมาชี้ตัว”

    “ฉันไม่ได้ทำผิด”

    “อีก 48 ชม. รู้กัน”

    อารินยกยิ้มมุมปากแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เกิ้ลนั่งอยู่ในห้องคนเดียว ไม่นานก็มีตำรวจหนุ่มเข้ามาควบคุมตัวเธอไปยังห้องขัง


    หลังจากถูกปลดกุญแจมือแล้ว เธอก็เดินลากเท้าเข้าไปนั่งทรุดตัวที่พื้นอันเย็นเฉียบในห้องขัง ยังดีที่ได้ขังเดี่ยวเพราะไม่อย่างนั้นเธอคงสติแตกแน่ ร่างสูงค่อยๆ ชันเข่าขึ้นแล้วกอดสองขาของตัวเอง ความรู้สึกเหนื่อยล้าประเดประดังเข้ามารุมทึ้งตัวของเธอราวกับมีมือนับพันที่คอยฉุดรั้งเธอให้ตกลงไปยังทะเลแห่งความสิ้นหวังจนทำให้เธอต้องร้องไห้ออกมาเพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยล้าผ่านทางหยาดน้ำตาได้สักนิดก็ยังดี

    ฝันอยู่งั้นเหรอ? ถ้าฝันอยู่ก็ตื่นขึ้นสักทีเถอะ เพราะคิดถึงแม่ พี่แกต มะขามเหลือเกิน อยากกลับไปกอดทุกคน ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเธอบ่งบอกได้ว่าตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งนึกขึ้นได้

    “เราตกจากชั้น 6 ไม่ใช่เหรอ? ”

    คิ้วขมวดยุ่ง เหมือนกดรีเพลย์ภาพความทรงจำเหล่านั้น มะขามที่คอยปลอบเธอว่าจะไม่เป็นไร คอยชวนเธอคุยไม่ให้เธอหมดสติ กับความเจ็บปวดเจียนตายที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างในตอนนั้น

    ก้มลงมองมือทั้งสองข้างที่ขยับไปมา ลองเอื้อมมือไปตีขาทั้งสองข้างเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดไปรอบๆ ห้องขัง

    “ตกจากชั้น 6 ก็ไม่น่าจะเดินคล่องแบบนี้นี่? หรือนี่คือฝันจริงๆ? ”

    ร่างสูงลองเอามือตบหน้าตัวเองเต็มแรง

    เพี้ยะ!!

    “โอ๊ยย! ”

    มือลูบใบหน้าตัวเองที่เริ่มรู้สึกชาจากแรงตบเมื่อครู่ ปากก็พลางบ่นพึมพำ

    “ก็เจ็บนี่ อะไรวะ? อย่างกับหลุดมาอีกเซิฟ”

    นั่งบ่นพึมพำคนเดียวเหมือนคนสติไม่ดีทั้งคืนจนผล็อยหลับไป


    แก๊งๆๆ

    “มากินข้าว”

    เกิ้ลถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงนิทราด้วยเสียงเคาะลูกกรง นายตำรวจหน้าตาบอกบุญไม่รับสอดถาดเข้ามาในห้องขังแล้วเดินจากไป เธอนั่งทอดสายตามองเหม่อไปที่ขนมปังสองแผ่นในถาดโดยไม่คิดจะแตะต้อง สิ่งที่คิดเมื่อคืนยังคอยวนเวียนในหัวจนไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น กินหรือไม่กินก็มีค่าเท่ากัน เพราะในโลกที่เธอต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีแม้แต่คนรู้จัก มันก็ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็นหรอก

    สักพักใหญ่ นายตำรวจคนเดิมก็เดินกลับมาพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง

    “ออกมาได้แล้ว มีคนมาชี้ตัว”

    แล้วตำรวจคนนั้นก็พาเธอเดินไปยังห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ผนังทุกด้านเป็นสีขาว กระจกส่องทางเดียว และผู้ต้องหาคนอื่นๆ ยืนเฉยๆ ได้ไม่นานเธอก็ถูกพากลับไปยังที่เดิม

    เหตุการณ์เมื่อครู่วนเวียนไปอีกเป็นสิบรอบ คงจะมีเจ้าทุกข์เดินทางมาชี้ตัวเรื่อยๆ นั่นแหละ แต่ก็ไม่มีใครชี้เธอสักคน ก็แหงล่ะ! เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่

    เวลาล่วงเลยผ่านไปจนครบ 48 ชม. ในขณะที่เธอนั่งกอดเข่าอยู่มุมเดิมก็มีตำรวจหนุ่มคนหนึ่งไขประตูห้องขังแล้วเปิดค้างไว้อย่างนั้น

    “คุณครับ ออกมาได้แล้ว”


    เกิ้ลลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเดินออกมาจากห้องขัง รู้สึกได้ถึงร่างกายที่ซูบผอมลงเนื่องจากเธอไม่ได้กินอะไรเลยตลอด 2 วันที่ผ่านมา อาศัยดื่มแค่น้ำเปล่าประทังชีวิตและนั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง หลังจากรับสร้อยเงินที่เป็นของติดตัวเพียงชิ้นเดียวเสร็จแล้ว ก็เดินตามนายตำรวจไปเรื่อยๆ จนเขาหยุดยืนแล้วหันมายกยิ้มอย่างเป็นมิตร

    “นั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ”

    พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง เธอเลื่อนสายตามองไปรอบๆ ห้องทำงาน แฟ้มและเอกสารทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่น ปากกาหัวกระต่ายสีม่วงพาสเทลสุดน่ารักถูกวางไว้บนเอกสารกองหนึ่ง คอมพิวเตอร์ที่ดูยังไงสเปคก็น่าจะเกินการใช้งานถูกตั้งไว้ที่ริมโต๊ะทำงานด้านซ้าย ในระหว่างที่เธอกำลังกวาดสายตามองสำรวจห้องอยู่ เสียงประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่อารินจะเดินมานั่งประจำที่

    วันนี้เธอมาในชุดนอกเครื่องแบบเช่นเคย เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์สีเข้ม และรองเท้าผ้าใบสีขาว ใบหน้าสวยถูกแต่งบางๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ผมสีน้ำตาลเข้มที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังแบบลวกๆ และสีหน้าที่เรียบเฉยขณะที่กวาดสายตาอ่านเอกสารในมือ ก่อนจะละสายตามาจ้องมองคนตรงหน้า

    “ไม่มีใครชี้ตัวเธอ”

    “แหงล่ะ! ก็บอกแล้วไงว่าจับผิดคน”

    “แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอไม่มีความผิด”

    “อะไรอีกล่ะ? ”

    ยัยป้าขี้เก๊กวางเอกสารลง กว่าจะเป็นสารวัตรได้นี่ก็คงจะสามสิบปลายๆ ไม่ก็ปริ่มๆ วัยทองแล้วสินะ นี่คงไปฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม เมโสมาแบบจัดเต็มเลยล่ะสิหน้าถึงได้ตึงเปรี๊ยะขนาดนี้ หึ!

    “เธอเป็นคนจรจัด มันผิดกฎหมาย ฉันจะส่งเธอไปสถานดูแลคนไร้บ้าน”

    “ฉันก็บอกบ้านไปแล้วไง! ”

    “เลิกโกหกสักทีเถอะ”

    อารินเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เกิ้ลก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน บอกไปเป็นรอบที่ล้านแล้วมั้ยเจ๊!

    “ไม่ได้โกหก!! ”

    “งั้นก็ไปอยู่สถานคนไร้บ้าน!! ”

    “เอะอะเสียงดังอะไรกันสารวัตรควีน? ”


    ยัยป้านั่นรีบลุกขึ้นทำความเคารพ หากประเมินจากยศที่อยู่บนบ่ากับอกแล้วเดาว่าน่าจะเป็นผู้กำกับการ แต่ที่แน่ๆ ยศสูงกว่ายัยป้าอารินแน่นอน แต่ความสวยนี่ไม่แพ้กันเลยแฮะ สน.นี้เค้าคัดแต่คนหน้าตาดีมาทำงานกันรึไง

    “ไม่มีอะไรค่ะท่าน ฉันกำลังจะส่งคนจรจัดไปสถานดูแล”

    “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นคนจรจัด! อ้อ...นี่ผู้กำกับใช่มั้ยคะ? ขอโทษนะคะ ลูกน้องคุณทำงานห่วยแตกมาก จับผิดตัวไม่พอยังมาหาว่าฉันโกหกทั้งๆ ที่ฉันก็บอกข้อมูลไปหมดแล้ว”

    ผู้กำกับสาวรีบยกมือขึ้นห้ามทันทีเมื่อเห็นว่าลูกน้องของตนกำลังจะอ้าปากเถียง ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

    “ฉันเข้าใจค่ะว่าคุณมีบ้าน แต่ในทะเบียนราษฎร์มันไม่ขึ้นข้อมูลของคุณ”

    “....”

    “งั้นเอาอย่างงี้ เดี๋ยวฉันจะให้สารวัตรควีนไปส่งคุณที่บ้านแล้วกันนะคะ แต่ถ้าไม่มีบ้านจริงๆ ฉันคงต้องให้สารวัตรพาคุณไปสถานดูแลแทน”

    “ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

    เกิ้ลส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ผู้กำกับหน้าสวย แล้วหันไปยกยิ้มอย่างท้าทายให้ควีนที่ยืนหน้าหงิกอยู่ที่โต๊ะ

    “ตามนั้นนะสารวัตร”

    “รับทราบค่ะท่าน”

    พูดจบผู้กำกับคนสวยก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ควีนจ้องมองเธอตาขวางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น

    “ลุก! ฉันจะไปส่ง! ”

    “ฉันถึงบ้านเมื่อไหร่จะฟ้องคุณให้หมดตัวเลยคอยดู”


    เกิ้ลขึ้นรถอย่างว่าง่าย รู้สึกได้ว่าตัวเองอารมณ์ดีขึ้นในรอบหลายวันที่ผ่านมา มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ตกตึกแล้วจะเดินต่อได้ เหตุการณ์นั้นมันก็แค่ฝันที่เหมือนจริง มันไม่เคยเกิดขึ้นซะหน่อย ก่อนที่เธอจะบอกทางจนควีนขับไปถึงจุดที่เกิ้ลระบุว่าเป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน

    “ไหนล่ะหมู่บ้าน? ”

    “อะไรกัน…”

    ร่างสูงมองสภาพแวดล้อมที่มีเค้าเดิมอยู่ก็จริง แต่จุดที่เคยเป็นหมู่บ้านของเธอมันกลับกลายเป็นสวนสาธารณะไปเสียแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน! หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเลยนะ!!

    “ฉันไม่ได้โกหก นี่มันถนนหมู่บ้านฉันจริงๆ ”

    “ตามใจเธอเถอะ ฉันจะไปส่งที่สถานดูแลแล้วกัน”

    จ๊อกกกกกกกกก

    เสียงท้องของเธอคำรามขึ้นมาขัดจังหวะอีกครั้ง แล้วทำไมท้องมันต้องร้องตอนอยู่กับยัยป้ามหาภัยนี่ตลอดด้วยวะคะ! ควีนถอนหายใจพลางหันไปมองคนด้านข้าง

    “เมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวที่จ่าเตรียมให้รึไง? ”

    “ฉันไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว”

    ควีนยกมือซ้ายขึ้นกุมขมับ ริมฝีปากบางก็พร่ำบ่นอย่างเหนื่อยล้า

    “เฮ้อ~ แทนที่เลิกเวรแล้วจะได้กลับไปแช่น้ำอุ่นสบายๆ กลับต้องมาหาข้าวหาน้ำให้คนเร่ร่อนเนี่ยนะ? ”

    “ก็ไม่ต้องหา จะเอาฉันไปส่งที่ไหนก็รีบๆ ไปเถอะ”


    ไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก จนควีนขับรถไปจอดข้างร้านสะดวกซื้อ ไม่ลืมที่จะหันมากำชับคนข้างๆ

    “รอนี่นะ อย่าคิดหนี”

    เกิ้ลมองร่างบางลงจากรถแล้วเดินหายเข้าไปในร้าน เธอนั่งรอในรถสักพัก แต่ด้วยเสียงท้องที่คำรามไม่หยุดหย่อนจนเธอต้องยอมแพ้ตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งของยัยป้าสุดโหดที่บอกให้รอ ร่างสูงเปิดประตูก้าวลงจากรถ เป็นจังหวะเดียวกับที่ควีนเดินออกจากร้านพอดี เธอจึงรีบยกสองมือขึ้นเหนือหัวแล้วรีบพูดรัวเพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด

    “ฉันไม่ได้จะหนี แต่ฉันอยากกินโคล่า”

    “งั้นถือนี่ไว้”

    ควีนยื่นถุงผ้าที่ใส่อาหารไว้ให้ร่างสูง กลิ่นหอมจากอะไรสักอย่างในถุงทำเอาเกิ้ลกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความหิว เธอหยิบขนมปังไส้กรอกขึ้นมาเตรียมจะกินแต่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนลั่นบริเวณนั้น

    “ช่วยด้วยค่ะ! มีคนกระชากกระเป๋า!! ”

    “รออยู่นี่!! ”

    คนหน้าสวยหันมาบอกเกิ้ลอย่างรีบร้อนแล้วเร่งฝีเท้าออกวิ่งไปตามทิศทางของเสียงนั้นทันที เธอมองตามสารวัตรร่างเล็กที่วิ่งตามโจรกระชากกระเป๋า ร่างสูงจึงยัดขนมปังกลับที่เดิมแล้ววางถุงผ้าทิ้งไว้ที่หลังรถ ก่อนจะตัดสินใจออกวิ่งตามคนหน้าสวยไป


    เธอมองสิ่งของและสภาพแวดล้อมรอบตัวก่อนจะเริ่มใช้ทักษะปาร์กัวร์ข้ามสิ่งกีดขวางอย่างคล่องแคล่ว ปีนรั้วตะแกรงข้ามไปอย่างง่ายดาย รู้สึกได้ถึงร่างกายที่เบาหวิว น่าจะเป็นเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งสองวัน แต่พลังงานที่มีอยู่ก็จำกัดเช่นกัน ไม่นานก็วิ่งไล่ทันควีนที่หันมามองเกิ้ลด้วยตาที่เบิกโพลง สีหน้าแสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด

    “นี่เธอ…”

    คนร้ายใช้จังหวะที่ควีนเสียสมาธิวิ่งเข้าไปทางบันไดหนีไฟ และฉลาดพอที่จะไม่ลืมล็อคกลอนเพื่อไม่ให้ตามขึ้นมาได้ แล้ววิ่งหนีขึ้นไปบนตึกร้าง เกิ้ลจึงกระโดดชิ่งกำแพงไปจับระเบียงชั้น 2 ไว้และดึงตัวเองปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว

    ร่างบางมองเกิ้ลที่ปีนป่ายอย่างชำนาญถึงกับอ้าปากค้างกับภาพที่ปรากฎตรงหน้า

    “นั่นมันบ้าอะไรกันเนี่ย? ”

    ก่อนที่ร่างสูงจะถีบคนร้ายที่กำลังวิ่งหนีสุดชีวิตกระเด็น ทำให้ศีรษะของคนร้ายฟาดกับกำแพงจนสลบเหมือด

    “เฮ้อ~ จับได้สักที”


    เกิ้ลนั่งยิ้มแป้นแล้นรอควีนที่วิ่งตามขึ้นมา สายตาของสารวัตรร่างเล็กมองสลับไปมาระหว่างเกิ้ลกับคนร้ายที่นอนแบ็บอยู่ที่พื้น สีหน้าบ่งบอกได้เลยว่าไม่อยากจะเชื่อกับภาพที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้า แต่พูดถึงยัยป้านี่ก็อึดดีแฮะ อายุก็น่าจะปริ่มๆ วัยทองแต่วิ่งมาได้ขนาดนี้แล้วหอบเหนื่อยแค่นิดเดียว เป็นคนอื่นคงจะหอบหายใจแฮ่กๆ ไปแล้ว

    “นี่เธอวิ่งตามฉันมา? ”

    “อือฮึ”

    “เพื่อจับโจรกระชากกระเป๋า? ”

    “อาฮะ”

    คนหน้าสวยถึงกับกุมขมับ สิ่งที่เธอไม่อยากจะเชื่อคือ คนจรจัดอย่างเจ้าเด็กตาตี่นี่ไล่จับโจรเก่งมาก

    “มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย? ”

    “นี่คุณ! รีบๆ มาใส่กุญแจมือหมอนี่ก่อนเถอะ ถ้ามันหนีอีกรอบฉันไม่ไล่จับให้แล้วนะ! ”

    ควีนจึงรีบหยิบกุญแจมือที่เอวมาพันธนาการโจรกระชากกระเป๋าเพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้อีก หัวขโมยรู้สึกตัวก็ดิ้นขลุกขลักแต่แล้วก็โดนร่างสูงจัดการตบเข้าที่หัวไปหนึ่งที

    “หนีเก่งนักเหรอห๊ะ! ”

    “จับกูทำไม! กูไม่ได้ทำอะไรผิด”

    “อ๋อเหรอ”

    เกิ้ลง้างมือจะฟาดอีกครั้งแต่ถูกควีนรั้งข้อมือไว้

    “เธอจะบ้าเหรอ! ”

    “ก็…”

    สารวัตรร่างเล็กหันไปพูดกับคนร้ายเพื่อตัดบทเกิ้ลที่กำลังจะต่อความยาว

    “คุณถูกจับแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด สิ่งที่คุณพูดอาจถูกใช้ในการพิจารณาคดีกับคุณในชั้นศาล คุณมีสิทธิ์ที่จะมีทนายความ ถ้าคุณไม่สามารถจ้างทนายได้ ศาลจะแต่งตั้งทนายให้กับคุณ เมื่อคุณได้ทราบถึงสิทธิ์นี้แล้วคุณพร้อมที่จะตอบคำถามในข้อกล่าวหาที่มีต่อคุณอีกหรือไม่? ”

    ควีนกล่าวคำบอกสิทธิ์พลางดึงร่างคนร้ายให้ลุกขึ้น เกิ้ลส่งสายตามองคนตรงหน้าอย่างชื่นชม

    “โอ้โห~ โคตรเท่เลยอ่ะ ฉันขอพูดแบบนั้นบ้างได้ป่ะ? ”

    “เธอไม่มีสิทธิ์พูดประโยคพวกนั้น”

    ควีนตอบเสียงเรียบ แต่เจ้าเด็กน้อยตรงหน้าก็ยังทำเป็นเก๊กหน้าขรึมแล้วเอ่ยพูดเสียงเข้ม

    “คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูดอาจถูกใช้ในชั้นศาล แล้วอะไรต่อนะคุณ? ”

    “มันไม่ใช่ของเล่น”

    “แต่…”

    “เอ๊ะ! ฉันบอก…”

    เมื่อหัวขโมยเห็นว่าควีนเบนความสนใจไปยังเกิ้ล เขาก็ใช้ไหล่กระแทกตัวสารวัตรร่างบางจนเสียหลักและพยายามหนี แต่ก็ไม่รอดเงื้อมมือเกิ้ลที่กระโดดถีบจนกระเด็นอีกครั้งจนต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

    “โอ๊ย! ตำรวจบ้าอะไรวะทำร้ายประชาชน? ”

    “โทษทีนะลุง บังเอิญว่าฉันไม่ใช่ตำรวจน่ะ ฮี่ๆ ”

    ควีนหยิบของกลางขึ้นมาสะพายไว้ที่ไหล่แล้วเดินหน้าหงิกมาควบคุมตัวคนร้าย โดยครั้งนี้มีเกิ้ลช่วยคุมตัวด้วยเพราะเธอเองก็แทบไม่มีแรงจะช่วยวิ่งไล่จับแล้ว


    “รอนี่นะ เดี๋ยวฉันมา”

    เมื่อมาถึงโรงพัก ควีนก็หันไปสั่งเกิ้ลที่นั่งมองเธอตาแป๋วเหมือนเด็กน้อย แล้วลากหัวขโมยตัวปัญหาจากหลังรถเพื่อไปส่งตัว

    พักใหญ่กว่าเจ๊แกจะเดินออกมาจากโรงพัก ร่างสูงมองสารวัตรร่างเล็กที่เดินกลับมาที่รถแล้วขับออกไปโดยที่ไม่เอ่ยถามอะไรสักคำ จริงๆ ระหว่างที่นั่งรอเธอจะหนีก็ได้ แต่คิดว่าอย่างยัยป้าหน้าสวยนี่ก็คงไปตามจับเธอกลับมาได้ง่ายๆ อยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องหนีให้เปลืองแรงดีกว่า

    ทางด้านควีนที่ลอบมองคนไร้บ้านที่สุดแสนจะน่าสงสัยด้วยหางตาเป็นระยะ คิ้วขมวดยุ่ง จนในที่สุดเธอก็เอ่ยปากถาม

    “เธอเป็นใครกันแน่? ”

    “ฉันบอกคุณไปหมดแล้ว”

    “เธอทำแบบนั้นได้ยังไง? ”

    “ทำอะไร? ”

    เกิ้ลหันไปมองสารวัตรร่างเล็กด้วยความสงสัย

    “เธอวิ่งไล่จับโจรคล่องมาก แถมปีนป่ายก็เก่ง เธอเป็นสตั๊นท์เหรอ? ”

    “ใช่ที่ไหนล่ะ ฉันแค่เล่นปาร์กัวร์”

    “ปาร์กัวร์? ”

    ร่างสูงมองใบหน้าสวยของควีนที่เอียงคอเล็กน้อย คิ้วเลิกขึ้นด้วยความสงสัย อา...จู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงอีกแล้ว มันเป็นผลจากการที่โหมวิ่งเมื่อกี้แน่ๆ

    “ไม่รู้จักปาร์กัวร์เหรอ? ”

    “มันคืออะไร? ”

    “กีฬาเอ็กซ์ตรีมชนิดหนึ่งที่วิ่งตีลังกา ข้ามสิ่งกีดขวาง คล้ายๆ กับฟรีรันนิ่งนั่นแหละ”

    “อ๋อฟรีรันนิ่ง”

    “อ้าวทีงี้รู้จักซะงั้น”

    อะไรของเจ๊แกวะเนี่ย ไม่รู้จักปาร์กัวร์แต่รู้จักฟรีรันนิ่ง เธอเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงง

    “ไม่อยากจะเชื่อเลย ฉันโดนคนเร่ร่อนวิ่งแซงและจับโจรให้เนี่ยนะ? รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

    “คุณขาสั้นเองรึเปล่า? ”

    สายตาพิฆาตตวัดมองมายังเธอแล้วจ้องอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ดีที่ไฟเขียวพอดี ทำให้ควีนต้องหันกลับไปโฟกัสที่การขับรถ จนในที่สุดเธอก็จอดที่ข้างทางแล้วลงจากรถ

    เกิ้ลจึงมีโอกาสได้สังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ เห็นแต่ร้านอาหารเรียงรายเป็นแถว ร่างบางยกมือเคาะกระจกฝั่งที่ร่างสูงนั่งเมื่อเห็นว่าคนหิวยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถ

    “หิวไม่ใช่รึไง? ”

    “ไม่หิว”

    จ๊อกกกกกกกกกกก

    พอได้กลิ่นหอมของอาหาร ท้องไม่รักดีก็เรียกร้องความสนใจขึ้นมาทันที บ้าเอ๊ยยย ต้องให้อับอายอีกกี่รอบกันเนี่ย

    “ลงมาได้แล้ว ฉันหิว”


    ติดตามอ่านตอนล่าสุดได้ใน ReadAWrite น้าาาาาา จิ้มตรงนี้ได้เลยยย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in