“เฮ้ย!! ”
เกิ้ลถูกดันตัวเข้ากับกำแพงด้านข้าง แขนซ้ายโดนบิดก่อนจะรู้สึกถึงโลหะเย็นล็อคไว้ที่ข้อมือทั้งสองข้าง
เดี๋ยวนะ...นี่คือโดนจับเหรอ?
ร่างกายของเธอโดนมือปริศนาตบไปรอบๆ ตัวเพื่อค้นหาอาวุธ จมูกพลันได้กลิ่นหอมชวนลุ่มหลงล่องลอยมาจากทางด้านหลัง หากแต่สถานการณ์มันไม่ได้ชวนให้น่าลุ่มหลงตามเนี่ยสิ
“อะไรเนี่ยคุณ!! ”
“คิดจะปล้นร้านกลางวันแสกๆ ...หึ! นอนคุกยาวแน่งานนี้”
เสียงหวานของผู้หญิงดังขึ้นด้านหลังเธอ ปล้นเหรอ? หน้าตาแบบนี้เนี่ยนะจะไปปล้นใครเขาได้ แค่ไล่หมาหน้าปากซอยหมามันยังไม่กลัวเลยเถอะ แล้วนับประสาอะไรกับคน
“ตำรวจงั้นเหรอ? ”
“ใช่”
“นี่ตำรวจจริงป่ะเนี่ย? ขอดูตราหน่อย”
เกิ้ลที่โดนดันหลังอยู่รีบเอ่ยถาม เห็นในหนังเขาขอดูเลยเอาบ้าง ก่อนที่ตราตำรวจจะถูกยื่นไปตรงหน้าให้เธอเห็นในระดับสายตา
“ให้ดูแค่นี้ของปลอมรึเปล่า? ”
ตำรวจสาวใช้นิ้วเรียวพลิกบัตรแสดงตัวตน บนบัตรนั้นมีทั้งรูปถ่ายและชื่อ แต่ไม่ทันได้พินิจพิจารณาอย่างละเอียด คุณเธอก็เก็บตราไปแล้วดึงเกิ้ลให้หันไปทางรถ
“ไปคุยกันที่โรงพักเนอะ”
หลายคนที่เดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์ก็หยุดยืนมองเกิ้ลอย่างสนใจ เธอจึงโวยวายใส่ตำรวจสาวที่ใช้มือดันตัวเธออยู่ด้านหลัง
“คุณตำรวจจับผิดคนแล้ว ฉันไม่ใช่โจร!! ”
“เฮ้อ~ ไปหลอกเด็กเถอะจ้า”
ร่างสูงทอดสายตามองสารรูปตัวเองที่ยับเยินไม่มีชิ้นดีในเงาสะท้อนของกระจกรถ เรือนผมยุ่งๆ กระเซอะกระเซิงมีกิ่งไม้ติด เสื้อมีเศษหญ้าเศษใบไม้ติดอยู่เต็ม หน้าตามอมแมมเลอะฝุ่นเปื้อนดิน เห็นดังนั้นถึงกับอุทาน
“เชี่ยย”
ถึงจะไม่ใช่โจรก็เถอะแต่ก็เถียงไม่ได้ว่าเหมือนพวกคนจรจัดไร้บ้านจริงๆ นั่นแหละ
ก่อนจะส่งสายตาเหลือบมองเงาสะท้อนของอีกคนในกระจก แม้จะเห็นไม่ค่อยชัดแต่ใบหน้าที่เข้ารูป ดวงตากลมโตกับผมที่ถูกมัดรวบอย่างง่ายๆ หรือแม้กระทั่งเสื้อแขนยาวสีดำ ทุกอย่างดูเข้ากันและลงตัวไปหมดจนกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือหน้าตาแบบนี้เป็นดารานางแบบได้สบายๆ
เอ๊ะ...หรือนี่เขาถ่ายหนังกันอยู่นะ?
ว่าแล้วก็รีบหันมองซ้ายมองขวา จนคุณเธอสงสัย
“อะไรของเธอ? ”
“อ้าวไม่ได้ถ่ายหนังกันอยู่เหรอ? ”
ตำรวจสาวกระชากแขนเกิ้ลให้หันกลับมามองเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยพูดเสียงเข้ม
“ตลกมากป่ะ? ”
“จริงๆ แล้วคุณแค่รับบทเป็นตำรวจสาวพราวเสน่ห์ใช่มั้ยล่า? โถ่~ ทีหลังบอกดีๆ ก็ได้คุณ ฉันน่ะ...โอ๊ยยย!! ”
ยังไม่ทันพูดจนจบเกิ้ลก็ถูกเตะเข้าที่ขาจนเสียหลักล้มลงคุกเข่าก่อนจะโดนกดไหล่ไว้
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ”
“โอเคๆ ยอมแล้ว”
“ขึ้นรถ”
คนหน้าสวยเปิดประตูแล้วดันเกิ้ลให้ไปนั่งที่หลังรถ แล้วเดินอ้อมไปทางคนขับเพื่อขึ้นรถขับตรงไปยังสถานีตำรวจ เกิ้ลมองไปตามทางก็มีแต่คำถามที่สงสัยมากมายผุดขึ้นอยู่ในหัวราวกับดอกเห็ด
ไม่นานนักก็ถึงสถานีตำรวจ เป็นสถานีที่ใหญ่ในระดับนึงเลยแหละ จนเธออดคิดไม่ได้ว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานีตำรวจหลักของย่านนี้เลยด้วยซ้ำ ตำรวจสาวร่างเล็กจอดรถแล้วเปิดประตู เกิ้ลจึงได้ลงมายืนมองหน้าคนที่จับกุมเธอ พอได้ทอดสายตามองชัดๆ คือบอกเลยว่าสวยกว่าที่มองผ่านเงาสะท้อนล้านเท่า ไหนจะผิวขาวละเอียดราวกับน้ำนม จมูกโด่งเข้ารูป กับริมฝีปากบางสีชมพูดูสุขภาพดีนั่นอีก ภาพที่ประจักษ์ตรงหน้าเล่นทำเอาหัวใจของเธอกลับเต้นเร็วขึ้นมาเสียดื้อๆ นี่มันสวยระดับไร้ที่ติแล้วแม่เจ้าโว้ยย...
“เดินไป”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
“บอกให้เดินไปไง! ”
คนหน้าสวยผลักเกิ้ลที่แกล้งเดินอ้อยอิ่ง
“เร็วๆ ร้อน”
“รีบก็ไปก่อนสิ”
“เอ๊ะ!! ”
คุณตำรวจคนสวยตวัดสายตามามองเกิ้ลที่รีบก้มหน้างุดๆ เดินไปอย่างว่าง่าย เมื่อถึงชั้นสอง ผู้ต้องหาจำเป็นอย่างเกิ้ลก็ถูกค้นร่างกายอีกครั้งและจับตรวจหาสารเสพติดทันที คนหน้าสวยยึดสร้อยเงินที่เป็นของติดตัวเพียงชิ้นเดียวไป ก่อนที่เกิ้ลจะโดนลากตัวไปสอบปากคำในห้องที่มีกระจกกั้น เกิ้ลมองไปยังกระจกสะท้อนนั้น อีกฝั่งคงมีคนยืนมองเหมือนในหนังสินะ แล้วร่างบางก็วางสมุดก่อนจะนั่งลงตรงข้ามร่างสูง
“ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีเงิน ไม่มีสารเสพติดในร่างกาย ไม่มีอะไรสักอย่าง คนเร่ร่อนงั้นเหรอ? ”
“เร่ร่อนบ้านคุณสิ! ”
“กรุณาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยค่ะ”
“ก็บอกแล้วป่ะว่าจับผิดคน”
คนสวยตรงหน้าเมินคำพูดของเธอ
“ชื่ออะไร? ”
“เกิ้ล”
“ชื่อนามสกุล”
“ทยาวีร์ จิรศักดากุล”
“เขียน”
ร่างบางดันสมุดกับปากกาไปตรงหน้าเกิ้ลที่ยกสองมือที่โดนตรึงไว้โดยกุญแจมือขึ้นมาในระดับอกพลางทำหน้าตากวนประสาทใส่คนตรงหน้า
“ฉันเขียนไม่ถนัด”
“เขียน”
คนตรงหน้าเอ่ยเสียงเข้ม เกิ้ลจึงหยิบปากกามาเขียนชื่อลงในสมุดอย่างทุลักทุเล ก่อนที่ตำรวจสาวคนนั้นจะฉีกกระดาษแล้วเดินออกไปนอกห้อง อึดใจเดียวเธอก็กลับมา
“บอกชื่อจริงเธอมา”
“ก็บอกไปแล้วไงจะเอาอะไรอีก? นี่กำลังเล่นตลกอะไรอยู่? หรือฉันอยู่ในรายการเดอะเฟคโชว์? ไม่สนุกแล้วนะแบบนี้”
ปั้ง!!!
ตำรวจสาวตบโต๊ะอย่างแรงทำเอาเกิ้ลสะดุ้งสุดตัว สีหน้าและแววตาของเธอดูดุดัน จริงจังและน่ากลัวกว่าตอนแรกหลายเท่า
“นี่ยังคิดว่าถ่ายทำรายการอีกเหรอ? ”
“ก็ใช่น่ะสิ! คุณไม่เคยเห็นฉันบ้างรึไง? ”
“.....”
เกิ้ลมองคนตรงหน้าแล้วเอ่ยพูดอย่างมีความหวัง เดี๋ยวยัยตำรวจนี่ก็ต้องนึกออกแน่ว่าเธอเป็นใคร
“โฆษณารองเท้ารีเวิร์สไง”
“ยี่ห้ออะไรไม่รู้จัก”
“โหคุณไปมุดหัวอยู่ไหนมาเนี่ยไม่รู้จักรีเวิร์ส”
“.....”
เธอมองคนตรงหน้าที่คิ้วเริ่มขมวดยุ่งอีกครั้ง
“งั้นโฆษณาเกมมิ่งเกียร์ล่ะ? ผู้หญิงที่เล่นเกมอ่ะ”
“.....”
“อีเกิ้ลคลัทช์กัปตันทีมเรท แชมป์บียอนด์โปรลีค 9 สมัยล่ะรู้จักมั้ย? ”
“หยุดแต่งเรื่องได้แล้ว ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับเธอทั้งวัน”
“เฮ้อ...”
เกิ้ลหลับตาพลางถอนหายใจยาว ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเธอจริงๆ ด้วยสินะ
“บอกชื่อจริงเธอมา”
“ฉันบอกไปแล้ว”
“ในทะเบียนราษฎร์ไม่มีชื่อของเธอมันก็แปลว่าเป็นชื่อปลอมไง!! ”
“โธ่เว้ยก็บอกไปแล้วไงว่านั่นคือชื่อจริง!! ”
ปึ้งง!!
เกิ้ลเผลอใช้สองมือทุบโต๊ะด้วยความโมโห สายตาจ้องเขม็งไปยังคนฝั่งตรงข้าม ก็บอกไปแล้วจะเซ้าซี้หาอะไรอีกวะ? แต่การกระทำนี้ไม่ได้ส่งผลให้คนตรงหน้าดูตื่นกลัวเลยแม้แต่น้อย
“บ้านอยู่ไหน? ”
“อยู่หมู่บ้าน xx ที่ถนน xx”
ตำรวจสาวถอนหายใจยาวพลางนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน เธอใช้นิ้วมือเรียวนวดคลึงบริเวณขมับก่อนจะกดเสียงให้ต่ำลงกว่าเดิม
“เลิกโกหกสักที แล้วบอกความจริงมา”
จ๊อกกกกกกกกก
เสียงท้องร้องดังลั่นห้อง เจ้าของกระเพาะถึงกับต้องเอาสองมือขึ้นมาปิดหน้าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงแถมลามไปยันหูด้วยความอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ในขณะที่คนตรงหน้าเผลอหลุดยิ้มออกมา
“หิวเหรอ? ”
“.....”
ถามแต่ไม่รอคำตอบ ร่างบางลุกขึ้นสาวเท้าเดินออกจากห้องไป สักพักเธอก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับขนมปังและน้ำก่อนจะวางไว้ตรงหน้าเกิ้ล
“กินซะ”
“ฉันไม่หิว”
จ๊อกกกกกกกกกก
“จะกินดีๆ หรือจะให้ฉันยัดใส่ปากเธอ? ”
“ก็ฉันโดนใส่กุญแจมือเนี่ย! จะกินยังไง!! ”
ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดพลางยกมือทั้งสองข้างที่ถูกพันธนาการไว้ขึ้นอีกครั้ง ตำรวจสาวจึงแกะห่อขนมปังแล้ววางให้ เกิ้ลมองขนมปังก่อนจะมองหน้าคนตรงหน้าเหมือนเป็นเชิงขออนุญาต
“เชิญ”
หลังจากสิ้นเสียงของร่างบาง เกิ้ลก็รีบหยิบขนมปังกัดกินอย่างหิวโหย คนสวยจึงบริการเปิดฝาขวดน้ำให้ เมื่อกินขนมปังเสร็จก็รีบยกขวดน้ำขึ้นดื่มอึกๆ ก่อนจะเช็ดปากด้วยแขนเสื้อของตัวเอง
“ทีนี้จะยอมบอกได้รึยังว่าชื่ออะไร”
“บอกไปหมดแล้ว!! ”
“แล้วจะเข้าไปปล้นร้านทำไม? ”
“ปล้นบ้าอะไร อาวุธก็ไม่มี ฉันหิวข้าว! จะไปขอข้าวกิน!!! ”
ถึงจะกินขนมปังเข้าไปแล้ว แต่เธอก็ไม่หลงกลยอมรับสิ่งที่ไม่ได้กระทำหรอกนะยัยตำรวจจอมเจ้าเล่ห์ ฝันไปเถอะ
“ทำมากี่ครั้งแล้ว? ”
“ไม่เคยทำ”
“จะปากแข็งไปถึงไหน? ”
เกิ้ลหัวเราะในลำคอ พอจะเข้าใจแล้วแหละ ฝีมือแบบนี้น่าจะเพิ่งบรรจุล่ะสิท่า
“นี่คุณ เป็นตำรวจใหม่เหรอ? หรืออยากทำงานเอาหน้า? แค่จับยังผิดคนแบบนี้ ชาตินี้ทั้งชาติคงเป็นได้แค่หมู่แหละว้า”
คนสวยตรงหน้ายกยิ้มมุมปาก ยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
“ขอโทษนะคะ ลืมแนะนำตัว ฉันพันตำรวจตรีหญิงอาริน พิทักษ์ชัยชนะ สังกัดหน่วยป้องกันและปราบปราม”
เธอส่งสายตามองคนที่เพิ่งจะแนะนำตัวว่าชื่ออารินด้วยสายตาไม่เชื่อ หน้าเด็กงี้เนี่ยนะสารวัตร? ก่อนจะขำเสียงดังลั่นห้องสอบสวน
“ฮ่าๆ พันตำรวจตรี? สารวัตรอ่ะนะ? นี่สิแกงหม้อใหญ่ เชื่อก็โง่ละ”
รอยยิ้มเหยียดหยันปรากฎบนใบหน้าสวย พลางเอื้อมมือหยิบตราตำรวจที่เหน็บไว้ที่เข็มขัดกางเกงก่อนจะสไลด์ไปให้เกิ้ลที่หยิบตราขึ้นมาดู บัตรที่เธอแสดงตัวตนตั้งแต่ตอนแรกที่ขอดู เกิ้ลเพิ่งได้สังเกตจริงๆ
พ.ต.ต.หญิง อาริน พิทักษ์ชัยชนะ
สังกัดหน่วยป้องกันและปราบปราม
ร่างสูงวางตราไว้ที่เดิม คนสวยตรงหน้าเป็นสารวัตรจริงๆ อย่างที่พูด อารินเอื้อมมือไปหยิบตรามาติดไว้ที่เดิมและเก็บข้าวของ
“ในเมื่อเธอไม่ยอมรับ ก็รอเจ้าทุกข์มาแจ้งความแล้วกัน ฉันแจ้งพื้นที่ไปแล้ว อีกไม่นานก็คงมีคนมาชี้ตัว”
“ฉันไม่ได้ทำผิด”
“อีก 48 ชม. รู้กัน”
อารินยกยิ้มมุมปากแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เกิ้ลนั่งอยู่ในห้องคนเดียว ไม่นานก็มีตำรวจหนุ่มเข้ามาควบคุมตัวเธอไปยังห้องขัง
หลังจากถูกปลดกุญแจมือแล้ว เธอก็เดินลากเท้าเข้าไปนั่งทรุดตัวที่พื้นอันเย็นเฉียบในห้องขัง ยังดีที่ได้ขังเดี่ยวเพราะไม่อย่างนั้นเธอคงสติแตกแน่ ร่างสูงค่อยๆ ชันเข่าขึ้นแล้วกอดสองขาของตัวเอง ความรู้สึกเหนื่อยล้าประเดประดังเข้ามารุมทึ้งตัวของเธอราวกับมีมือนับพันที่คอยฉุดรั้งเธอให้ตกลงไปยังทะเลแห่งความสิ้นหวังจนทำให้เธอต้องร้องไห้ออกมาเพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยล้าผ่านทางหยาดน้ำตาได้สักนิดก็ยังดี
ฝันอยู่งั้นเหรอ? ถ้าฝันอยู่ก็ตื่นขึ้นสักทีเถอะ เพราะคิดถึงแม่ พี่แกต มะขามเหลือเกิน อยากกลับไปกอดทุกคน ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเธอบ่งบอกได้ว่าตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งนึกขึ้นได้
“เราตกจากชั้น 6 ไม่ใช่เหรอ? ”
คิ้วขมวดยุ่ง เหมือนกดรีเพลย์ภาพความทรงจำเหล่านั้น มะขามที่คอยปลอบเธอว่าจะไม่เป็นไร คอยชวนเธอคุยไม่ให้เธอหมดสติ กับความเจ็บปวดเจียนตายที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างในตอนนั้น
ก้มลงมองมือทั้งสองข้างที่ขยับไปมา ลองเอื้อมมือไปตีขาทั้งสองข้างเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดไปรอบๆ ห้องขัง
“ตกจากชั้น 6 ก็ไม่น่าจะเดินคล่องแบบนี้นี่? หรือนี่คือฝันจริงๆ? ”
ร่างสูงลองเอามือตบหน้าตัวเองเต็มแรง
เพี้ยะ!!
“โอ๊ยย! ”
มือลูบใบหน้าตัวเองที่เริ่มรู้สึกชาจากแรงตบเมื่อครู่ ปากก็พลางบ่นพึมพำ
“ก็เจ็บนี่ อะไรวะ? อย่างกับหลุดมาอีกเซิฟ”
นั่งบ่นพึมพำคนเดียวเหมือนคนสติไม่ดีทั้งคืนจนผล็อยหลับไป
แก๊งๆๆ
“มากินข้าว”
เกิ้ลถูกปลุกให้ตื่นจากห้วงนิทราด้วยเสียงเคาะลูกกรง นายตำรวจหน้าตาบอกบุญไม่รับสอดถาดเข้ามาในห้องขังแล้วเดินจากไป เธอนั่งทอดสายตามองเหม่อไปที่ขนมปังสองแผ่นในถาดโดยไม่คิดจะแตะต้อง สิ่งที่คิดเมื่อคืนยังคอยวนเวียนในหัวจนไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น กินหรือไม่กินก็มีค่าเท่ากัน เพราะในโลกที่เธอต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีแม้แต่คนรู้จัก มันก็ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็นหรอก
สักพักใหญ่ นายตำรวจคนเดิมก็เดินกลับมาพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“ออกมาได้แล้ว มีคนมาชี้ตัว”
แล้วตำรวจคนนั้นก็พาเธอเดินไปยังห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ผนังทุกด้านเป็นสีขาว กระจกส่องทางเดียว และผู้ต้องหาคนอื่นๆ ยืนเฉยๆ ได้ไม่นานเธอก็ถูกพากลับไปยังที่เดิม
เหตุการณ์เมื่อครู่วนเวียนไปอีกเป็นสิบรอบ คงจะมีเจ้าทุกข์เดินทางมาชี้ตัวเรื่อยๆ นั่นแหละ แต่ก็ไม่มีใครชี้เธอสักคน ก็แหงล่ะ! เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนครบ 48 ชม. ในขณะที่เธอนั่งกอดเข่าอยู่มุมเดิมก็มีตำรวจหนุ่มคนหนึ่งไขประตูห้องขังแล้วเปิดค้างไว้อย่างนั้น
“คุณครับ ออกมาได้แล้ว”
เกิ้ลลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเดินออกมาจากห้องขัง รู้สึกได้ถึงร่างกายที่ซูบผอมลงเนื่องจากเธอไม่ได้กินอะไรเลยตลอด 2 วันที่ผ่านมา อาศัยดื่มแค่น้ำเปล่าประทังชีวิตและนั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง หลังจากรับสร้อยเงินที่เป็นของติดตัวเพียงชิ้นเดียวเสร็จแล้ว ก็เดินตามนายตำรวจไปเรื่อยๆ จนเขาหยุดยืนแล้วหันมายกยิ้มอย่างเป็นมิตร
“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับ”
พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง เธอเลื่อนสายตามองไปรอบๆ ห้องทำงาน แฟ้มและเอกสารทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่น ปากกาหัวกระต่ายสีม่วงพาสเทลสุดน่ารักถูกวางไว้บนเอกสารกองหนึ่ง คอมพิวเตอร์ที่ดูยังไงสเปคก็น่าจะเกินการใช้งานถูกตั้งไว้ที่ริมโต๊ะทำงานด้านซ้าย ในระหว่างที่เธอกำลังกวาดสายตามองสำรวจห้องอยู่ เสียงประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่อารินจะเดินมานั่งประจำที่
วันนี้เธอมาในชุดนอกเครื่องแบบเช่นเคย เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์สีเข้ม และรองเท้าผ้าใบสีขาว ใบหน้าสวยถูกแต่งบางๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ผมสีน้ำตาลเข้มที่รวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลังแบบลวกๆ และสีหน้าที่เรียบเฉยขณะที่กวาดสายตาอ่านเอกสารในมือ ก่อนจะละสายตามาจ้องมองคนตรงหน้า
“ไม่มีใครชี้ตัวเธอ”
“แหงล่ะ! ก็บอกแล้วไงว่าจับผิดคน”
“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอไม่มีความผิด”
“อะไรอีกล่ะ? ”
ยัยป้าขี้เก๊กวางเอกสารลง กว่าจะเป็นสารวัตรได้นี่ก็คงจะสามสิบปลายๆ ไม่ก็ปริ่มๆ วัยทองแล้วสินะ นี่คงไปฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม เมโสมาแบบจัดเต็มเลยล่ะสิหน้าถึงได้ตึงเปรี๊ยะขนาดนี้ หึ!
“เธอเป็นคนจรจัด มันผิดกฎหมาย ฉันจะส่งเธอไปสถานดูแลคนไร้บ้าน”
“ฉันก็บอกบ้านไปแล้วไง! ”
“เลิกโกหกสักทีเถอะ”
อารินเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เกิ้ลก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน บอกไปเป็นรอบที่ล้านแล้วมั้ยเจ๊!
“ไม่ได้โกหก!! ”
“งั้นก็ไปอยู่สถานคนไร้บ้าน!! ”
“เอะอะเสียงดังอะไรกันสารวัตรควีน? ”
ยัยป้านั่นรีบลุกขึ้นทำความเคารพ หากประเมินจากยศที่อยู่บนบ่ากับอกแล้วเดาว่าน่าจะเป็นผู้กำกับการ แต่ที่แน่ๆ ยศสูงกว่ายัยป้าอารินแน่นอน แต่ความสวยนี่ไม่แพ้กันเลยแฮะ สน.นี้เค้าคัดแต่คนหน้าตาดีมาทำงานกันรึไง
“ไม่มีอะไรค่ะท่าน ฉันกำลังจะส่งคนจรจัดไปสถานดูแล”
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นคนจรจัด! อ้อ...นี่ผู้กำกับใช่มั้ยคะ? ขอโทษนะคะ ลูกน้องคุณทำงานห่วยแตกมาก จับผิดตัวไม่พอยังมาหาว่าฉันโกหกทั้งๆ ที่ฉันก็บอกข้อมูลไปหมดแล้ว”
ผู้กำกับสาวรีบยกมือขึ้นห้ามทันทีเมื่อเห็นว่าลูกน้องของตนกำลังจะอ้าปากเถียง ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ฉันเข้าใจค่ะว่าคุณมีบ้าน แต่ในทะเบียนราษฎร์มันไม่ขึ้นข้อมูลของคุณ”
“....”
“งั้นเอาอย่างงี้ เดี๋ยวฉันจะให้สารวัตรควีนไปส่งคุณที่บ้านแล้วกันนะคะ แต่ถ้าไม่มีบ้านจริงๆ ฉันคงต้องให้สารวัตรพาคุณไปสถานดูแลแทน”
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เกิ้ลส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ผู้กำกับหน้าสวย แล้วหันไปยกยิ้มอย่างท้าทายให้ควีนที่ยืนหน้าหงิกอยู่ที่โต๊ะ
“ตามนั้นนะสารวัตร”
“รับทราบค่ะท่าน”
พูดจบผู้กำกับคนสวยก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ควีนจ้องมองเธอตาขวางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อพลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
“ลุก! ฉันจะไปส่ง! ”
“ฉันถึงบ้านเมื่อไหร่จะฟ้องคุณให้หมดตัวเลยคอยดู”
เกิ้ลขึ้นรถอย่างว่าง่าย รู้สึกได้ว่าตัวเองอารมณ์ดีขึ้นในรอบหลายวันที่ผ่านมา มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ตกตึกแล้วจะเดินต่อได้ เหตุการณ์นั้นมันก็แค่ฝันที่เหมือนจริง มันไม่เคยเกิดขึ้นซะหน่อย ก่อนที่เธอจะบอกทางจนควีนขับไปถึงจุดที่เกิ้ลระบุว่าเป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน
“ไหนล่ะหมู่บ้าน? ”
“อะไรกัน…”
ร่างสูงมองสภาพแวดล้อมที่มีเค้าเดิมอยู่ก็จริง แต่จุดที่เคยเป็นหมู่บ้านของเธอมันกลับกลายเป็นสวนสาธารณะไปเสียแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน! หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเลยนะ!!
“ฉันไม่ได้โกหก นี่มันถนนหมู่บ้านฉันจริงๆ ”
“ตามใจเธอเถอะ ฉันจะไปส่งที่สถานดูแลแล้วกัน”
จ๊อกกกกกกกกก
เสียงท้องของเธอคำรามขึ้นมาขัดจังหวะอีกครั้ง แล้วทำไมท้องมันต้องร้องตอนอยู่กับยัยป้ามหาภัยนี่ตลอดด้วยวะคะ! ควีนถอนหายใจพลางหันไปมองคนด้านข้าง
“เมื่อเช้าไม่ได้กินข้าวที่จ่าเตรียมให้รึไง? ”
“ฉันไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว”
ควีนยกมือซ้ายขึ้นกุมขมับ ริมฝีปากบางก็พร่ำบ่นอย่างเหนื่อยล้า
“เฮ้อ~ แทนที่เลิกเวรแล้วจะได้กลับไปแช่น้ำอุ่นสบายๆ กลับต้องมาหาข้าวหาน้ำให้คนเร่ร่อนเนี่ยนะ? ”
“ก็ไม่ต้องหา จะเอาฉันไปส่งที่ไหนก็รีบๆ ไปเถอะ”
ไม่มีการพูดคุยอะไรกันอีก จนควีนขับรถไปจอดข้างร้านสะดวกซื้อ ไม่ลืมที่จะหันมากำชับคนข้างๆ
“รอนี่นะ อย่าคิดหนี”
เกิ้ลมองร่างบางลงจากรถแล้วเดินหายเข้าไปในร้าน เธอนั่งรอในรถสักพัก แต่ด้วยเสียงท้องที่คำรามไม่หยุดหย่อนจนเธอต้องยอมแพ้ตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งของยัยป้าสุดโหดที่บอกให้รอ ร่างสูงเปิดประตูก้าวลงจากรถ เป็นจังหวะเดียวกับที่ควีนเดินออกจากร้านพอดี เธอจึงรีบยกสองมือขึ้นเหนือหัวแล้วรีบพูดรัวเพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด
“ฉันไม่ได้จะหนี แต่ฉันอยากกินโคล่า”
“งั้นถือนี่ไว้”
ควีนยื่นถุงผ้าที่ใส่อาหารไว้ให้ร่างสูง กลิ่นหอมจากอะไรสักอย่างในถุงทำเอาเกิ้ลกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความหิว เธอหยิบขนมปังไส้กรอกขึ้นมาเตรียมจะกินแต่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนลั่นบริเวณนั้น
“ช่วยด้วยค่ะ! มีคนกระชากกระเป๋า!! ”
“รออยู่นี่!! ”
คนหน้าสวยหันมาบอกเกิ้ลอย่างรีบร้อนแล้วเร่งฝีเท้าออกวิ่งไปตามทิศทางของเสียงนั้นทันที เธอมองตามสารวัตรร่างเล็กที่วิ่งตามโจรกระชากกระเป๋า ร่างสูงจึงยัดขนมปังกลับที่เดิมแล้ววางถุงผ้าทิ้งไว้ที่หลังรถ ก่อนจะตัดสินใจออกวิ่งตามคนหน้าสวยไป
เธอมองสิ่งของและสภาพแวดล้อมรอบตัวก่อนจะเริ่มใช้ทักษะปาร์กัวร์ข้ามสิ่งกีดขวางอย่างคล่องแคล่ว ปีนรั้วตะแกรงข้ามไปอย่างง่ายดาย รู้สึกได้ถึงร่างกายที่เบาหวิว น่าจะเป็นเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งสองวัน แต่พลังงานที่มีอยู่ก็จำกัดเช่นกัน ไม่นานก็วิ่งไล่ทันควีนที่หันมามองเกิ้ลด้วยตาที่เบิกโพลง สีหน้าแสดงความตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“นี่เธอ…”
คนร้ายใช้จังหวะที่ควีนเสียสมาธิวิ่งเข้าไปทางบันไดหนีไฟ และฉลาดพอที่จะไม่ลืมล็อคกลอนเพื่อไม่ให้ตามขึ้นมาได้ แล้ววิ่งหนีขึ้นไปบนตึกร้าง เกิ้ลจึงกระโดดชิ่งกำแพงไปจับระเบียงชั้น 2 ไว้และดึงตัวเองปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว
ร่างบางมองเกิ้ลที่ปีนป่ายอย่างชำนาญถึงกับอ้าปากค้างกับภาพที่ปรากฎตรงหน้า
“นั่นมันบ้าอะไรกันเนี่ย? ”
ก่อนที่ร่างสูงจะถีบคนร้ายที่กำลังวิ่งหนีสุดชีวิตกระเด็น ทำให้ศีรษะของคนร้ายฟาดกับกำแพงจนสลบเหมือด
“เฮ้อ~ จับได้สักที”
เกิ้ลนั่งยิ้มแป้นแล้นรอควีนที่วิ่งตามขึ้นมา สายตาของสารวัตรร่างเล็กมองสลับไปมาระหว่างเกิ้ลกับคนร้ายที่นอนแบ็บอยู่ที่พื้น สีหน้าบ่งบอกได้เลยว่าไม่อยากจะเชื่อกับภาพที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้า แต่พูดถึงยัยป้านี่ก็อึดดีแฮะ อายุก็น่าจะปริ่มๆ วัยทองแต่วิ่งมาได้ขนาดนี้แล้วหอบเหนื่อยแค่นิดเดียว เป็นคนอื่นคงจะหอบหายใจแฮ่กๆ ไปแล้ว
“นี่เธอวิ่งตามฉันมา? ”
“อือฮึ”
“เพื่อจับโจรกระชากกระเป๋า? ”
“อาฮะ”
คนหน้าสวยถึงกับกุมขมับ สิ่งที่เธอไม่อยากจะเชื่อคือ คนจรจัดอย่างเจ้าเด็กตาตี่นี่ไล่จับโจรเก่งมาก
“มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย? ”
“นี่คุณ! รีบๆ มาใส่กุญแจมือหมอนี่ก่อนเถอะ ถ้ามันหนีอีกรอบฉันไม่ไล่จับให้แล้วนะ! ”
ควีนจึงรีบหยิบกุญแจมือที่เอวมาพันธนาการโจรกระชากกระเป๋าเพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้อีก หัวขโมยรู้สึกตัวก็ดิ้นขลุกขลักแต่แล้วก็โดนร่างสูงจัดการตบเข้าที่หัวไปหนึ่งที
“หนีเก่งนักเหรอห๊ะ! ”
“จับกูทำไม! กูไม่ได้ทำอะไรผิด”
“อ๋อเหรอ”
เกิ้ลง้างมือจะฟาดอีกครั้งแต่ถูกควีนรั้งข้อมือไว้
“เธอจะบ้าเหรอ! ”
“ก็…”
สารวัตรร่างเล็กหันไปพูดกับคนร้ายเพื่อตัดบทเกิ้ลที่กำลังจะต่อความยาว
“คุณถูกจับแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด สิ่งที่คุณพูดอาจถูกใช้ในการพิจารณาคดีกับคุณในชั้นศาล คุณมีสิทธิ์ที่จะมีทนายความ ถ้าคุณไม่สามารถจ้างทนายได้ ศาลจะแต่งตั้งทนายให้กับคุณ เมื่อคุณได้ทราบถึงสิทธิ์นี้แล้วคุณพร้อมที่จะตอบคำถามในข้อกล่าวหาที่มีต่อคุณอีกหรือไม่? ”
ควีนกล่าวคำบอกสิทธิ์พลางดึงร่างคนร้ายให้ลุกขึ้น เกิ้ลส่งสายตามองคนตรงหน้าอย่างชื่นชม
“โอ้โห~ โคตรเท่เลยอ่ะ ฉันขอพูดแบบนั้นบ้างได้ป่ะ? ”
“เธอไม่มีสิทธิ์พูดประโยคพวกนั้น”
ควีนตอบเสียงเรียบ แต่เจ้าเด็กน้อยตรงหน้าก็ยังทำเป็นเก๊กหน้าขรึมแล้วเอ่ยพูดเสียงเข้ม
“คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูดอาจถูกใช้ในชั้นศาล แล้วอะไรต่อนะคุณ? ”
“มันไม่ใช่ของเล่น”
“แต่…”
“เอ๊ะ! ฉันบอก…”
เมื่อหัวขโมยเห็นว่าควีนเบนความสนใจไปยังเกิ้ล เขาก็ใช้ไหล่กระแทกตัวสารวัตรร่างบางจนเสียหลักและพยายามหนี แต่ก็ไม่รอดเงื้อมมือเกิ้ลที่กระโดดถีบจนกระเด็นอีกครั้งจนต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย! ตำรวจบ้าอะไรวะทำร้ายประชาชน? ”
“โทษทีนะลุง บังเอิญว่าฉันไม่ใช่ตำรวจน่ะ ฮี่ๆ ”
ควีนหยิบของกลางขึ้นมาสะพายไว้ที่ไหล่แล้วเดินหน้าหงิกมาควบคุมตัวคนร้าย โดยครั้งนี้มีเกิ้ลช่วยคุมตัวด้วยเพราะเธอเองก็แทบไม่มีแรงจะช่วยวิ่งไล่จับแล้ว
“รอนี่นะ เดี๋ยวฉันมา”
เมื่อมาถึงโรงพัก ควีนก็หันไปสั่งเกิ้ลที่นั่งมองเธอตาแป๋วเหมือนเด็กน้อย แล้วลากหัวขโมยตัวปัญหาจากหลังรถเพื่อไปส่งตัว
พักใหญ่กว่าเจ๊แกจะเดินออกมาจากโรงพัก ร่างสูงมองสารวัตรร่างเล็กที่เดินกลับมาที่รถแล้วขับออกไปโดยที่ไม่เอ่ยถามอะไรสักคำ จริงๆ ระหว่างที่นั่งรอเธอจะหนีก็ได้ แต่คิดว่าอย่างยัยป้าหน้าสวยนี่ก็คงไปตามจับเธอกลับมาได้ง่ายๆ อยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องหนีให้เปลืองแรงดีกว่า
ทางด้านควีนที่ลอบมองคนไร้บ้านที่สุดแสนจะน่าสงสัยด้วยหางตาเป็นระยะ คิ้วขมวดยุ่ง จนในที่สุดเธอก็เอ่ยปากถาม
“เธอเป็นใครกันแน่? ”
“ฉันบอกคุณไปหมดแล้ว”
“เธอทำแบบนั้นได้ยังไง? ”
“ทำอะไร? ”
เกิ้ลหันไปมองสารวัตรร่างเล็กด้วยความสงสัย
“เธอวิ่งไล่จับโจรคล่องมาก แถมปีนป่ายก็เก่ง เธอเป็นสตั๊นท์เหรอ? ”
“ใช่ที่ไหนล่ะ ฉันแค่เล่นปาร์กัวร์”
“ปาร์กัวร์? ”
ร่างสูงมองใบหน้าสวยของควีนที่เอียงคอเล็กน้อย คิ้วเลิกขึ้นด้วยความสงสัย อา...จู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงอีกแล้ว มันเป็นผลจากการที่โหมวิ่งเมื่อกี้แน่ๆ
“ไม่รู้จักปาร์กัวร์เหรอ? ”
“มันคืออะไร? ”
“กีฬาเอ็กซ์ตรีมชนิดหนึ่งที่วิ่งตีลังกา ข้ามสิ่งกีดขวาง คล้ายๆ กับฟรีรันนิ่งนั่นแหละ”
“อ๋อฟรีรันนิ่ง”
“อ้าวทีงี้รู้จักซะงั้น”
อะไรของเจ๊แกวะเนี่ย ไม่รู้จักปาร์กัวร์แต่รู้จักฟรีรันนิ่ง เธอเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงง
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ฉันโดนคนเร่ร่อนวิ่งแซงและจับโจรให้เนี่ยนะ? รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“คุณขาสั้นเองรึเปล่า? ”
สายตาพิฆาตตวัดมองมายังเธอแล้วจ้องอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ดีที่ไฟเขียวพอดี ทำให้ควีนต้องหันกลับไปโฟกัสที่การขับรถ จนในที่สุดเธอก็จอดที่ข้างทางแล้วลงจากรถ
เกิ้ลจึงมีโอกาสได้สังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ เห็นแต่ร้านอาหารเรียงรายเป็นแถว ร่างบางยกมือเคาะกระจกฝั่งที่ร่างสูงนั่งเมื่อเห็นว่าคนหิวยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถ
“หิวไม่ใช่รึไง? ”
“ไม่หิว”
จ๊อกกกกกกกกกกก
พอได้กลิ่นหอมของอาหาร ท้องไม่รักดีก็เรียกร้องความสนใจขึ้นมาทันที บ้าเอ๊ยยย ต้องให้อับอายอีกกี่รอบกันเนี่ย
“ลงมาได้แล้ว ฉันหิว”
ติดตามอ่านตอนล่าสุดได้ใน ReadAWrite น้าาาาาา จิ้มตรงนี้ได้เลยยย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in