เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฝันนั้นฉันเป็นของเธอKSRENEBUNNY
Chapter 5: Rebirth
  • "เกิ้ล หลับไม่ได้นะ ตื่นสิ! "

    ประตูรถด้านหลังถูกเปิดออกทันทีที่รถจอดสนิท มะขามรีบก้าวลงจากรถเพื่อให้เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายคนที่เธอรักได้อย่างสะดวก บุรุษพยาบาลย้ายเกิ้ลขึ้นเตียงของทางโรงพยาบาลแล้วถูกเข็นเข้าไปอย่างเร่งรีบ

    “มีคนพลัดตกตึกชั้น 6 พาไปห้องผ่าตัดใหญ่ด่วน”

    เธอวิ่งตามเตียงที่มีพยาบาลตรวจเช็คความดันในขณะที่กำลังเข็นอยู่

    “เกิ้ล อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวก็หายแล้ว”

    “เข้าไม่ได้นะคะ”

    มะขามที่จะวิ่งตามเข้าไปก็ถูกพยาบาลกันไว้ให้รออยู่ด้านนอกบริเวณห้องผ่าตัด ไฟสีแดงของป้ายหน้าห้องสว่างขึ้น เธอจึงเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ไม่ไกลจากห้องผ่าตัดนัก หยิบมือถือขึ้นมาโทรบอกกับทางบ้านของเกิ้ล ก่อนที่แก๊งปาร์กัวร์จะตามมาสมทบ เคถามขึ้นทันทีที่เจอหน้า

    “เกิ้ลเป็นยังไงบ้าง? ”

    “เข้าห้องผ่าตัดไปแล้วค่ะ”

    “โทรบอกบ้านเกิ้ลรึยัง? ”

    “บอกแล้วค่ะ อีกสักพักคงมา”

    วิวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วกอดเธอที่ก้มหน้าซุกกับฝ่ามือของตัวเอง

    “เกิ้ลจะต้องปลอดภัย”

    “วิว เกิ้ลพูดกับฉันว่าเจ็บมาก ฉันใจไม่ดีเลย”

    ร่างของเธอสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ถึงแม้จะไม่อยากคิดในแง่ร้ายให้มันบั่นทอนจิตใจ แต่เสียงอันแผ่วเบาของเกิ้ลที่เอ่ยพูดกับเธออย่างเจ็บปวดมันทำให้เธอแทบคลั่ง หากมีหนทางไหนที่จะช่วยให้เธอแบ่งเบารับความเจ็บปวดมาจากคนที่เธอรักได้เธอก็ยินดียอมทำทุกอย่าง

    “มันยังพูดกับแกได้แปลว่าไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ใจเย็นๆ นะ”

    “หนูมะขาม!! ”

    มารดาของเกิ้ลกับแกตวิ่งตรงมาหาเธอทันที

    “คุณน้าคะ เกิ้ลอยู่ในห้องผ่าตัดค่ะ”

    “เกิ้ลนะเกิ้ล...”

    แม่ของเกิ้ลปล่อยโฮออกมาโดยมีลูกชายกอดปลอบด้วยสีหน้าวิตกกังวล ทุกคนนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัด ไม่มีรอยยิ้ม ไร้เสียงหัวเราะหรือเสียงพูดคุยกัน ต่างคนต่างรออย่างใจจดใจจ่อ


    การที่เรารอคอยอะไรบางอย่าง เวลามักจะเดินช้าลงเสมอ กว่า 9 ชม.ที่ทุกคนรอคอยอย่างอดทน ไม่มีใครพูดบ่นถึงการรอคอยเลยแม้แต่คนเดียวจนประตูห้องผ่าตัดก็ถูกเปิดออก ทุกคนรีบลุกขึ้นไปยืนรุมหมอผู้ชายผมสีดอกเลาดูมากประสบการณ์ ใบหน้าที่มีรอยยับย่นฉายแววกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด

    “คุณหมอคะ ลูกฉันเป็นยังไงบ้างคะ? ”

    “เนื่องจากคนไข้พลัดตกจากชั้น 6 ทำให้ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดภาวะสมองบาดเจ็บในขั้นโคม่า หมอได้ผ่าตัดสมองเอาลิ่มเลือดออกแล้ว และโชคยังดีที่ขาขวาช่วยรับแรงกระแทกไว้ ทำให้มีเพียงขา แขนและซี่โครง 2 ซี่ด้านขวาหัก หมอจะให้คนไข้อยู่ห้องไอซียูเพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิดก่อนครับ”

    ในขณะที่บรรยายอาการบาดเจ็บ สายตาของหมอก็กวาดไล่ไปยังญาติของคนป่วยที่ยืนล้อมรอบเขา

    “ลูกฉันจะหายมั้ยคะ? ”

    “ขอโทษนะครับคุณแม่ หมอตอบไม่ได้ ขอตัวก่อนนะครับ”

    หมอพูดพลางมองแม่ของเกิ้ลด้วยสีหน้ารู้สึกผิดก่อนจะเดินแยกไป เตียงของเกิ้ลถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด สายน้ำเกลือและสายออกซิเจนระโยงระยางเต็มไปหมด ศีรษะมีผ้าพันแผลพันรอบๆ แขนและขามีเฝือกดามไว้ น้ำตาที่เคยหยุดไหลพลันกลับมาทักทายใบหน้าที่อิดโรยของคนเป็นมารดา


    ทุกคนเดินตามเตียงที่ถูกเข็นไปยังห้องไอซียูก่อนจะยืนมองเกิ้ลจากนอกห้องด้วยความเป็นห่วง มะขามสังเกตเห็นอาการเมื่อยล้าของเค เธอจึงหันไปบอกให้แก๊งปาร์กัวร์กลับบ้านไปพักผ่อน หลังจากที่ให้กำลังใจกันเสร็จเคจึงหันไปยกมือไหว้พลางกล่าวลาครอบครัวของเกิ้ล ลึกๆ ในใจเขารู้สึกผิดอยู่เต็มอก เพราะเหมือนเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิ้ลเป็นแบบนี้ หากเขาไม่เอ่ยปากชวนวิ่งทางยาว มันจะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

    มารดาของเกิ้ลจึงหันมาพูดกับคนตัวเล็กด้วยใบหน้าที่อิดโรย

    “เกิดอะไรขึ้นไหนเล่าให้น้าฟังหน่อย”

    “เหมือนเกิ้ลเป็นตะคริวตอนวิ่งข้ามตึกพอดีค่ะ”

    คนเป็นแม่ถอนหายใจออกมา สีหน้ารู้สึกผิดของมะขามฉายออกมาจากใบหน้าสวย

    “ห้ามยังไงก็ไม่ฟังจริงๆ ลูกคนนี้ ถ้าเกิ้ลตื่นมาเมื่อไหร่นะน้าจะเฉ่งให้หูชากันไปข้างนึง”

    “ขามขอโทษค่ะ”

    มะขามยกมือขึ้นไหว้แม่ของเกิ้ลที่เอื้อมมือมากอดร่างของเธอไว้ กลิ่นเสื้อผ้าที่คุ้นเคยยิ่งทำให้เธออยากจะกรีดร้องออกมา เธอกล้าพูดได้เต็มปากว่ายอมแลกได้ทุกอย่างในชีวิต ขอแค่เพียงคนที่เธอรักปลอดภัยและฟื้นขึ้นมายิ้มให้กันอีกครั้งเท่านั้น ขอแค่นี้จริงๆ

    “น้ารู้ว่าหนูมะขามคอยดูแลเกิ้ลมาตลอด ขอบคุณนะ แต่เกิ้ลมันเป็นเด็กซน ชอบความท้าทาย”

    “เกิ้ลต้องฟื้นมาให้คุณน้าบ่นแน่นอนค่ะ”

    สาวผมบลอนด์ยกยิ้มบางๆ เพื่อให้กำลังใจหญิงตรงหน้า ขนาดเธอที่เป็นเพียงเพื่อนสนิท ถึงแม้จะแอบรักข้างเดียวก็เถอะ ยังรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับคนเป็นแม่ที่ต้องเห็นลูกสาวตัวเองนอนโคม่าอยู่แบบนั้น

    แม่ของเกิ้ลจะเอ่ยปากบอกให้สาวผมบลอนด์กลับไปพักผ่อนด้วยความเป็นห่วง แต่มะขามเอ่ยปากขออยู่ต่อ และเมื่อเห็นความตั้งใจของมะขามจึงไม่เซ้าซี้ต่อ หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาเพิ่มขึ้นอีก ก่อนที่พ่อแม่ของมะขามจะเดินมาหาเธอที่หน้าห้องไอซียู

    “ขาม”

    “คุณแม่...คุณพ่อ”

    มะขามเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นครอบครัวของตนก็ลุกขึ้นไปสวมกอด สูดหายใจเข้าให้ลึกที่สุดเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ร้องไห้ออกมา

    “ขามกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะลูก พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะ”

    บิดาเธอเอ่ยขึ้นพลางยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มของลูกสาวเบาๆ ก่อนที่แม่ของเกิ้ลจะพูดเสริม

    “หนูมะขามกลับก่อนเถอะ”

    “แต่…”

    “ไว้ถ้าเกิ้ลฟื้นน้าจะรีบโทรบอก”

    มะขามเงยหน้าขึ้นมองพ่อกับแม่ที่พยักหน้าเบาๆ เธอจึงยอมเชื่อฟังแต่โดยดี แต่ไม่ลืมที่จะหันไปบอกแม่ของเกิ้ล

    “งั้นพรุ่งนี้ขามเสร็จงานจะรีบมานะคะ”


    กลับถึงบ้านก็ขอตัวขึ้นห้องนอนทันที เธอขังตัวเองอยู่ในห้อง แม่จึงขึ้นมาเรียกให้ลงไปกินข้าวด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่ปกติให้แม่บ้านมาเรียกด้วยซ้ำ แต่เธอยังคงปฏิเสธไปเพราะไม่รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย

    หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จคนตัวเล็กก็มานอนลงบนเตียง มือเลื่อนกดเข้าแชทของเกิ้ลด้วยความเคยชิน มีเพียงแค่ประโยค ฝันดีนะ ที่เกิ้ลส่งมาให้เธอแสดงบนหน้าจอเป็นประโยคสุดท้ายที่คุยกันเมื่อวันก่อน

    น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ตลอดวันเหมือนถูกเปิดสวิทช์ให้ไหลพรั่งพรูออกมา เธอคิดถึงรอยยิ้ม ความอบอุ่นจากอ้อมกอด เสียงที่เหมือนเป็นแสงแดดยามเช้าที่คอยปลอบประโลมในยามที่เธอเหน็บหนาว เธอคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเกิ้ล

    หากแต่คนที่เธอถวิลหาสุดหัวใจกำลังนอนโคม่าอยู่ในห้องไอซียูโดยที่เธอทำได้เพียงเฝ้ามองและรอคอย ถึงแม้โอกาสที่จะฟื้นแล้วกลับมายิ้มให้เธอมันริบหรี่จนเกือบจะเป็นศูนย์ แต่มันก็ถือว่าก็ยังมีหวังอยู่ไม่ใช่เหรอ?


    มะขามนอนร้องไห้ทั้งคืนจนเผลอหลับไป รุ่งเช้าเธอก็รีบจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องแล้วเดินลงมาชั้นล่างเพื่อไปทำหน้าที่รองประธานบริษัท แต่กลับถูกผู้เป็นพ่อที่นั่งดื่มกาแฟอยู่เอ่ยห้ามไว้

    “ช่วงนี้ยังไม่ต้องเข้าก็ได้”

    “คุณพ่อคะ ขามไหว”

    ชายวัยกลางคนทอดสายตามองสีหน้าที่อิดโรยของลูกสาวคนโตด้วยความเป็นห่วง

    “ไปเฝ้าเกิ้ลเถอะ”

    “เสร็จงานแล้วค่อยไปค่ะ เกิ้ลคงรู้สึกแย่ถ้ารู้ว่าทำให้ขามเสียงาน ขามไม่เอาด้วยหรอก”

    บิดาของเธอยิ้มอย่างใจดี แล้วเอื้อมมือไปลูบกลุ่มผมนุ่มสีบลอนด์ของลูกสาวคนโต

    “ลูกสาวพ่อโตขึ้นแล้ว”

    “ขามไปก่อนนะคะ”

    มะขามยกยิ้มให้กับบิดาที่พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินไปขึ้นรถที่มีลุงสิงห์คนขับรถรออยู่ก่อนแล้ว


    ถึงเธอจะเป็นห่วงเกิ้ลแค่ไหน แต่งานก็คืองาน เธอจึงโฟกัสกับงานที่กองอยู่ตรงหน้าจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนบ่ายกว่าเธอจะเคลียร์งานของวันนี้เสร็จ มือเล็กคว้ากระเป๋าถือเดินก้าวฉับๆ ไปยังลานจอดรถทันที ในใจแอบหวังลึกๆ ว่าคนที่เธอรักจะรู้สึกตัวแล้ว


    มะขามไม่ลืมที่จะเอาชุดมาเปลี่ยนก่อนเข้าเยี่ยม เพราะเธอไม่ต้องการให้เกิ้ลเกิดภาวะแทรกซ้อน หลังจากที่ล้างมือเสร็จแล้วเธอก็เดินเข้าไปในห้องไอซียู เสียงอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่รายล้อมอยู่ข้างเตียงดังตามปกติ แม่ของเกิ้ลเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่ในสภาพอิดโรย

    “สวัสดีค่ะคุณน้า”

    “สวัสดีจ้ะหนูมะขาม”

    เธอทอดสายตามองเกิ้ลที่นอนหลับตานิ่งเหมือนเป็นเพียงคนที่อยู่ในห้วงทราในช่วงเวลากลางคืน ใบหน้าและตามร่างกายมีรอยฟกช้ำสีเข้มเป็นแห่งๆ เพียงแค่เห็นเกิ้ลในสภาพนี้ น้ำตามันก็เอ่อขึ้นมาจนทำให้ตาพร่ามัวแล้ว มะขามปาดน้ำตาแล้วยกยิ้มพลางส่งมือเล็กไปจับมือของร่างสูง

    “เกิ้ล เรามาเยี่ยมแล้วนะ”

    “.....”

    “หายไวๆ นะ ทุกคนรออยู่”

    พยาบาลเดินเข้ามาบอกผู้มาเยี่ยมว่าหมดเวลาเยี่ยมผู้ป่วยแล้ว มะขามจึงประคองแม่ของเกิ้ลไว้พร้อมเอ่ยปากอาสาไปส่ง ใช้เวลาสักพักกว่ามะขามจะโน้มน้าวเป็นผลสำเร็จ เธอจึงรีบกุลีกุจอช่วยแม่ของเกิ้ลถือกระเป๋าสัมภาระแล้วเดินไปขึ้นรถ


    ในขณะที่รถติดไฟแดงอยู่นั้น แม่ของเกิ้ลเอ่ยพูดขึ้นมาลอยๆ

    “เกิ้ลมันไม่เคยมีแฟน ถ้าหนูไม่พูดออกไปเกิ้ลมันก็ไม่รู้หรอกนะ”

    “....”

    มะขามหันไปมองหญิงร่างท้วมด้วยสีหน้าตกใจ

    “คุณน้า...รู้เหรอคะ? ”

    แม่ของเกิ้ลพยักหน้าแทนคำตอบ ทำเอาคนตัวเล็กรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที ความกังวลเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอแสดงออกมากเกินไปสินะ แล้วเกิ้ลจะรู้รึเปล่า? ก่อนที่จะคิดอะไรได้ต่อ หญิงมีอายุก็เอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่าสาวผมบลอนด์กำลังคิดอะไรไปต่างๆ นานา

    “เกิ้ลรักหนูมะขามมากนะ พูดถึงหนูให้น้าฟังตลอด”

    “....”

    เกิ้ลรักหนูมะขาม งั้นเหรอ? ไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย?

    “ถ้าเกิ้ลมีโอกาสฟื้นขึ้นมา…”

    “คุณน้าคะ ขามเชื่อว่าเกิ้ลต้องฟื้นขึ้นมาเป็นปกติแน่นอนค่ะ”

    มะขามหันไปส่งยิ้มให้กับคนข้างๆ ที่รีบยกมือขึ้นปาดไล่น้ำตา

    เธอจอดรถแล้วช่วยแม่ของเกิ้ลถือของเข้าบ้าน คนแก่ในสภาวะแบบนี้ปล่อยให้อยู่คนเดียวมีแต่จะแย่ลงเปล่าๆ เธอจึงอยู่รอจนแกตกลับมาถึงก็ขอตัวกลับ


    คำพูดของหญิงร่างท้วมยังคงวนเวียนรบกวนจิตใจของมะขามไปตลอดคืน ประกอบกับคำพูดและการกระทำของเกิ้ลที่ก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนร่างสูงของเธอจะรู้สึกแบบเดียวกัน


    วันที่ 5 แล้วหลังจากที่เกิดเรื่อง มะขามที่รีบเคลียร์งานให้เสร็จก็รีบขับรถมาโรงพยาบาล เธอดูนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆ ในใจเริ่มร้อนรนเพราะวันนี้งานเยอะทำให้เธอต้องสะสางจนเกือบจะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว

    เดินมายังห้องไอซียูไม่เห็นเกิ้ลนอนอยู่ในนั้น หัวใจเธอเต้นโครมครามทันที เกิดอะไรขึ้นนะ? เกิ้ลหายไปไหน? มือเล็กควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือเพื่อโทรหาแม่ของเกิ้ลอย่างเร่งรีบ แต่ก็ไม่มีใครรับสาย เธอเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องไอซียูอย่างร้อนรน นิ้วเรียวก็กดต่อสายหาแม่ของเกิ้ลไม่หยุดหย่อน

    ขออย่าเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นอีกเลยนะ ขอร้องล่ะ

    ในขณะที่เธอกำลังจะวิ่งไปที่ประชาสัมพันธ์ แม่ของเกิ้ลก็โทรกลับมาหาเธอพอดี

    “คุณน้าคะ… (เกิ้ลออกจากห้องไอซียูแล้ว หนูมาที่ห้อง xx ชั้น xx ได้เลย) ”

    ออกจากห้องไอซียูแล้ว? แปลว่าเกิ้ลฟื้นแล้วสินะ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย เธอรีบวิ่งตรงไปขึ้นลิฟท์ นิ้วเรียวกดชั้นที่ต้องการย้ำๆ ราวกับว่าจะช่วยเพิ่มความเร็วของลิฟท์ เมื่อถึงชั้นที่ต้องการเธอไม่รอให้ประตูลิฟท์เปิดจนสุดก็แทรกตัวออกมาทันที เร่งฝีเท้าก้าวเร็วขึ้น สายตาไล่ดูป้ายเลขห้อง จนในที่สุดก็เจอ เธอเปิดประตูเข้าไปเจอเพื่อนคนพิเศษนอนอยู่บนเตียง และแม่ของเกิ้ลนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

    “เกิ้ลฟื้นแล้วเหรอคะ? ”

    มะขามพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงตื่นเต้น รอยยิ้มกว้างที่ผุดบนใบหน้าของเธอทำให้แม่ของเกิ้ลถอนใจพลางส่ายหน้าเบาๆ

    “ยังไม่ฟื้นจ้ะ อาการดีขึ้นแต่ยังอยู่ในภาวะสมองบาดเจ็บ”

    “....”

    “หมอบอกว่าเกิ้ลอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว”

    “ค..คุณน้าหมายความว่า...เกิ้ลจะเป็นเจ้าหญิงนิทราเหรอคะ? ”

    หญิงร่างท้วมพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างทนไม่ไหว รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าสวยของมะขามเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป เธอเอื้อมมือไปกอดแม่ของเกิ้ลไว้พลางเอ่ยเสียงนุ่มเพื่อปลอบประโลม

    “เรายังมีหวังนะคะ อย่าเพิ่งถอดใจ”

    “....”

    “เกิ้ลเป็นคนเข้มแข็ง มุ่งมั่น ขามเชื่อว่าตอนนี้เกิ้ลกำลังสู้ไปพร้อมๆ กับเราแน่นอนค่ะ”

    มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของคนเป็นแม่ดังอยู่พักใหญ่ จนแกตเดินเข้ามาในห้อง

    “สวัสดีครับน้องมะขาม”

    “สวัสดีค่ะพี่แกต”

    มะขามจึงลุกขึ้นให้แกตนั่งแทนที่เธอ เขานั่งลงข้างๆ แม่พลางโอบกอดไว้

    “แม่...น้องต้องหายดี ดูหน้าน้องสิเริ่มมีเลือดฝาดแล้วเห็นมั้ย แป๊บๆ มันก็ฟื้นมาวิ่งเล่นเหมือนเดิมแล้ว”

    “....”

    “พี่แกตพาคุณน้ากลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวขามเฝ้าแทน”

    “แต่น้องมะขามต้องไปทำงาน”

    “พรุ่งนี้วันเสาร์ค่ะ ไม่เป็นไร พี่แกตกับคุณน้าไม่ต้องห่วงนะคะ”

    แกตนิ่งอย่างชั่งใจอยู่พักนึง ก่อนจะหันไปลูบแขนของแม่พลางพูดเสียงนุ่ม

    “แม่ครับ กลับเถอะนะ น้องมะขามเค้าอยู่ไม่ห่างเกิ้ลหรอก”

    “งั้นน้าฝากเกิ้ลด้วยนะ”

    “จะดูแลอย่างดีค่ะ” พูดพลางยกยิ้มให้แม่ของเกิ้ล


    หลังจากส่งครอบครัวของเกิ้ลเสร็จ เธอก็กลับมานั่งทอดสายตามองเกิ้ลอย่างพิจารณา จริงอย่างที่แกตพูด ถึงแม้จะมีรอยฟกช้ำสีเข้มกระจายอยู่ทั่วใบหน้าและร่างกาย แต่สีหน้าของเกิ้ลก็ดูดีขึ้นกว่าวันแรกที่ยังอยู่ในห้องไอซียู

    “เกิ้ล”

    “....”

    สาวผมบลอนด์เอื้อมไปจับมือซ้ายของร่างสูงแล้วยกขึ้นกดจูบที่หลังมือเบาๆ หยาดน้ำตาใสค่อยๆ ไหลรินอาบแก้มนุ่มทั้งสองข้างอย่างไม่รู้ตัว

    เกิ้ลอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว

    คำพูดยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เล่นวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนมีดมากรีดแทงที่หัวใจให้เธอรู้สึกเจ็บปวดจนแน่นหน้าอก เธอไม่มีทางเชื่อหรอกว่าเกิ้ลจะไม่ฟื้น หมอโกหกทั้งเพ! ถ้าไม่ฟื้นแล้วเกิ้ลจะอาการดีขึ้นได้ยังไง คนอย่างเกิ้ลก็เหมือนหมีขี้เซาที่ตอนนี้แค่นอนจำศีลเท่านั้นแหละ

    “เราเชื่อว่าเกิ้ลทำได้ เกิ้ลต้องต่อสู้เพื่อกลับมาหาเรา กลับมาหาทุกคนที่เกิ้ลรักนะ”

    “....”

    กดจูบเบาๆ ที่หลังมือของเกิ้ลอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตา

    “เราสัญญาว่าถ้าเกิ้ลฟื้น เราจะบอกตรงๆ ว่าเรารักเกิ้ลมากแค่ไหน”


    ย้อนกลับไป 5 วันก่อนหน้า

    ในขณะที่เกิ้ลกำลังจะกระโดดข้ามตึก สายตาของเธอโฟกัสอยู่ที่เพื่อนตัวเล็กของเธอ วอร์มขาเรียบร้อยก่อนจะออกวิ่ง แต่แล้วอาจเป็นเพราะวันนี้เธอใช้ร่างกายหนักเกินไปทำให้ตะคริวเกิดกินที่ขาซ้ายพอดี เอื้อมมือคว้าขอบตึกไว้แล้วแต่มือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อก็ทำให้ยึดไว้ไม่อยู่

    เธอรู้สึกถึงแรงกระแทกเข้าที่ร่างด้านขวา ก่อนจะรู้สึกถึงกระดูกในตัวหักดังเป๊าะ ชาไปชั่วขณะหนึ่งแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดโหมกระหน่ำเข้ามาแทบจะในทันที เกิ้ลอยากจะอ้าปากกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดแต่กลับทำได้แค่ภายในใจ ก่อนที่เธอจะเห็นเพื่อนคนพิเศษรีบวิ่งมาหา สีหน้าแบบนั้น อาการตื่นกลัวแบบนั้น คำพูดของมะขามที่คอยให้กำลังใจ เธอรับรู้ทั้งหมดและอยากจะเอ่ยปากตอบมะขามเหลือเกิน

    พยายามมองเพื่อนตัวเล็กที่ฝืนยิ้มในขณะที่ชวนเธอคุยบนรถกู้ภัย

    พยายามออกแรงบีบมือที่สัมผัสกับมือของเธออยู่ตอบกลับไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าเพื่อนตัวเล็กของเธอจะรู้สึกถึงมันรึเปล่านะ พยายามขยับปากเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร แต่ทุกอย่างมันกลับหนักอึ้งไปซะหมด


    สติกำลังเลือนลางไปทีละน้อย สายตาที่ทอดมองเพื่อนตัวเล็กค่อยๆ พร่ามัวลงทุกที เธอเป็นต้นเหตุทำให้มะขามร้องไห้อีกแล้ว ทั้งๆ ที่สัญญากับตัวเองไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่ทำอีก แกมันโคตรห่วยแตกเลยว่ะไอ้เกิ้ล ร่างกายที่ว่าปวดร้าวไปทุกส่วนแล้วนั้น ยังไม่เทียบเท่ากับหัวใจของเธอที่รู้สึกเจ็บปวดในยามที่ต้องเห็นเพื่อนคนพิเศษร้องไห้ ความรู้สึกสุดท้ายคือเธอไม่อยากเห็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตต้องร้องไห้อีกแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ ดับมืดลง...


    เกิ้ลเดินเข้าไปในห้องสีขาวที่ดูไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่มีประตู ไม่มีหน้าต่าง มีแต่ผู้คนต่างอาชีพ ต่างวัยเดินกันให้ขวักไขว่ แต่น่าแปลก...ไม่ว่าจะตะโกนเรียกใคร วิ่งไปทางไหนก็เจอแต่คนเดินไปเดินมาไม่สนใจเธอ ไม่มีใครหันมามอง ไม่มีการพูดคุยหรือสบตาเลยแม้แต่คนเดียว จนเธอรู้สึกเหนื่อย ทรุดตัวลงแล้วร้องไห้ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปไหนก็ไม่รู้

    เธอตายแล้วจริงๆ สินะ นี่คงจะเป็นทางไปสวรรค์...ไม่สิ น่าจะเป็นทางไปนรกมากกว่า เพราะตอนมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สะสมแต้มบุญอะไรสักเท่าไหร่ แต่ที่รู้ๆ คือยังไม่อยากตาย คิดได้ดังนั้นเกิ้ลก็เอ่ยพูดออกไปอย่างคนหมดหนทาง

    “ฉันยังไม่อยากตาย”

    “ใครว่าเธอตายกันล่ะ? ”

    ร่างสูงรีบเงยหน้ามองหาเสียงปริศนา เป็นเสียงผู้หญิงที่เล็กและแหลม จะว่าเสียงน่ารักก็ไม่ใช่ แต่จะบอกว่าน่ากลัวก็พูดได้ไม่เต็มปาก ผู้คนยังคงเดินไปมาอยู่ ไม่ได้รับรู้ถึงเสียงปริศนานั้น หรือจริงๆ แล้วหูฝาดไปเอง

    “นั่นใครน่ะ? ”

    ลุกแล้วเอ่ยปากถามบุคคลลึกลับที่อาจจะกำลังเฝ้ามองเธออยู่จากที่ไหนสักแห่ง พยายามมองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาต้นเสียงเมื่อครู่

    “ฉันอยู่ที่ไหน? ”

    ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ ก่อนที่เกิ้ลจะได้ยินเสียงวัตถุตกกระทบกับพื้นสีขาว

    กริ๊งงงง

    เธอกวาดสายตามองหาต้นตอของเสียงจนไปสะดุดกับสร้อยเงินเส้นหนึ่งมีจี้เป็นวงกลมขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ของเหลวสีชมพูถูกบรรจุไว้ภายในจี้เงินตกอยู่ เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาพลิกหน้าหลัง มันไม่เหมือนสร้อยที่เคยพบเจอมาเลยทั้งชีวิต เธอขมวดคิ้วพลางเอ่ยพูดอย่างพิศวง

    “อะไรกันวะเนี่ย? ”

    ก่อนที่แสงในห้องจะเพิ่มความสว่างขึ้นทีละน้อยจนเกิ้ลต้องยกมือขึ้นมาป้องตาไว้ พยายามเพ่งสายตามองไปรอบๆ แต่แล้วสายตาก็เริ่มพร่ามัวจากการมองแสงสว่างจ้านานเกินไป


    เมื่อลืมตาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ที่หลังแนวพุ่มไม้ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือนอนคว่ำอยู่ใต้กองใบไม้ต่างหาก ในมือยังคงกำสร้อยเงินเส้นนั้นไว้ เธอยันตัวลุกขึ้นยืนทำให้เศษใบไม้ร่วงหล่นไปตามแรงโน้มถ่วง มือยัดสร้อยเก็บใส่กระเป๋ากางเกง แล้วออกเดินไปตามแนวพุ่มไม้ที่ดูเหมือนทอดยาวไม่มีจุดสิ้นสุด ก่อนจะตัดสินใจฝ่าแนวพุ่มไม้ออกมา เป็นเหตุให้กิ่งไม้เล็กๆ ติดเสื้อผ้าและเรือนผมเต็มไปหมด เธอพยายามปัดออกในขณะที่เดินไปตามทาง

    สภาพแวดล้อมต่างไปจากที่เกิ้ลเคยใช้ชีวิตอยู่ แต่ก็พอจะจำได้ว่ามันคือที่ไหน เธอยกยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีแล้วเอ่ยพูดกับตัวเอง

    “ทุกคนต้องตกใจแน่ๆ อยากเห็นสีหน้าขามตอนเจอเราจัง”


    เกิ้ลเดินเลี้ยวซ้ายและต้องหยุดฝีเท้าแทบจะทันที เลี้ยวซ้ายแล้วก็ต้องเห็นทางเข้าหมู่บ้านแล้วสิ รอยยิ้มที่ตอนแรกยังปรากฎอยู่บนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป เธอขมวดคิ้วพลางมองสำรวจรอบๆ ตัว

    “นี่มันบ้าอะไรกัน? ”

    สาวเท้าเดินก้าวไปเรื่อยๆ ผู้คนที่เดินสวนเธอมองตอบกลับมาเป็นบางครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จนกระเพาะเริ่มร้องส่งสัญญาณว่าควรจะหาอะไรกินเสียที ว่าแล้วก็หยุดหน้าร้านสะดวกซื้อพลางเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะทำตาโต

    “เอาจริงดิ? ”

    เกิ้ลตบๆ กระเป๋ากางเกง และกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเอง ไร้วี่แววกระเป๋าสตางค์ มีเพียงแค่สร้อยเงินเท่านั้นที่ติดตัวเธออยู่ตอนนี้ ด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ เธอไม่มีทางเลือกแล้วเพราะตอนนี้ท้องร้องเหมือนไส้จะขาด

    “เอาวะ! ลองคุยกับพนักงานดู”

    เอื้อมมือกำลังจะเปิดประตูร้านแต่ก็ถูกมือปริศนากระชากแขนไว้จนเธอเสียการทรงตัว

    “เฮ้ย!! ”


    ติดตามอ่านตอนล่าสุดได้ใน ReadAWrite น้าาาาาา จิ้มตรงนี้ได้เลยยย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in