“ลงมาได้แล้ว ฉันหิว”
พูดจบควีนก็เดินเข้าร้านอาหารตามสั่งไป ทิ้งให้เกิ้ลนั่งงงพลางบ่นอุบอยู่คนเดียว
“อะไรของเค้าวะ? ”
เกิ้ลเหลียวมองคนหน้าสวยที่จ้องมองเธออยู่แถมยังทำหน้าถมึงทึงใส่ ถึงเธอไม่ลงก็คงจะโดนยัยเจ๊นี่จับลากให้ลงไปอยู่ดี
สองสาวยืนอยู่หน้าร้านอาหารตามสั่งที่มีผู้ชายวัยกลางคนดูทะมัดทะแมงกำลังยกกระทะอย่างชำนาญ กระเพาะของเกิ้ลร้องโครกครากคำรามไม่หยุดหย่อนเพราะกลิ่นหอมของอาหารและเสียงผัดเสียงเคาะกระทะนี่มันช่างยั่วยวนชวนน้ำลายไหล น่ากินเป็นบ้าแต่ก็กินไม่ได้เพราะเธอไม่มีเงินติดตัวสักบาท ได้แต่ยืนกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ อยู่ตรงหน้าร้านนั่นแหละ
“ลุงคะ ควีนเอาเหมือนเดิมนะคะ”
“อ้าวคุณควีน สวัสดีครับ รับทราบครับผม จะเสกอาหารอร่อยๆ ให้บัดเดี๋ยวนี้”
ควีนเบนหน้ามาหาเกิ้ลที่ยืนกลืนน้ำลายอย่างหิวโหย สายตาละห้อยที่เจ้าเด็กตาตี่มองตามกระทะอาหารนี่มันก็น่าสงสารเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“อยากกินอะไรก็สั่งได้เลย”
“ฉันไม่มีเงิน”
“ฉันเลี้ยง”
เกิ้ลรีบส่ายหน้าดิก ถึงเธอจะหิวมากแต่เธอก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร โดยเฉพาะกับยัยเจ๊เตี้ยนี่ ไม่เด็ดขาด!
“ไม่เอา ฉันไม่อยากติดหนี้ใคร”
จ๊อกกกกกกกกกก
โธ่เว้ยไอ้กระเพาะไม่รักดีนี่ก็ร้องจัง ควีนมองเธอตาขวางก่อนจะเอ่ยพูดเสียงเข้ม
“สั่งซะ อีก 5 นาทีถ้าเธอยังไม่สั่ง ฉันจะจับเธอ”
“ข้อหาอะไรมิทราบคะ? คุณเลิกใช้อำนาจข่มเหงประชาชนได้ป่ะ? ”
“อย่ามากล่าวหา! ฉันไม่ใช่พวกตำรวจเลว”
เกิ้ลหันไปมองควีนที่เดินไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว เธอจึงหันไปสั่งอาหาร ตอนนี้ทิฐิและศักดิ์ศรีไม่ได้ทำให้ท้องอิ่ม งั้นไว้ค่อยหาเงินมาคืนยัยป้านี่แล้วกัน
“เอากะเพราหมูสับจานนึงค่ะ”
“ได้เลยครับคุณผู้หญิง”
เธอเดินมานั่งที่โต๊ะก็เห็นขวดน้ำเปล่าที่ควีนหยิบมาเผื่อเธอ จึงกล่าวขอบคุณคนตรงหน้า
“ขอบคุณค่ะ”
ร่างบางไม่ได้ตอบรับคำขอบคุณของเธอ และทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนเจ้าของร้านยกจานข้าวมาเสิร์ฟ
“นี่ครับหมูสับกะเพรากรอบไข่ดาวของคุณควีน กับกะเพราหมูสับของคุณผู้หญิง”
“ขอบคุณค่ะ/ขอบคุณค่ะ”
ควีนมองจานของเกิ้ลแล้วเอ่ยพูดขึ้นทันที
“ขี้เลียนแบบ”
“เดี๋ยวนะ คุณสั่งว่าเหมือนเดิมมั้ยเอ่ย? ฉันจะลอกคุณยังไงถามหน่อย”
“กินไป อย่าพูดมาก”
เอ้า! ยัยป้านี่ชักจะกวนทรีนใหญ่ละนะ ตัวเองเริ่มเองแท้ๆ มาหาว่าเราพูดมาก! จะเอายังไงห๊ะเจ๊!!
ทั้งสองนั่งกินข้าวกันอย่างเงียบๆ ซึ่งเกิ้ลใช้เวลาไม่นานก็กินข้าวหมด ในขณะที่ควีนยังคงละเลียดกินไปได้แค่ครึ่งจาน เธอเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าที่แกล้งเสตามองไปรอบๆ
“ใครเขาสอนให้มานั่งมองคนกำลังกินข้าว? ไม่มีมารยาท”
“แล้วจะให้ฉันทำอะไร? เดินไปไหนก็ไม่ได้”
“ก็เล่นมือถือรอไปสิ”
ยัยเจ๊นี่ก็ขยันด่าจริง เมื่อเช้าท้องผูกรึไงกัน ถึงได้ขี้เหวี่ยงขี้วีนอารมณ์แปรปรวนแบบนี้
“ฉันไม่มีไง! คุณก็ค้นตัวฉันหมดแล้วนี่ อ้อ...แล้วอีกอย่างนะ เล่นมือถือขณะที่คนอื่นกินข้าว ไม่มีมารยาท”
“เอ๊ะนี่! กล้าต่อปากต่อคำกับฉันงั้นเหรอ? ”
เกิ้ลเบือนหน้ามองไปทางอื่นเพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับคนตรงหน้าพลางเอ่ยพูด
“คุณกินข้าวไปเถอะ”
เธอเดินตามสารวัตรร่างบางไปขึ้นรถหลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าสถานดูแลคนไร้บ้านนี่จะมีสภาพเป็นยังไงนะ? จากนี้ไปก็คงจะเป็นบ้านใหม่ของเธอจนกว่าจะตื่นจากฝันบ้าๆ นี่
เกิ้ลนั่งทอดสายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง จนในที่สุดรถก็จอดนิ่งที่บ้านหลังหนึ่ง
“อ้าว…”
“เธอไม่มีสิทธิ์ถามอะไรทั้งนั้น”
น้ำเสียงน่ากลัวจากร่างบางที่เอ่ยขึ้นโดยไม่รอให้เธอพูดจนจบประโยค ทำให้ต้องกลืนน้ำลายพร้อมคำถามทั้งหมดลงไป ได้แต่เดินตามควีนเข้าไปในบ้านเหมือนลูกหมาเดินตามเจ้าของ
ถึงจะบอกว่าเดินตามเข้าบ้านก็เถอะ แต่สารรูปที่เหมือนตกถังขยะมาอย่างเธอก็ไม่กล้าที่จะก้าวขาเข้าไปในตัวบ้านที่ดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบไปซะทุกตารางนิ้วแบบนั้นหรอก จึงตัดสินใจยืนนิ่งอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน สายตาก็มองควีนเดินหายขึ้นไปชั้นบน แล้วลงมาพร้อมกับข้าวของในมือ จู่ๆ เจ๊แกก็หันมามองทางที่เธอยืนอยู่แล้วเดินเข้ามาหา คิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าแบบนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะโดนคนตรงหน้าด่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
“จะยืนเป็นอนุสาวรีย์อีกนานมั้ย? ”
“....”
หึ...เดาผิดซะที่ไหนล่ะ แล้วไม่พูดเปล่านะ เจ๊แกก็เอาข้าวของในมือมายัดให้ซะงั้น แต่เรื่องอะไรเธอจะถือให้ล่ะ ไม่มีทางซะหรอก
“ไปอาบน้ำ”
“....”
เดี๋ยวนะ...เจ๊แกพูดว่าอาบน้ำ? จะมาไม้ไหนกันวะเนี่ย? เกิ้ลมองควีนด้วยความสงสัย
“ยังจะมามองหน้าอีก อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ”
ก่อนจะโดนด่าไปมากกว่านี้ เธอรีบรับข้าวของไว้อย่างงงๆ ฝีเท้าก็ก้าวตามร่างบางที่เดินมาหยุดหน้าห้องน้ำ
“น้ำอุ่นหมุนซ้าย น้ำเย็นหมุนขวา สบู่แชมพูอยู่ในนั้นหมดแล้ว”
แล้วเจ๊แกก็สะบัดก้นเดินขึ้นชั้นบนไปเลย
อิหยังวะคะ? งงแล้วจ้านาทีนี้ บอกคนแปลกหน้าที่เจ๊แกเรียกว่าคนเร่ร่อนให้ไปอาบน้ำเนี่ยนะ?
คำถามเยอะแยะในหัวตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แต่สารรูปของเธอในตอนนี้ก็สมควรอาบน้ำแหละ ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตไม่เคยต้องตกต่ำเท่านี้มาก่อน ผมเป็นก้อนๆ มีเศษใบไม้และกิ่งไม้ติดเต็ม เสื้อผ้ามอมๆ ขาดเป็นหย่อมๆ ตัวก็เขรอะๆ เปรอะดินเปื้อนทราย ถ้ามะขามมาเจอเธอในสภาพแบบนี้นี่โดนบ่นจนหูชาแน่
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะแกะเศษกิ่งไม้ออกจากผมจนหมด แล้วชำระล้างร่างกายให้สะอาดดังเดิม เสื้อผ้ารวมถึงชุดชั้นในทั้งหมดที่ควีนเตรียมให้ก็เป็นของใหม่แกะห่อ เธอหยิบสร้อยเงินขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ในเมื่อมันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เธอมีในตอนนี้ก็ใส่ติดตัวไว้แล้วกัน เธอจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปคล้องสร้อยเงินไว้ที่คอของตัวเอง
เกิ้ลที่อยู่ในชุดกางเกงนอนขายาวลายตารางสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งก้าวขาเดินออกจากห้องน้ำ สายตามองผ่านไปที่ห้องนั่งเล่นเห็นเจ้าของบ้านกำลังนั่งรอเธออยู่ จึงเดินก้มหน้าก้มตาไปนั่งจ๋องที่โซฟาฝั่งตรงข้ามเงียบๆ รู้สึกได้ถึงพลังแห่งสายตาของคนตรงหน้ากำลังจ้องมองเธออยู่
“เธอรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงพาเธอมานี่? ”
“ไม่ทราบค่ะ”
เดาใจเจ๊แกก็เหมือนให้เดาว่าเมื่อไหร่นายกบางประเทศจะลาออกนั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ยากเกินจะคาดเดาและเป็นไปไม่ได้
“แล้วไม่สงสัยเหรอ? ”
“สงสัยค่ะ”
“สงสัยแต่ไม่ถาม? ”
“คุณบอกว่าฉันไม่มีสิทธิ์ถามอะไรทั้งนั้น”
เกิ้ลตอบทั้งๆ ที่ไม่ได้เงยหน้ามองคนหน้าสวย ใครจะไปกล้าล่ะ ก็ยัยป้านี่ดุอย่างกับร็อตไวเลอร์ผสมพิตบูลแบบนี้ แค่เสียงขยับตัวยังน่ากลัวเลยอ่ะคิดดู ทำเอาคนตรงข้ามหัวเราะในลำคอ
“บทจะเชื่อฟังก็ทำดีเหลือเกิน”
“....”
“มองหน้าฉัน”
“....”
“อย่าให้ต้องพูดซ้ำ”
ร่างสูงรีบเงยหน้าขึ้นมองตามคำสั่ง ใบหน้าใสไร้เครื่องสำอางกับชุดนอนเหมือนที่เธอใส่ทำให้เกิ้ลรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นกว่าทุกครั้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์จากผิวกายของคนตรงหน้าทำให้เธอได้ประหลาดใจทุกครั้งว่าคนอะไรจะตัวหอมได้ตลอดเวลาขนาดนี้นะ ยิ่งใบหน้าตอนไร้เครื่องสำอางด้วยแล้วทำเอาเธออยากจะเอ่ยถามเลยว่าไปทำหมอไหนมาคะคุณป้าถึงได้หน้าเด็กขนาดนี้!! เป๊ะทุกกระเบียดนิ้วบนใบหน้าซะแทบอยากจะตะโกนอัดหน้ายัยป้านี่ว่าโคตรสวยเลยให้ตายเถอะ!!!
“ฉันได้ฉายาสารวัตรลมกรดเพราะฉันไวที่สุด คล่องตัวที่สุด แต่เห็นทีฉันคงใช้ฉายานี้ต่อไปไม่ได้แล้วเพราะเธอ”
ควีนชี้นิ้วมาที่เกิ้ลที่ทำหน้างง แล้วคือเกี่ยวอะไรกับที่พามาที่บ้านแล้วให้เธออาบน้ำอ่ะ? คนหน้าสวยจ้องมองเธอราวกับกำลังคิดอะไรในใจอยู่
“และนั่นคือเหตุผลที่ฉันพาเธอมาที่นี่”
“คะ? ”
“ฉันเสียดายความสามารถเธอ ถ้าเอาไปปล่อยทิ้งไว้ที่สถานดูแล”
“หมายถึง? ”
งงไปหมดแล้วเนี่ย คืออาเจ๊แกหมายถึงว่าเธอไม่ต้องไปอยู่ที่รวมคนไร้บ้านแล้วเหรอ?
ควีนถอนหายใจพลางเอ่ยพูดเสียงเรียบ
“พรุ่งนี้ฉันจะคุยกับผู้กำกับเรื่องเธอ”
“....”
“และคืนนี้เธอนอนโซฟาไปแล้วกัน”
“เดี๋ยวสิคุณ”
“รู้ใช่มั้ยว่าถ้าคิดหนีจะเป็นยังไง? ”
มองหน้าคนสวยที่ตอนนี้เหยียดรอยยิ้มแสนหวานส่งให้เธอแล้วลุกเดินขึ้นห้องไป แต่เธอไม่ได้รู้สึกดีกับรอยยิ้มนั้นเลยสักนิด มันเหมือนเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวพร้อมกับบอกเป็นนัยๆ ว่าอย่าริอ่านทำอะไรแผลงๆ ไม่งั้นจะเจอดีแน่ คนอย่างยัยป้าหน้าเด็กคงตามหาเธอได้ไม่ยากเย็นอะไรอยู่แล้ว
คิดได้อย่างนั้นจึงจัดแจงหมอนกับผ้าห่มที่ควีนน่าจะขนจากชั้นบนมาวางไว้ให้ตอนเธออาบน้ำให้เข้าที่ ก่อนจะล้มตัวลงนอนและเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็วจากความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งวัน
เกิ้ลสะดุ้งตื่นหลังจากได้ยินเสียงแก้วแตกอยู่ไกลๆ เธอลุกขึ้นเดินงัวเงียไปเปิดผ้าม่านดู เสียงเหล่าวิหคเริ่มขับร้องบ่งบอกถึงเช้าวันใหม่ ท้องฟ้าที่เคยมืดมัวก็เริ่มมีแสงอาทิตย์สาดส่องรำไร เธอจึงจัดแจงทำธุระส่วนตัวจนเสร็จและเดินกลับมาเขียนโน้ตขอบคุณวางไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วเดินออกจากบ้าน ไม่ลืมที่จะล็อคประตูให้เพราะถึงอาเจ๊แกจะเป็นตำรวจ แต่ก็เป็นผู้หญิงแถมอยู่บ้านคนเดียวซะด้วย
เธอไม่ได้คิดจะหนี หากแต่รู้สึกเกรงใจมากเกินกว่าที่จะอยู่รบกวนและเป็นภาระของสารวัตรควีน จึงเลือกที่จะไปลองของานทำตามร้านดีกว่า อย่างน้อยสารรูปเธอก็ไม่ได้ดูเหมือนเพิ่งตกถังขี้อย่างคราวก่อน มันต้องมีสักร้านแหละที่รับเข้าทำงาน
สารวัตรร่างบางเดินลงมาในชุดนอกเครื่องแบบเหมือนเคย เสื้อไหมพรมสีขาวถูกสวมทับด้วยเบลเซอร์สีดำกับกางเกงยีนส์สีซีด เดินเข้าครัวเพื่อทำขนมปังปิ้งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีสมาชิกใหม่นอนอยู่ที่โซฟา จึงเดินไปหาแต่ก็พบกับความว่างเปล่า ควีนยกมือเล็กขึ้นเสยผมพลางแสยะยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ยพูดกับตัวเอง
“หึ อยากลองดีสินะ”
ไม่รอช้า เธอหยิบขนมปังปิ้งขึ้นมาคาบไว้ ในมือถือกระปุกแยมองุ่น มืออีกข้างสะพายกระเป๋าถือสีขาวแล้วขึ้นรถขับไปตามทาง ระหว่างที่ติดไฟแดงเธอก็ปาดแยมองุ่นใส่ขนมปังแล้วกินไปด้วย สายตาก็สาดส่องหาคนดื้อด้านอยู่ ก่อนจะไปเจอเกิ้ลยืนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ เธอจึงจอดรถแล้วลงไปยืนดูห่างๆ
“พี่ ช่วยฉันเถอะนะ ฉันอยากมีงานทำ”
“น้องก็เอาเอกสารยืนยันตัวตนมาสิ มาตัวเปล่าแบบนี้ให้ทำไม่ได้หรอก มันผิดกฎหมาย”
ร่างสูงดึงแขนเสื้อของพนักงานพลางทำหน้าน่าสงสารและเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“นะพี่นะ ฉันอยากมีเงินจริงๆ ”
“ไปหาร้านอื่นเถอะ ถ้ายังตื๊ออีกพี่จะโทรแจ้งตำรวจแล้วนะ”
เกิ้ลจึงตัดใจยอมแพ้ ถอนใจเฮือกใหญ่พลางหันกลับมาจะเดินไปหาร้านอื่นต่อ แต่ก็เจอร่างบางยืนกอดอกจ้องมองเธออยู่
“ขึ้นรถ”
“ไม่เอา”
“เร็วๆ เดี๋ยวฉันไปเข้าเวรสาย”
“คุณก็ไปคนเดียวสิ”
ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินไปทางอื่น แต่ก็ถูกควีนเอ่ยพูดดักไว้จนต้องจำใจหยุดก้าวเดินต่อ
“อยากโดนจับอีกรึไง? ”
“เลิกข่มขู่ฉันสักทีเถอะ”
“ฉันไม่ได้ขู่ เมื่อวานฉันบอกไปแล้ว เป็นคนเร่ร่อนมันผิดกฎหมาย”
เกิ้ลถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน เอะอะก็ใช้อำนาจตำรวจบังคับตลอดเลยนะยัยป้านี่!
ขาก็ก้าวเดินไปขึ้นรถแต่โดยดี ควีนยกยิ้มมุมปากในระหว่างที่เดินอ้อมไปขึ้นรถ แอบเหลือบมองผู้โดยสารหน้าคมแล้วเอ่ยพูดเสียงเรียบ
“ไปสมัครงานทั้งๆ ที่ไม่มีเอกสารอะไร เขาคงจะรับหรอก”
“....”
“เรื่องงาน ฉันจะลองคุยกับผู้กำกับให้”
“คุณจะให้ฉันไปทำอะไร? ”
“สายให้ตำรวจ”
เป็นสายให้ตำรวจเนี่ยนะ? ไม่มีทาง! เกิดพลาดโดนยิงทิ้งขึ้นมามีหวังแม่ร้องไห้เสียใจตาย ไหนจะมะขามอีก ไม่เอาด้วยหรอก หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ทำ!
“ทำไมคุณถึงอยากให้ฉันไปทำนัก? ”
“ฉันบอกไปแล้ว นึกเอาเอง”
“คุณไว้ใจคนง่ายไปรึเปล่า? เป็นตำรวจไม่ใช่เหรอ? ”
ควีนนิ่งอึ้งกับคำพูดของเกิ้ล นั่นสินะ...ทำไมเธอถึงรู้สึกสนิทใจกับผู้หญิงเร่ร่อนคนนี้ ถึงขนาดพาเข้าบ้านทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ แถมยังจะไปคุยกับผู้บังคับบัญชาให้เอาเข้าทำงานด้วยอีก นี่แกเป็นบ้าอะไรไปยัยควีน?
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนเลว”
“โอ้โห กล้าพูดนะคุณ แล้วไอ้ที่จับฉันยัดเข้าซังเตเมื่อสองวันก่อนนี่เรียกอะไรคะ? ”
“อย่าพูดมาก”
พอเจ๊แกเถียงไม่ได้ก็ตัดบทแบบนี้ทุกที แล้วทั้งสองไม่ได้มีบทสนทนากันต่อจนถึง สน. เธอเดินตามสารวัตรร่างบางไปอย่างเงียบๆ จู่ๆ เจ๊แกก็หยุดเดินแล้วหันมาหา ไอ้เราที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็เกือบจะเดินชนแน่ะ
“นั่งรอตรงนี้ก่อน”
“ค่ะ”
สายตากวาดสำรวจคนตรงหน้าอย่างเร็วๆ ก่อนจะรีบคว้าแขนของร่างบางไว้
“อะไรของเธอ? ”
เกิ้ลเอื้อมมือไปจัดปกเสื้อของควีนที่พับไม่เรียบร้อยให้เข้าที่
“จะไปคุยกับหัวหน้าก็แต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อยสิคะ”
“....”
ควีนจิ๊ปากใส่คนตรงหน้า ยัยคนเร่ร่อนนี่ ชักจะเหิมเกริมใหญ่แล้วนะ กลับมาต้องสั่งสอนซะให้เข็ด ในขณะที่เท้าก้าวมุ่งตรงไปยังห้องทำงานของผู้กำกับ สิ่งที่เธอกำลังจะทำมันอาจทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานของเธอพังทลายลงได้ในพริบตา แต่ก็ไม่อาจปล่อยความสามารถพิเศษของเกิ้ลผ่านไปเฉยๆ ได้ เธอสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุดก่อนจะเคาะประตู
ก๊อกๆ
“เชิญค่ะ”
เกิ้ลทอดสายตามองตามควีนที่เดินไปยังห้องผู้บังคับบัญชา
ร่างกายบอบบางขนาดนั้นเป็นถึงสารวัตรได้ยังไงกันนะ? ไหนจะหน้าตาที่สวยเข้าขั้นเทพธิดา ผิวพรรณที่ขาวนวลดูนุ่มนิ่มนั่นอีก ดูยังไงๆ เจ๊แกก็ไม่เหมาะที่จะทำงานตากแดดตากลมวิ่งไล่จับโจรผู้ร้ายเลยสักนิด
ยิ่งเห็นควีนยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้าไปสักทีก็เริ่มรู้สึกผิด ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็ปาไปวันที่สี่แล้ว เธอยังค้นหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงหลุดมาเหมือนเป็นอีกโลกนึงเลยก็ว่าได้ ไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จัก ไม่มีใครเลย การอยู่คนเดียวมันรู้สึกเหงาและเปล่าเปลี่ยวได้ขนาดนี้เชียวหรือ? แล้วไอ้การที่เธอมีชีวิตอยู่ในอีกโลกนึงที่เธอไม่รู้จัก เดินได้ วิ่งได้เหมือนปกติทุกอย่าง แต่ในอีกโลกนึงที่เธออยู่มาทั้งชีวิต เธอยังมีลมหายใจอยู่มั้ยนะ? ตัวตนนั้นยังคงมีอยู่หรือไม่?
หรือจริงๆ แล้ว การที่เธอได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งก็เพราะอีกตัวตนนึงได้ล้มหายตายจากไปจากโลกนั้นแล้ว...
“จะบ้าเหรอ! ถ้าเกิดใหม่เราก็ต้องเป็นทารกสิ”
“ทารกอะไรของเธอ? ”
เสียงควีนดังขึ้นทำเอาเกิ้ลสะดุ้งโหยง เธอไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าร่างบางมายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว
“อะ...เอ้อ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีบ้านเธอสิ! ตามฉันมา”
“คะ? ”
ไม่ทันได้รอคำตอบก็ต้องรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามควีนไปยังห้องผู้กำกับ เห็นร่างบางยืนตัวตรงนิ่งเงียบ เธอจึงยกมือไหว้หญิงสาวที่เข้ามาห้ามทัพเมื่อคราวก่อน
“สวัสดีค่ะ”
“เชิญนั่งค่ะ”
เกิ้ลโค้งหัวเล็กน้อยพลางเอ่ยพูดอย่างนอบน้อม
“ขออนุญาตนะคะ”
ควีนลอบยิ้มที่มุมปากบาง มันอาจประหลาดสำหรับใครหลายคนที่เชื่อใจคนแปลกหน้า แต่สำหรับเธอแล้วค่อนข้างมั่นใจเลยทีเดียวว่ามองคนไม่ผิดแน่
“สารวัตรควีนเล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้ฉันฟังทั้งหมดแล้ว ด้วยทักษะที่คุณมีจากคำบอกเล่าของสารวัตร ฉันขอเสนองานเป็นสายให้เจ้าหน้าที่กับคุณ”
“สาย? ”
“ใช่ค่ะ ไม่มีการพกอาวุธ เป็นเพียงคนที่แฝงตัวเข้าไปตามคดีต่างๆ และเป็นคู่หูให้สารวัตรควีน”
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าโดนทาบทามให้เป็นสายให้ตำรวจ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เจ๊แกจะพูดจริงทำจริง
“มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเหรอคะ? ให้คนที่พวกคุณเรียกว่าคนจรจัดมาเป็นสายให้ตำรวจ”
“ดีแล้วค่ะ ไม่มีใครรู้จัก ปลอมตัวง่ายไม่ผิดสังเกต”
“แต่ฉันไม่มีเอกสารอะไรเลยนะคะ”
“จริงๆ มันมีข้อดีนะคะกับการที่คุณไม่มีเอกสาร เพราะมันทำให้ไม่มีใครค้นประวัติคุณจากทะเบียนราษฎร์ได้”
“....”
“แต่ยังไงฉันก็ต้องดำเนินการยื่นเอกสารระบุตัวตนของคุณใหม่ทั้งหมดอยู่ดี ในส่วนนี้ฉันมอบหมายให้สารวัตรควีนจัดการแล้ว”
ไม่มีเอกสาร ก็หมายถึงว่าการจะได้บรรจุเข้าเป็นพลเมืองคือต้องปลอมแปลงเอกสารไม่ใช่เหรอ?
“ขอโทษนะคะ ไม่ได้อยากจะขัดแต่คือนี่มันยุคไหนแล้วคะ? อยู่ๆ จะให้ปลอมเอกสารเนี่ยนะ? ”
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะปลอมแปลงเอกสาร แต่ฉันบอกว่าสร้างเอกสารระบุตัวตนใหม่นะคะ ลองคิดดูดีๆ แล้วกันค่ะ โอกาสไม่ได้มีมาบ่อยๆ ”
ผู้กำกับสาวสังเกตสีหน้ากังวลของเกิ้ลก็เอ่ยเสียงนุ่มอย่างใจดี
“ไม่ต้องตอบวันนี้ก็ได้ค่ะ อีกสองสามวันค่อยให้คำตอบก็ได้”
ร่างสูงพยักหน้าเบาๆ แล้วลุกขึ้นพลางยกมือไหว้อีกครั้ง ส่วนควีนก็ทำความเคารพ เมื่อทั้งสองเดินออกจากห้อง ร่างบางหันมาเอ่ยพูดกับเกิ้ลทันที
“วันนี้ฉันจะลงพื้นที่ อย่าทำตัวเกะกะแล้วกัน”
“....”
เอ๊ะเดี๋ยวนะ...มันต้องเป็นประโยคคำถามสิ เช่น ‘เธอจะไปกับฉันมั้ย? ’ หรือ ‘เธออยากเรียนรู้งานก่อนรึเปล่า? ’ อะไรแบบนี้ แต่ไหงมันเป็นประโยคคำสั่งไปซะได้
บ่นไปก็เท่านั้นตราบใดที่ขาเธอก็ยังเดินตามควีนต้อยๆ เพื่อไปขึ้นรถ คำถามผุดขึ้นในหัวมากมายแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามคนข้างๆ ที่กำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี นั่งคิดอยู่นานสองนานก็อดใจไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากเรียก
“คุณ”
แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีสิทธิ์ถามอะไรทั้งนั้น เธอจึงเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เรียกแล้วเงียบ ตลกนักเหรอ? ”
“เปล่าค่ะ”
“แปลกคน”
จ้าา แม่คนไม่แปลก แม่คนอายุน้อยร้อยอารมณ์ จะว่าไปอายุก็ไม่น่าจะน้อยแล้วนะเพราะเป็นถึงสารวัตร แต่….
พอได้มาพิจารณาจากด้านข้างของสารวัตรลมกรด ผิวขาวอมชมพูอย่างนั้น ไหนจะเลือดฝาดที่ยังอยู่ตรงแก้มใสอีก ดูยังไง๊ยังไงก็ไม่เหมือนคนใกล้วัยทองเลยด้วยซ้ำ คนบ้าอะไร ด้านหน้าก็โคตรสวย ด้านข้างก็สวยมาก แต่ก็อย่างว่าแหละพลังแห่งฟิลเลอร์โบท็อกซ์นี่มหัศจรรย์จริงๆ
“จะเป็นคู่หูฉันแล้วก็อย่าทำอะไรพิเรนทร์ๆ ล่ะ”
“เดี๋ยวคุณ ฉันไปตกลงตอนไหน? ”
“ไม่รู้ แต่ถึงเธอไม่รับงาน ฉันก็จะบังคับเธอ”
“อ้าวเฮ้ย! ไม่ได้ดิ”
“ได้สิทำไมจะไม่ได้? ”
เจ๊แกหันมาพูดหน้าตาเฉย ก็คือไม่มีทางปฏิเสธงานนี้ได้เลยสินะ
“นี่ถามจริง เรื่องเอกสารคุณจะจัดการยังไง? ”
“ฉันมีวิธีของฉันแล้วกัน”
“อย่าทำเหมือนนี่ยุค 2000 ได้ป่ะ พูดอะไรเพ้อเจ้อ”
“เธอนั่นแหละเพ้อเจ้อ! อีกอย่างนี่มันยุค 2029 แล้วย่ะ”
เกิ้ลหันไปมองคนข้างๆ แทบจะทันที
“อะไรนะ? 2029? ”
“ใช่ ทำไม? ”
“ก็ปีเดียวกับที่ฉันอยู่นี่”
“....”
ร่างสูงนิ่งเงียบไปสักพัก สีหน้าบ่งบอกถึงการใช้ความคิดอย่างหนัก แต่แล้วจู่ๆ เกิ้ลก็เอะอะโวยวายขึ้นมาทำเอาคนขับรถหน้าสวยสะดุ้งโหยงจนเกือบชนท้ายรถคันหน้า
“คุณ! ฉันคิดออกแล้ว! ”
“เป็นบ้าอะไรของเธอตั้งแต่เมื่อกี้แล้วห๊ะ? ”
“พาฉันขับไปรอบๆ ก่อนได้ป่ะ? ”
“ไม่ได้! นี่เธอคิดว่าฉันขับรถเล่นอยู่รึไง? ”
ควีนส่ายหน้าพลางเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง
“ฉันเข้าเวรอยู่”
“แล้วสารวัตรบ้าอะไรต้องมานั่งขับรถออกตรวจ นี่เป็นสารวัตรจราจรรึเปล่า? ”
ร่างบางตวัดสายตาคมจ้องมองมาที่เธอทันที พลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ฉันต้องไปสังเกตการณ์ย่ะ!! ”
“อ๋อเหรอออ”
เธอลากเสียงยาวอย่างกวนประสาท ทำเอาคนฟังถึงกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ เอาจริงๆ ยั่วโมโหยัยป้านี่ได้ก็สนุกดีเหมือนกันนะ
ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก มีแค่เสียงวิทยุสื่อสารที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ และเสียงเพลงจากแอพเพียงเท่านั้น นั่งไปสักพักเกิ้ลก็โวยวายพลางใช้ฝ่ามือตบที่คอนโซลรถอย่างร้อนรน
“เจ๊ๆๆๆ จอดรถก่อน!!! จอด!!!! ”
“เอ๊ะ! ฉันไม่ใช่…”
ทันทีที่จอดสนิทร่างสูงก็รีบเปิดประตูแล้ววิ่งลงไปทันที
“แม่!! ”
ติดตามอ่านตอนล่าสุดได้ใน ReadAWrite น้าาาาาา จิ้มตรงนี้ได้เลยยย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in