- [ Fanfic BTS ]
- Genre : ThaiAU!|os
- Pairing : Kookjin l JeonJungkook*KimSeokjin l
- Rate : PG
- Note: Jungkook as; จรัญ , Seokjin as; จิณณ์ , Jimin as; เจมส์
มันไม่ใช่อย่างที่จรัญคิดไว้
“ไม่นึกว่าเราจะบังเอิญเจอกันแบบนี้นะครับ พี่จิณณ์”
เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้
“พี่จิณณ์ครับ ไอศครีมรสนี้อร่อย เดี๋ยวผมป้อนนะครับ”
ไม่ได้นึกว่าจะเจอกับอะไรที่แม่งเยอะขนาดนี้
“อ่อ......คนนี้น่ะเหรอ ‘น้องชาย’ที่พี่จิณณ์สอนพิเศษเลขให้”
“พี่เก่งเลขกับฟิสิกส์นะ ให้พี่ช่วยสอนไหมครับ ‘น้องจรัญ’ “
บางทีแม่งก็เยอะไป ไอพวกเหี้ย!
ปึ้ง!
มือหนาๆของเจ้ากระต่ายเกเรตบโต๊ะเสียงดัง เป้าสายตาของคนทั้งร้านกาแฟเลยตกอยู่ที่โต๊ะของพวกเขา
“ ‘ พี่จิณณ์ ’ ติวให้ผมแค่คนเดียวก็เกินพอแล้วครับ”
จรัญขบกรามกรอด สงครามเย็นของเกมจ้องตาระหว่างหนุ่มน้อยกับหนุ่มรุ่นพี่มารผจญก็เริ่มขึ้น
จิณณ์มองสงครามประสาทขนาดย่อมแล้ว ถอนหายใจเฮือกใหญ่
วันนี้น่าจะเป็นวันที่จิณณ์เหนื่อยน่าดู.
X
ปกติแล้วจิณณ์จะติวเลขให้จรัญสี่วัน จันทร์และพุธจะเป็นการติวสั้นๆช่วงที่จรัญเลิกเรียน ช่วงบ่ายสามโมงถึงหกโมงเย็น ส่วนอีกสองวันคือเสาร์และอาทิตย์จะเป็นการติวทั้งวัน ตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้ายาวถึงห้าโมงเย็น
เพราะงั้นวันนี้มันก็เหมือนทุกครั้งที่ควรจะมาติว
แต่ก็นั่นล่ะ ข้อตกลง และ คำขอ วันนี้เลยพิเศษนิดหน่อย
‘ อือ ใช้ได้นี่นา ทำการบ้านมาครบเลย’
‘ข้อตกลงของเรา’
‘จ้า’
จิณณ์ตอบรับ,ติดจะคางยานด้วยความเคยชินที่เจ้าเด็กเกเรนี่มักจะยกข้อตกลงมาหาเรื่องเอาเปรียบตัวเขาเหมือนปกติ
‘พี่จิณณ์’
วันนี้มันผิดปกตินิดหน่อย
‘วันอาทิตย์.....ไปดูหนังกับผมนะครับ’
ไม่รู้เพราะว่าสายตาคมที่มองสบมามันมีประกายของความจริงจังฉายออกมาชัดเจน รึเพราะมือของจรัญที่ยื่นมากุมมือจิณณ์ไว้มันทำให้บางอย่างในอกมันวูบไหว
‘อืม เอาสิ’
อืม ผิดปกติจริงๆนั่นล่ะ
แล้วมันก็ผิดปกติมากขึ้นตอนที่จรัญทาบริมฝีปากลงมาบนริมฝีปาก โดยที่เขาไม่ขัดขืนเนี่ยล่ะ.
X
ถึงจะบอกว่า ไปดูหนังกันก็เถอะ แต่มันก็มีข้อแม้นิดหน่อย
‘ เพราะนายมีสอบควิซเลขวันอังคาร ดังนั้นก่อนไปดูยังไงเราก็ต้องติวอยู่ดี ’
นั่นปะไร
จรัญสบถในใจ แต่ก็เลือกที่จะไม่โต้แย้งกับติวเตอร์จอมโหดของตัวเองหรอก ถึงแม้มันจะน่าหงุดหงิดนิดหน่อย
ก็มันเป็นเดท เดทที่ไหนเขาติวก่อนเข้าโรงหนังเล่า! เขาไม่ได้ตั้งใจทวนเลขเพื่อที่จะได้ติวเพิ่มแถมดูหนังสักหน่อย นี่พี่จิณณ์เข้าใจความหมายของคำว่าเดทรึเปล่าวะ?
สุดท้ายจรัญก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาระบายความหงุดหงิด เด็กหนุ่มในบ็อกเซอร์ตัวเดียวยืนอยู่หน้าตู้ตู้เสื้อผ้ามานานกว่ายี่สิบนาทีแล้ว เพราะยังคิดไม่ตกกับวันพิเศษวันนี้ว่าควรจะแต่งตัวยังไง มือแหวกไล่ไปตามเสื้อแต่ล่ะตัวเพื่อหาชุดที่ดูดีที่สุดสำหรับวันนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเสื้อผ้าของจรัญก็มีแต่แพทเทิร์นเดิมๆ เสื้อยืดสีขาวไม่ก็ดำแบบโอเวอร์ไซส์ กับพวกเสื้อกีฬาต่างๆที่มีอยู่จนเรียกได้ว่า เหมายกสต็อคมาเก็บไว้เลยจะดีกว่า
แม่งมีแต่พวกเสื้อกีฬากับเสื้อยืดสีขาวกับดำรึไงวะ.....
จรัญขยี้ผม ในหัวพลันนึกถึงประโยคค่อนแคะของพ่อบังเกิดเกล้า
‘ช่วงนี้จรัญดูอารมณ์ดีผิดปกตินะเนี่ย ลูกชายแม่แอบมีคนที่ชอบแล้วรึเปล่าเนี่ย?’
‘ฮ่าๆ ถึงมันจะมี แต่อย่างจรัญน่ะเขาคงไม่แลหร๊อก ดูเสื้อผ้าในตู้มันก่อน กะโปโลเหมือนตอนมันอยู่ประถมไม่มีผิด’
......
อาจจะจริงอย่างที่พ่อจรัญว่าก็ได้
เพราะจรัญเองก็เริ่มเห็นด้วยกับพ่อขึ้นมาเสียอย่างั้น
X
สยามมันก็เหมาะกับการเป็นสถานที่นัดเดท ตามความคิดจรัญ ถ้าว่ากันตามตรงในหัวจรัญเรื่องความรักรึอะไรทำนองนี้มันก็มีอยู่ในหัวบ้าง เพียงแต่มันน้อย น้อยมากถ้าเทียบกับวัยเดียวกันกับจรัญที่มักจะไปเดท มีความรัก รึทำอะไรอย่างที่วัยรุ่นทั่วๆไปควรจะมี แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย ถึงจะมีคนเข้ามาคุยมากมาย และไม่ได้จริงจังกับใครเป็นพิเศษ จรัญก็เคยมีแฟนกับเขาบ้าง สมัยตอนยังไปเรียนพิเศษที่สถาบันกวดวิชา สาวเจ้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารัก ไม่ได้ดูเด็กเรียนอะไรมากมาย เหมือนวัยรุ่นธรรมดาที่เรียนบ้าง เล่นบ้าง อย่างจรัญที่ตอนนั้นทั้งติดเกม ติดเล่นกีฬาเสียยิ่งกว่าอะไร
เพราะแบบนั้นจรัญถึงคบกับหล่อนได้ไม่นานก็เลิก
คำบอกเลิกก็เรียบง่าย ธรรมดาอย่าง ‘จรัญ เราเลิกกันเถอะ’ เจ้าหล่อนไม่ฟูมฟาย ไม่ตัดพ้อ ไม่โทษอะไรเลยสักอย่าง เหมือนว่าคำว่าชอบ ในวันแรกที่ขอคบของเจ้าตัว มันไม่เคยมีอยู่จริง ช่วงเวลาที่พวกเขาคบกันมันสั้นมากๆจนจรัญจำช่วงเวลาที่อยู่หล่อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้จะรู้ว่ามันเร็วเกินไป แต่จรัญก็ไม่ได้ชอบมากถึงขนาดที่จะต้องรั้งไว้
‘ อืม’ จึงเป็นคำตอบทั้งสั้นและห้วนเกินกว่าจะเป็นคำตอบรับของประโยคบอกเลิกเสียด้วยซ้ำ
เราอาจจะไม่ได้ชอบกันตั้งแต่แรก นั่นคือสิ่งที่จรัญคิดได้หลังจากนั้นมาสักระยะหนึ่ง
แต่กับติวเตอร์ของเขา พี่จิณณ์น่ะต่างไป
ไม่รู้ว่าทำไมถึงยึดติดนัก เพราะว่าถูกสบประมาท? รึว่าเพราะอยากเอาชนะ?
จรัญตั้งคำถามกับตัวเองในตอนที่มองคู่รักคู่นึงที่เดินกุมมือผ่านเขาไป มือที่กอบกุมกันแน่น ทำให้เขาก้มลงไปมองฝ่ามือกร้านของตัวเองที่เริ่มนุ่มขึ้นมานิดหน่อย เพราะเล่นกีฬาน้อยลง
ไม่สิ,เพราะติวเตอร์จอมโหดของเขาต่างหาก ที่ทำให้เขาไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากการบ้านคณิตศาสตร์และเจ้าตัว
“มาเร็วกว่าเวลานัดครึ่งชั่วโมงเลยเหรอ?”
จรัญเงยหน้าขึ้นตามเสียง กะพริบตาปริบๆเมื่อพบกับร่างคนที่คุ้นเคยกันดี ติวเตอร์หนุ่มในชุดไพรเวท มันไม่ค่อยต่างจากจากปกติมากนัก จิณณ์ในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงทรงกระบอกเล็กสีครีม เรือนผมสีเข้มถูกเซตมานิดหน่อย ก็แค่เซ็ตให้ดูเป็นทรงขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคงเป็นใบหน้าหล่อเหลาของติวเตอร์หนุ่มที่ไม่มีแว่นกลมใสบดบังใบหน้าอีกต่อไป
แม้มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็น ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องสบตาตรงๆ แต่จรัญยอมรับว่าพอถึงเวลาจริง ก้อนเนื้อในอกดันเต้นจนจังหวะชีพจรผิดไปชั่วครู่นึง
ผิดกับเขาที่ใส่แค่เสื้อฮู้ดสีดำอย่างง่ายๆ กางเกงยีนส์สีซีด และผ้าใบธรรมดาๆ มันทำให้จรัญเริ่มตระหนักแล้วว่า นี่คือเดท มันไม่เหมือนตอนที่เขาเดทครั้งแรกเท่าไหร่นัก ตอนนั้นแค่หยิบเสื้อในตู้มาใส่อย่างง่ายๆ ง่ายจนเหมือนเสื้อผ้าปกติที่จรัญใส่อยู่บ้านมากกว่า(แค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงกีฬา ซึ่งจรัญไม่คิดว่ามันแย่) แต่หนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้าดูดีจนมีแต่คนเหลียวมอง มันทำให้จรัญหงุดหงิดมากกว่าประหม่านิดหน่อย
“พี่ก็มาเร็วเหมือนกันนั่นล่ะ”
“เพราะจะแวะร้านหนังสือก่อนต่างหากล่ะ จะไปด้วยกันไหมล่ะ?”
ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้จรัญอยู่กับจิณณ์ได้นานขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี
X
จรัญลังเลนิดหน่อยตอนที่มองปลายนิ้วที่โผล่พ้นชายเสื้อออกมา ปลายนิ้วผิดรูปร่างของมันทำให้มุมของเด็กหนุ่มกดลึกลง จรัญอมยิ้มกับตัวเองในขณะที่ขึ้นบันไดเลื่อน เขาเลือกที่จะเก็บมือของตัวเองเข้ากระเป๋าเสื้อคืนไป และปล่อยโอกาสเล็กๆน้อยๆที่จะได้สัมผัสมือนั้นไว้ เพราะนึกถึงคำพูดของใครบางคนขึ้นมา ที่บอกเขาว่า อย่ารีบร้อนมากนัก ก็คงใครบางคนตรงหน้าเขานั่นล่ะ
เอาเถอะ ยังมีโอกาสให้เขาได้ลองอีกหลายครั้ง
.
.
.
ตอนนี้เขามีหน้าที่แค่เดินตามติวเตอร์หนุ่มไปเรื่อยๆ กวาดไล่ตัวอักษรบนชั้นหนังสือไปเรื่อยสลับกับมองไหล่แผ่นหลังกว้างๆไปด้วย ในบางจังหวะที่เขาเผลอไม่ทันระวังจนชนตัวคนข้างหน้าเบาๆ ปลายจมูกโด่งฝังลงกับกลุ่มผมนุ่ม กลิ่นของแชมพูจางๆที่ทำให้ชีพจรเริ่มเต้นผิดจังหวะ หากเผลอพลั้งอีกนิดเขาคงจะสูดกลิ่นหอมนั้นอย่างตรงไปตรงมา แน่นอน อย่างจรัญคงไม่เผลอหรอก ในเมื่อเลือกจะปิดเปลือกตาลงแล้วสูดกลิ่นหอมจางๆนั่นตรงๆ ซึ่งนั่นทำให้จรัญถูกจิณณ์เอ็ดไปเบาๆครั้งหนึ่ง แต่เจ้าเด็กแสบกลับหัวเราะเบาอย่างชอบใจ ระบายยิ้มมุมปากอย่างพอใจเมื่อได้เห็นใบหน้ามุ่ยๆของติวเตอร์หนุ่ม
"หอม"
"จรัญ อย่าซน"
จิณณ์กลับไปสนใจหนังสือ มันเลยเป็นโอกาสให้จรัญได้เฝ้ามองอีกครั้ง เหมือนแรงดึงดูดทั้งหมดอยู่ที่คนตรงหน้า อากัปกริยาล้วนน่ามอง ทุกอย่างดูเพลินตาไปหมดจังหวะก้าวเดินที่ดูเชื่องช้า ปลายนิ้วเรียวที่ผิดรูปร่างไล้ไปตามสันหนังสือ เมื่อเจอเข้ากับอะไรบางอย่างก็หยุดลง เวลาจิณณ์คิดอะไรสักอย่างมักจะเผลอเหลือบมองขึ้นในอากาศ และจับคางไว้ เขาเห็นความสงสัยในเส้นริมฝีปาก เมื่อมุมปากกดลงประมาณสองสามมิล ก่อนที่ริมฝีปากจะเบะออกเล็กน้อย จิณณ์เลยเหมือนเด็กน้อยที่ถูกผู้ปกครองขัดใจ และมันก็น่ารักมากๆ
"อ้าว? พี่จิณณ์? บังเอิญจังนะครับ"
เสียงทุ้มนุ่มดึงความสนใจจากจรัญและจิณณ์ให้หันไปทางต้นเสียง ชายหนุ่มในชุดไปรเวทสบายๆแต่ดูดี เสื้อเชื้ดสีฟ้าอ่อน ผมสีทองเสยเซตไว้ลวกๆ กางเกงแสล็คเข้ารูป
เรียบง่าย แต่ดูดี คงเป็นความพิเศษของบุคคลนิรนาม
"ว่าไง เจมส์ วันนี้มาเที่ยวเหรอ?"
"ครับ"
“ไม่นึกว่าเราจะบังเอิญเจอกันแบบนี้นะครับ พี่จิณณ์”
คนที่ชื่อเจมส์ยิ้ม ถอดแว่นกันแดดสีดำออก เลยได้เห็นนัยน์ตาเรียวชั้นเดียวหยีโค้งนิดๆรับคำตอบ เจมส์กลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ส่วนจรัญได้แต่ขบฟัดกรอด กร่นด่าบุคคลนิรนามที่ดูก็รู้ว่าเป็นศัตรูหัวใจอย่างแน่นอน
x
บางครั้งจรัญก็รู้สึกเหมือนพระเจ้าน่าจะจงเกลียดจงชังเขาพอตัว
"อ่า บังเอิญจังเลยนะครับ เห็นบอกว่าวันนี้ไม่ว่าง ที่แท้ก็มาสอนพิเศษนี่เอง นึกว่าพี่จิณณ์เลิกสอนไปแล้วนะครับ"
"เปลี่ยนใจทีหลังน่ะ สอนแค่คนเดียวก็เลยไม่หนักอะไรมากด้วย สอนแค่เลขน่ะ"
จรัญนั่งฟังบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองด้วยสีหน้ายุ่งๆ คิ้วเรียวขมวดกันมุ่นจนกลัวว่ามันจะพันกัน หลังจากที่เจอกับเจมส์ หนุ่มคณะสถาปัตย์ ปี2 รุ่นน้องที่มหาลัยของพี่จิณณ์โดยบังเอิญ เด็กหนุ่มฟังบทสนทนาที่และสิ่งที่จรัญคาดไว้มันก็เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อหนุ่มรุ่นพี่เอ่ยปากอาสาว่าจะเลี้ยงน้ำและขนมพวกเขาสองคน
'ถ้าไม่ว่าอะไรให้ผมเลี้ยงน้ำกับขนมพี่จิณณ์กับน้องได้ไหม? ผมว่างพอดี '
'ไม่ต้ '
'เอาสิ ไม่เป็นไรหรอก'
เพราะงั้นเลยตอนนี้จรัญเลยต้องมานั่งทำข้อสอบเลขท่ามกลางบทสนทนาของคนแก่กว่าทั้งสอง ตอนนี้เขาไม่มีสมาธิจะสนใจกับโจทย์เลขตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ เพราะเอาแต่ฟังเจ้ารุ่นพี่เตี้ยนั่นม่อติวเตอร์ของตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว ถึงจริงๆคนข้างตัวเขาจะไม่ได้สนใจขนาดนั้นก็เถอะ แค่ตอบรับบ้าง แม้จะมีบางจังหวะที่เจ้าตัวเผลอเรอปล่อยให้เจมส์เข้าถึงเนื้อถึงตัว อย่างเช่นตอนที่ฟองนมนุ่มๆของนมสดคาราเมลอุ่นๆเลอะมุมปาก เจ้ารุ่นพี่นั่นก็ยื่นมือมาเช็ดให้ มีเหรอคนอย่างจรัญจะปล่อยผ่าน, เด็กแสบจัดการฟาดมือไปแรงๆครั้งหนึ่ง แล้วอ้างว่าเขาตบยุงพร้อมยกมือให้ดูความว่างเปล่าของยุงที่จรัญโมเมขึ้นด้วยก็ตามที
จนกระทั่งฮันนี่โทสมาเสิร์ฟนั่นล่ะ สงครามประสาทขนาดย่อมถึงได้สงบลงไป แต่ก็ครู่นึง เพราะคนชอบกินอย่างติวเตอร์ของเขาคงไม่มีทางปฏิเสธขนมหวานของโปรดลงแน่ๆ เพราะตั้งแต่ติวกันมาทั้งคาราเมลมัคคิอาโต้ เค้ก และสารพัดเมนูของหวานอื่นๆต่างถูกจิณณ์ฟาดเรียบไปแล้วทั้งนั้น แม้จรัญจะแซวทุกครั้ง แต่จิณณ์มีเหรอจะสนใจกินนอกจากจะกินจนแก้มกลมตุ่ยๆแล้วยังใช้นัยน์ตากลมใสที่ฉายแววดื้อรั้นมองกลับมา
‘ ต้องการน้ำตาล เพราะเด็กดื้ออย่างนายทำให้พี่ต้องเปลืองพลังงานมากๆๆๆ'
ก็ดี เปลืองพลังงานกับเขาจนหมดแรงก็ดีแล้วนี่?
"ปกติพี่สอนทุกวันเลยรึเปล่าครับ?"
"ไม่หรอก สอนเแค่สี่วันเท่านั้นเอง จันทร์ พุธ กับเสาร์ อาทิตย์"
"งั้นแปลว่าหลังจากสอนเสร็จพี่ว่างใช่ไหมครับ?"
"พี่จิณณ์มีนัดกับผมต่อจากนี้"
เจมส์ถามขึ้น จิณณ์ที่กำลังดื่มด่ำกับรสชาติของขนมหวานนิ่งไปครู่นึง แต่ไม่ทันที่จิณณ์จะได้ตอบอะไร จรัญเอ่ยด้วยเสียงห้วนๆขัดขึ้นมา สีหน้าดื้อรั้นและนัยน์ตากลมคมฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน มันเป็นการประกาศสงครามขนาดย่อมๆกับหนุ่มรุ่นพี่หน้า และมันเพิ่มความคุกกรุ่นให้จรัญมากขึ้นเมื่อเจมส์แค่ยกยิ้มมุมปาก สีหน้าและแววตาที่มองเหมือนจรัญเป็นแค่เด็กน้อยในสายตาทำให้เผลอกำดินสอในมือแน่นจนน่ากลัวว่ามันจะหักคามือ
"ให้พี่ช่วยสอนไหมครับน้องจรัญ พี่เก่งเลขกับฟิสิกส์นะ"
“ พี่จิณณ์ ’ติวให้ผมแค่คนเดียวก็เกินพอแล้วครับ”
มันคือการประกาศสงคราม ยิ่งเจมส์เมินในสิ่งที่จรัญพูด เหมือนกับว่า เขาเป็นคู่แข่งที่ไม่อยู่ในสายตา มันเติมเชื้อไฟให้แรงขึ้น ทำให้อารมณ์ที่กำลังคุกกรุ่นอยู่แล้วถึงจุดเดือดแทบจะทันที เจ้ากระต่ายเกเรตบโต๊ะซะดังลั่น แถมกัดฟันพูดด้วยเสียงรอดไรฟันขนาดนั้น โต๊ะของพวกเขาเลยตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านในทันที แต่ปลายนิ้วดีดเข้ากลางหน้าผากจนดังเพี้ยะพร้อมความเจ็บที่แล่นเข้ามาจนน้ำตาแทบเล็ดเรียกสติของเจ้าเด็กเกเรให้กลับมาโดยติวเตอร์หนุ่มที่กำลังทำหน้าบูดอยู่ข้างตัว
"จรัญอย่าเสียงดัง เจมส์ก็ไม่ต้องหรอก สอนเจ้าเด็กนี่เดี๋ยวปวดหัวเปล่าๆ"
จิณณ์เอ็ดเด็กเกเรไปทีหนึ่ง คนถูกเอ็ดได้แค่ลูบหน้าผากที่ขึ้นรอยแดง จรัญทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ได้แต่ปิดปาก กัดฟันแน่นเมื่อสบสายตากับจิณณ์ สายตาที่ตำหนิเขา สายตาที่จรัญมักจะไม่ชอบที่สุดที่มีคนมอง และโดยเฉพาะเมื่อมันมาจากคนข้างตัว มาจากจิณณ์ ก็ยิ่งทนไม่ได้ "ผมจะไปห้องน้ำ" จรัญลุกขึ้นพร้อมกล่าวสั้นๆ กึ่งก้าวกึ่งเดินไปมุ่งหน้าออกจากร้านไป จิณณ์มองไล่ตามแผ่นหลังของจรัญไปจนสุดสายตาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะรู้ดีว่าคงไม่สามารถดับอารมณ์ร้อนของเด็กคนนั้นได้ เขาหันกลับมาพร้อมคลี่รอยยิ้มแหยๆให้รุ่นน้องของตัวเอง
"ขอโทษแทนเจ้าเด็กจรัญนั่นด้วยนะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่จิณณ์อย่าคิดมากเลยนะครับ"
เจมส์ว่าพลางฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี มือเอื้อมไปแนบกับแก้มนุ่มนิ่มของจิณณ์อย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มก่อนเจ้าตัวจะทำตาโต,ดุจิณณ์ด้วยท่าทีจริงจังอย่างทีเล่นทีจริงใส่ มันทำให้รอยยิ้มของจิณณ์กลับมาอีกครั้ง แม้มันจะเป็นรอยยิ้มเล็กๆ แต่มันก็ทำให้สีหน้าหม่นๆดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากว่าเมื่อครู่
"พี่น่ะคิดมากเกินไปแล้ว ผมไม่ได้อยากเห็นหน้าบูดๆของพี่เลยะครับ ยิ้มสิครับ รอยยิ้มน่ะเหมาะกับพี่ที่สุดแล้ว"
"อือ ขอบคุณนะ....แต่มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอก"
"มีอะไรก็เล่าให้ผมฟังได้นะครับ"
".....คือว่า "
x
มือหนากวักน้ำขึ้นล้างหน้า ก่อนใช้มือเปียกๆนั่นลูบเสยผมที่ปรกหน้าขึ้น เขาสงบอารมณ์ที่กำลังคุกกรุ่นลงด้วยความเย็นของน้ำ,ดับอารมณ์ร้อน จรัญมองหน้าตัวเองในกระจกห้องน้ำ ภาพสะท้อนตรงหน้าคือใบหน้าของจรัญที่ยังคงริ้วความกรุ่นโกรธจากการถูกเย้าแหย่เล็กๆ มันทำให้จรัญหัวเสีย เพราะสิ่งที่จรัญไม่ชอบที่สุดคือการที่ถูกมองเป็นเด็ก มันคล้ายเป็นการบอกกลายๆว่าเขาเป็นแค่เด็กที่ไม่สามารถและไม่มีอะไรเลย เขายอมรับว่าการปรากฏตัวของเจมส์มันทำให้เขากังวล อีกฝ่ายทั้งแก่กว่าทั้งการมารยาท ทั้งการวางตัว คำพูดคำจาทุกอย่างล้วนดูดีไปซะหมด มันไม่มีอะไรที่จรัญเทียบได้ แม้แต่เงินจะเลี้ยงขนมติวเตอร์ของเขายังไม่มีเลยด้วย เขาน่ะคิดว่า ต่อให้ต้องเจอคู่แข่งไม่ว่าใคร เขาก็จะไม่แพ้ เขาไม่คิดจะยกพี่จิณณ์ของเขาให้ใครทั้งนั้น แต่ตอนนี้เขาเผลอแสดงท่าทีเป็นเด็ก มันเลยทำให้เขาแพ้คะแนนไปอย่างยับเยิน ดูจากสายตาตำหนิของพี่จิณณ์ก็รู้ มันทำให้ความมั่นใจที่เคยมีตอนแรกหายไปเสียส่วนหนึ่ง
นัยน์ตาคมมองสบตากับคนในกระจกอีกครั้ง เขาตั้งคำถามกับจรัญ ว่าจะยอมแพ้ตอนนี้หรือสู้จนสุดใจแล้วแพ้ให้สมศักดิ์ศรี แต่ดูเหมือนเขาจะรู้คำตอบที่ว่านั่นอยู่แล้ว
จรัญน่ะ เป็นคนชอบเอาชนะ อีกอย่างรางวัลที่ได้มามันก็คุ้มค่าที่เขากับหัวใจที่เขาจะแลกไป ดังนั้นจรัญจะไม่ยกติวเตอร์จอมโหดของเขาให้ใครทั้งนั้น สีหน้าของจรัญดูดีขึ้น มุมปากกดลึกกับความมั่นใจที่กลับมาก่อนมันจะหุบลงเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้
ก็ตอนนี้เขายังเผลอปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันน่ะสิ
ไอโง่เอ้ย!
จรัญกร่นด่าตัวเองในใจ ก่อนรีบวิ่งพรวดพราดออกไปจากห้องน้ำ วิ่งสุดกำลังเท่าที่เขาจะทำได้ ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวของเขาและจิณณ์ให้กับไอบ้านั่น แต่แล้วภาพตรงหน้าที่ทำให้ความเร็วของฝีเท้าชะลอลงช้าๆเปลี่ยนเป็นก้าวจนกระทั่งหยุดไป เมื่อหน้าร้านกาแฟที่เขาออกมาในตอนแรกมีเค้าร่างของคนคุ้นเคยสองคน มือของใครบางคนกำลังถูกกอบกุมด้วยมือของคนที่จรัญไม่ชอบหน้า ริมฝีปากหนาแนบลงที่หลังมือขาว, มือน่ารักที่เขาชอบมัน เป็นเพราะจิณณ์กำลังยืนหันหลังให้ จรัญเลยไม่รู้ว่าจิณณ์กำลังทำสีหน้าแบบนไหน มันเป็นสีหน้าขัดเขินเล็กๆรึเปล่า? นัยน์ตากลมคู่นั้นจะทอประกายเป็นแววระยับแวววาวอย่างที่จรัญเคยคาดหวังให้เกิดขึ้นกับเขาไหม? สิ่งที่สื่อสะท้อนผ่านแววตาคู่นั้นมันแฝงนัยยะบางอย่าง สะท้อนจักรวาลในแววตาคู่นั้นออกรึไม่? มันคือคำถามทุกคำถามที่จรัญเฝ้ารอคำตอบจากคนที่ตอบมันได้ คนที่สอนเรื่องยากๆที่จรัญเข้าใจให้เป็นเรื่องง่ายแค่ร่ายมนตร์วิเศษ
แต่ตอนนี้คำถามเหล่านั้นคงถูกปิดผนึกไว้,เป็นปริศนาอีกครั้งที่จรัญคงไม่ทีทางได้รับรู้
เพราะภาพเบื้องหน้าช่างโรแมนติกและงดงาม คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็คงรู้สึกแบบนั้นถึงได้เหลียวมองกัน แต่มันก็เป็นภาพที่ทำให้จรัญเผลอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ใจของจรัญอยากจะเดินไปกระชากจิณณ์ออกมาด้วยซ้ำ แต่ก็ทำไม่ได้
เพราะเขาไม่มีสิทธิขนาดนั้น
ได้แค่รอให้คนสองคนร่ำลากันให้เสร็จก็เท่านั้นเอง
จิณณ์โบกมือลารุ่นน้องที่ขอตัวกลับก่อน เขาหมุนตัวหันหลังไปก็พบนักเรียนของเขาที่ลุกพรวดพราดออกไป คนแก่กว่าถอนหายใจ มองสีหน้าที่อ่านออกได้ยากของจรัญ จิณไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์แบบไหน รู้สึกอย่างไร เพราะจรัญเอาแต่นิ่งเงียบและมองหน้าเขาอยู่แบบนั้น
"ไปไหนมาตั้งนาน โทรศัพท์ก็ไม่เอาไปด้วย พี่ทั้งส่งข้อความทั้งโทรไปแทบแย่"
จิณณ์ว่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง พลางยื่นกระเป๋าเป้ของจรัญคืนให้ จรัญเพียงแค่รับคืนก่อนก้าวเดินคู่ไปกับคนแก่กว่าข้างๆกัน ไปยังจุดหมายปลายทางของการเดท มันไม่มีบทสนทนาใดๆ มีเพียงความเงียบระหว่างกันที่เกิดขึ้น เมื่อจรัญเงียบไป จิณณ์ที่ไม่มีเรื่องคุยอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบลงไปอีกเมื่อไม่มีจรัญคอยเป็นคนเปิดประเด็นสนทนาให้ มีเพียงเสียงของผู้คนรอบข้างที่ดังเป็นฉากหลังของพวกเขา แต่ยังไงเสียเสียงในใจคงดังยิ่งกว่า ตลอดการดูหนังมันไม่มีอะไรมากนัก จรัญจับใจความของหนังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ หนังมีเนื้อหาอะไร ภาพเคลื่อนไหวและเอฟเฟคของหนังไม่ได้ดึงดูดอะไร ไม่มีอะไรถูกบันทึกไว้ เมื่อภาพที่ชัดเจนที่สุดคือภาพที่เจมส์กดจูบที่หลังมือพร้อมมองจิณณ์ด้วยสายตาพราวระยับนั่น
เดทของจรัญมันจบลงโดยที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แม้กระทั่งออกจากโรงแล้วก็ยังไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้น ความเงียบกลืนกินทุกอย่าง จังหวะการก้าวเดินของพวกเขาเชื่องช้า ช่องว่างของพวกเขาคือระยะที่ห้าสิบเซนติเมตร,ระยะที่เป็นเส้นขนาน เพราะเป็นหนังรอบดึกตอนนี้รอบข้างเลยร้างผู้คน มันจึงเงียบเป็นพิเศษ แต่ความจริงจรัญเพียงปล่อยให้ความเงียบกลืนกินทุกอย่าง แม้กระทั่งเสียงของเขา คงเป็นเพราะเขาอาจจะกลัวว่า หากเขาพูดอะไรไป มันจะกลายเป็นคำถาม คำถามที่เขาอยากรู้ มันเป็นครั้งแรกที่จรัญกลัวในคำตอบขนาดนี้ แต่คนที่ตอบคำถามนี้กลับเป็นคนหยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมดให้เสียแทนด้วยการกระทำชวนน่าสงสัย
เสียงเรียกและปลายนิ้วที่สะกิดไหล่ทำให้จรัญหันไปมองหน้าคนที่อยู่ข้างตัว คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กๆด้วยความฉงน
"ข้อตกลง"
"?"
"นายทำโจทย์ได้เกินครึ่ง"
"อยากได้อะไรไหม?"
นัยน์ตากลมของจรัญเบิกกว้างนิดๆ คิ้วเลิกขึ้นกว่าเดิม เมื่อประมวลผลของการกระทำนี้ได้จึงลอบขำในใจ
เพราะจริงๆแล้วข้อตกลงของวันนี้คือ ถ้าจรัญทำโจทย์ได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ สามารถขออะไรก็ได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง จิณณ์น่ะไม่มีทางจำในสิ่งที่ตัวเองพูดไม่ได้ และการที่เจ้าตัวพูดแบบนี้ออกมานั่นคงแปลว่ากำลังง้อเขาอยู่ การกระทำเล็กๆน้อยๆที่ใส่ใจ มันทำให้จรัญยิ้มออกมาจางๆ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ประคองมือเรียวข้างซ้ายขึ้นมานิ่มนวล,ปลายนิ้วกร้านอย่างคนเล่นกีฬาของจรัญเกลี่ยหลังมือเนียน ไล้ตามข้อกระดูกนูนพวกนั้น ใช้นัยน์ตาคมของตนมองสบรายละเอียดมือที่เล็กกว่าของเขา มองข้อมือที่เล็กจนเห็นข้อกระดูก มองเส้นเลือด มองนิ้วเรียวที่ผิดรูปพวกนั้น นิ้วที่คิดว่ามันน่ารัก และกดริมฝีปากเรียวบางลงบนหลังมือขาวแผ่วเบา,จรัญจุมพิต แนบสัมผัสความความนุ่มลงบนผิวเย็น ตีตราประทับมันด้วยอุณหภูมิ ฝากร่องรอยอุณหภูมิผะผ่าว เขาลบร่องรอยที่ใครอีกคนสร้างทิ้งไว้ ในขณะที่ริมฝีปากยังแนบที่หลังมือ สายตาของพวกเขาสบประสานกันชั่วครู่ ปล่อยให้วินาทีสายลมพัดผ่านเอาไออุ่นร่างกาย,จังหวะที่รถไฟฟ้าเคลื่อนออกจากชานชาลา ให้เวลาหยุดหมุนไปชั่วคราว
"ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ"
นัยน์ตาดื้อรั้นของจรัญกำลังซ้อนทับใครอีกคนที่ให้จิณณ์นึกถึงและนึกขำความดื้อรั้น
"มีอะไรก็เล่าให้ผมฟังได้นะครับ"
".....คือว่า
พี่กำลังคุยกับจรัญอยู่"
เจมส์ดูไม่แปลกใจกับคำสารภาพของจิณณ์เท่าที่คิด เจ้าตัวแค่ขำออกมาก่อนส่ายหน้าเบาๆ
"อย่าบอกนะครับว่าพี่กำลังกังวลว่าผมจะเสียใจ? พี่ครับ ผมรู้ว่าพี่กำลังสับสนและลังเล ,แต่อย่างที่ผมเคยบอก ผมโอเคครับ พี่จะคุยกับใครก็ได้ที่พี่สบายใจ ผมรู้ว่าพี่ต้องใช้เวลา มันเป็นเรื่องของหัวใจ และผมมันก็เป็นความรับผิดชอบของผมที่จะรับผิดชอบความรู้สึกตัวเองด้วย"
"........"
"เมื่อถึงเวลาพี่แค่บอกผม มันไม่เป็นไรจริงๆนะครับ มันไม่ได้แย่หรอก"
"ขอบคุณนะ"
"แต่พี่รู้อะไรไหม? ผมไม่ยอมแพ้ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ผมจะอยู่ให้พี่ปวดหัวอีกนานเลยล่ะ"
"เจ้าเด็กบ้า"
เฮ้อ ทำไมรอบตัวเขาถึงมีแต่เด็กแบบนี้กันนะ?
จิณณ์ถามตัวเขาเองยามที่มองสบใบหน้าของเจ้ากระต่ายจอมเกเร ทั้งดื้อ ทั้งเอาแต่ใจ อารมณ์ก็ร้อน อยากเอาชนะไปเสียหมด จิณณ์ถอนหายใจพลางมองใบหน้านั้นด้วยความอ่อนใจ เขาชักมือกลับ ก่อนฟาดไหล่หนาๆนั้นเต็มแรงจนเจ็บมือไปหมด ไล่เจ้าเด็กกระต่ายให้กลับบ้าน แต่เจ้าเด็กบ้านี่กลับยิ้มตาหยีอย่างสดใสจนหน้ายับ เห็นริ้วความสุขใต้ถุงตาน่ารักๆนั่นเต็มไปหมด มันทำให้จิณณ์อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ รถไฟฟ้าของพวกเขาน่ะไปกันคนล่ะสถานี เรียกได้ว่าฝั่งตรงข้าม ดังนั้นจรัญจึงรอขบวนรถของจิณณ์มาก่อนแม้จะถูกบ่นใส่ว่าไม่ต้องรอก็ได้ตลอดเวลา แต่จรัญก็เลือกที่จะทำมัน ส่งจิณณ์ขึ้นขมวนรถแล้วถึงวิ่งกลับไปขึ้นขบวนของฝั่งตัวเอง จิณณ์มองเห็นแผ่นหลังไวๆที่วิ่งไปขึ้นรถไฟแล้วลอบระบายรอยยิ้มเอ็นดูออกมา เพราะเจ้าเด็กเกเรวันนี้น่ารักจริงๆ
“เด็กบ้าเอ้ย...”
.
.
.
แต่พระเจ้าก็คงจะเกลียดจรัญจริงๆนั่นล่ะ เมื่อขากลับดันเจอเจมส์อีกครั้ง
เจ้าตัวส่งยิ้มให้เขาอีกครั้งด้วยท่าทีเป็นมิตรแต่ดูเหมือนจะไปสะกิดต่อมโมโหของจรัญมากกว่า ในทีแรกจรัญน่ะทำเป็นไม่สนใจ เมินอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ ถ้าอีกฝ่ายไม่เปิดสนทนากวนประสาทอวัยวะส่วนล่างที่อยู่ติดพื้นของเขาขึ้นเสียก่อน
"เป็นไงบ้างครับน้องจรัญ พี่จิณณ์ใจดีเนอะ พาไปดูดราก้อนบอลด้วย เป็นหนังที่เหมาะกับการเดทของเด็กๆดีนะครับ สงสัยเห็นทีพี่คงต้องเลิกพาพี่จิณณ์ไปทำอะไรแบบนั้นบ้าง พาไปกินแต่บุพเฟ่อาหารทะเลอย่างเดียวคงไม่ดีเนอะ? "
"หึ, แล้วก็ พี่ไม่คิดจะยอมแพ้หรอกนะครับ จรัญ"
เจมส์หัวเราะออกมาคำหนึ่งสั้นๆพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ ส่วนจรัญน่ะแค่นหัวเราะพร้อมแสยะยิ้มกลับไปพร้อมกร่นด่าไปด้วยในใจ ถ้าชกแรงๆได้สักครั้งก็คงทำไปแล้ว
ไอสันขวานเอ้ย!
-To be continued-
Story by Macbeth1995
Twitter; @astronaut1995
#สถานีอวกาศno95
- Talk ;
หายไปนานเลยกับเจ้าจรัญ (จริงๆก็ไม่นานเท่าไหร่)
ใช่ค่ะ หนังที่เจ้าจรัญพาพี่จิณณไปดูคือ ดราก้อนบอล ซุปเปอร์ โบร**
//ปาดนั้มตา
ตอนนี้มีหลายๆอย่างเรื่องที่อยากเขียน แต่ด้วยเวลาว่าง
ที่ไม่แน่นอนเลยลำบากนิดหน่อย แต่จะพยายามเขียนให้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็น SF,OS,Drabbleเอย จะพยายามพัฒนาการเขียนของตัวเองค่ะ!
แต่ช่วงนี้กำลังซุ่มมลองเขียนจอยลดาล่ะค่ะ พบว่ายากมากเลย
คนเขียนได้คล่องๆนี่ดีมากเลยค่ะ โดยเฉพาะคนที่คุมบรรยากาศโทนเรื่องได้
อ่านหลายเรื่องเลยค่ะ ชอบอ่านตอนแปรงฟันตอนเช้า,ก่อนนอน,ระหว่างเดินทาง
เพราะมันอ่านง่ายด้วยล่ะเนอะ บางคนก็เขียนตลกมาก เผลอยิ้มบ่อยๆ
ตอนนี้กำลังแพลนเรื่องที่จะเอามาลงต่อไป จริงๆมีเรื่องยาวที่เคยเขียนไว้
ว่าจะเอามารีไรท์ แต่ก็ต้องสะสางสิ่งที่ดราฟทิ้งไว้ในนี้ก่อน แฮ่
ไว้พบกันใหม่ค่ะ! ลาไปด้วยรูปพี่เจมส์ อิมเมจที่คิดไว้นะคะ
อยากได้เป็นติวเตอร์แทนพี่จิณณ์เรยข่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in