2004
ลีวานอายุครบ 8 ขวบ ในคืนวันคริสมาสต์อีฟ
ต่อให้เขาเสพความสุขมามากเท่าไหร่จากโลกภายนอก เมื่อปิดประตูบ้านสีครึ้มลง ทุกอย่างรวมถึงโลกทั้งใบของเขากลับดูไร้สีสัน ราวไม่เคยถูกเก็บเกี่ยวสิ่งสุขใจมาก่อน กรอบรูปประกอบใบหน้าเปื้อนยิ้มจากทั้ง 4 คน ที่เคยวางบนชั้นอย่างภาคภูมิใจถูกเก็บลงกล่องกระดาษ แทบแยกไม่ออกว่ามันกลายเป็นความผิดพลาดและต้องเก็บกวาดให้หายไปเสีย,
ลีวานนึกสงสัยค่ำคืนเคล้าเสียงหัวเราะของพ่อและแม่รวมถึงพี่สาว ถกเถียงกันเกี่ยวกับซีรี่ส์ที่กำลังดำเนินเรื่องอย่างเข้มข้น ห้องครัวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งอเนกประสงค์ เสียงฮึมเบา ๆ ของเตาอบก่อนวันคริสต์มาสอีฟ เสียงดังตึงตังของเครื่องปิ้งขนมปังในเช้าวันจันทร์ ขวดแยมโฮมเมดรสส้มถูกหยิบออกมาจากตู้เย็น เทละเลียดบนแผ่นขนมปังโฮลวีทแห้งกรัง ทุกคนดูเร่งรีบกับกิจกรรมยามเช้าเหลือเกิน ไม่มีใครใจเย็นมากพอจะสร้างศิลปะบนหน้าขนมปัง ช่วงที่เราไขว่คว้าความสุขใส่ตัวโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจเหล่านั้น รวมถึงกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ ไร้ซึ่งความใส่ใจ หากแต่ไม่ได้รู้สึกแตกแยก เพียงเพราะเห็นหน้ากันและกันเป็นปรกติยามเช้า เหตุการณ์ทั้งหมดผ่านเข้ามาและฝังอยู่ในความทรงจำบางแห่ง ในซอกหลืบหนึ่งที่เราสามารถค้นพบ ลีวานนึกสงสัยซ้ำ ๆ —
แคนนิสกลับมาจากที่ทำงานคืนหนึ่ง
สำหรับลีวาน เขาไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกที่แท้จริงของพ่อคืออย่างไหน จาเมสปรับตัวเก่งเสมอรอยยิ้มยามขบขันคงถูกซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิด เมื่อเขาหันหลัง จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่านะ จนกระทั่งลีวานอายุ 15 ปี เดินทางไปรัฐใกล้ ๆ เพื่อจัดการบัญชีธนาคาร คำอธิษฐานของลีวานไม่เคยเกิดขึ้นใกล้เคียงความเป็นจริง รวมถึงบ่ายวันนั้นเช่นกัน จาเมสปรากฎตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นเรื่องน่าประหลาดใจและสุ่มเสี่ยงเกินกว่าลีวานจะปรับตัวรับไหว
ผู้หญิงผมบลอนด์ข้างๆ เขาช่างสวยเหลือเกิน
ลีวานจงใจวิ่งออกไปให้ไกลจากพื้นที่เรดโซน ตำแหน่งนั้นอันตรายเกินกว่าจะเป็นผู้ชม เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน อวัยวะข้างในได้รับแรงกระทบกระเทือนจากการวิ่งกระหอบกระหืด ลมหายใจเต้นถี่เร็ว และแรงขึ้น เมื่อทอดน่องเหยียบย่ำผ้าใบคู่เก่งเสียดสีบนพื้นคอนกรีต ครั้งแล้วครั้งเล่า ลีวานอยากจะอ้วกเสียตรงนั้น,
แคนนิสเป็นคนประเภทจัดการอะไรด้วยตัวเองเป็นหลักมาแต่ไหนแต่ไร รวมถึงลูก ๆ ทั้งสอง การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวตามสิทธิ์เลี้ยงดูลูกพึงได้รับมอบตามกฎหมายไม่ใช่เรื่องยากเข็ญเกินกว่าความสามารถ กิจวัตรประจำวันดำเนินไปอย่างที่เคยเป็น ยกเว้น การตอบคำถามของลีวานบนโต๊ะอาหารมื้อเช้า หากเพิกเฉย และคิดว่าเขาจะหลงลืมระหว่างเดินทางไปโรงเรียน หรือลืมสิ้นในคาบสอนวิชาโปรด ความคิดนั้นผิดมหันต์ กลับกลายเป็นว่ามันพอกพูนอยู่ในหัวของลีวาน ราวความกังวลวิ่งเป็นวงกลม คล้ายในหัวเป็นภาชนะ และสิ่งที่วิ่งวนนั้นคือของเหลวขุ่นมัวไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นสิ่งอื่น จนกว่าจะถูกเปลี่ยนภาชนะ
ไม่อย่างนั้น
ทุก ๆ ปีช่วงซัมเมอร์คงเป็นวันพักผ่อนของครอบครัว ลีลีฟมักจะเล่าให้ฟังอยู่เสมอว่านึกอิจฉาเพื่อนสนิทสองคน ทั้งเมแกนและเชลลี่ที่ต่างก็มุ่งหน้าสู่มหานครเป็นหลัก ครอบครัวของเชลลี่จะแวะเยี่ยมคุณป้าเลงเกอร์ที่อาศัยอยู่ปารีสบ่อยครั้ง ส่วนเมแกนก็ไปเยี่ยมคุณตาที่รัฐมิชิแกน ทว่ากิจวัตรประจำซัมเมอร์ของทุกปีสำหรับครอบครัววิลสันออกจะน่าเบื่อพอตัว ทันทีที่ย่างก้าวขึ้นรถ ลีลีฟก็สวมบทบาทเงียบขรึม ปิดกั้นราวไม่เป็นตัวเอง หากเทียบกับลีวาน เด็กชายเป็นเหมือนนักสำรวจมือสมัครเล่น เขามักจะตื่นเต้นกับการเดินทางเส้นเดิมอยู่เสมอ ลีวานเคยบอกเหตุผลข้อนั้นให้พี่สาวของตนกระจ่างอยู่หนหนึ่ง ใจความว่า ‘มีลุงคนโปรดรออยู่’
ที่บ้านคุณยายเมอร์สวิลรีส ฟลอเรนซ์ แสงแดดยามบ่ายเริ่มเบี่ยงไปทางสวนหน้าบ้าน เลนส์แว่นใสหนาเตอะถูกขยับให้มั่นคงระหว่างกึ่งกลางใบหน้า ท่าทีใจเย็นของคุณยายเป็นอิริยาบถปรกติชวนให้ลีวานพอจะวางตัวได้ง่าย และมีเวลาทักทายทุกคนในบ้านคุณตา, คุณยาย, คุณน้า ไล่เรียงมาจนถึงบุคคลผู้เป็นที่รักของเขา
“ลุงแฟรงค์!” ลีวานเอ่ยทักเสียงดัง พลันวิ่งหอบกระเป๋ากระโจนโอบกอดเต็มแรงอย่างลืมตัว
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาใจเต้นแรงคือความรู้สึกท่วมท้นที่มีต่อลุงแฟรงค์ — มากกว่าคนเป็นพ่อ — มากเสียจนประมาณไม่ถูก
ส่วนหนึ่งของลีวาน ลุงแฟรงค์นับเป็นความภาคภูมิใจในชีวิต นับรวมเค้าโครงรูปหน้าที่เอนเอียงไปทางแม่ของเด็กชาย เสริมให้ภาพลักษณ์ส่วนนั้นคลับคล้ายลุงอยู่บ้าง และความเห็นอกเห็นใจกัน บางครั้งลุงเองก็สอนให้ลีวานได้ตระหนักถึงความเป็นเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง อย่างการเป็นฝ่ายรับจากลุงตามโอกาสเป็นครั้งคราว แม้เด็กอย่างเขาจะยังไม่มีปัญญาหาอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาตอบแทน ในมุมกลับกัน นิสัยของชายวัยกลางคนไม่ใกล้เคียงกับลีวานเลยสักนิด ลุงแฟรงค์เป็นคนจริงจัง วางแผนเป็นลำดับ ไล่เรียงจนถึงขั้นสุดท้ายอย่างควรจะเป็น และปฏิบัติต่อทุกสิ่งอย่างถนัดถนี่โดยไร้ความบกพร่อง ลุงเคยชี้นิ้วไต่ลำดับแผนให้ลีวานฟังว่าเขามีความคิดคุกกรุ่นอยู่ในหัวทั้งวันทั้งคืน ต่อจากนั้นก็จะลงมือทำมันจนสำเร็จเสมอ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เราเข้าขากันได้ดี คงเป็นความแตกต่างจากคนส่วนหนึ่งในบ้าน พูดให้ถูกคือเป็นความแปลกแยกที่เรามีเหมือนกัน ความคิดของเราช่างต่างเรื่องต่างราว หากเมื่อถูกบอกเล่ามุมมองผ่านน้ำเสียงแหบแห้งของลุงผสมความจริงใจ ตอบรับด้วยความตั้งใจของหลานชายอย่างเขา เราทั้งคู่กลับกลายเป็นหนึ่งเดียวกันเสียก่อนเทียนมื้อค่ำจะถูกจุดไปปริยาย เพราะหลังจากนั้นเราจะเริ่มพลัดถิ่นในทำนองอบอวลซึ่งแตกละเอียดผ่านน้ำเสียงเรียกขานถ้อยบอกเล่าแกมบังคับของคนเป็นแม่ — ที่หมายถึงแม่ของเราทั้งคู่ — รู้ตัวอีกที ลีวานก็รอให้ซัมเมอร์ที่กำลังห่างไกลออกไป ถดถอยเข้ามาอย่างใจจดใจจ่ออยู่ครึ่งค่อนเดือน
ลุงแฟรงค์เคยเล่าช่วงทุกข์ทมให้ฟังอยู่สองหน ครั้งแรกเป็นตอนที่เขาลาออกจากโรงเรียนเพราะผิดใจกับอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่ง ครั้งที่สองเป็นตอนที่ต้องนอนฟังว่าเสียงของคุณยายจะละเมอร้องขึ้นมาเมื่อไหร่ แม้จะเป็นเวลาดึกดื่น ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโรงพยาบาลเสมอ ราวกับทั้งสองจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เมื่อไม่มีอย่างไหนให้เลือก เขาเพียงต้องทำตัวให้แข็งแรงและรักษาใจให้เข้มแข็ง และถึงแม้เปียโนคู่ใจจะเยียวยาจิตใจบอบช้ำของเขาได้ไม่เคยเท่าเดิมสักครั้ง ลุงก็ยังจำใจละเลงข้อนิ้วลงบนคีย์บอร์ดต่อไป เพื่อหวังว่าสักวัน อะไร ๆ จะดีขึ้นเหมือนอย่างเก่า ลุงแฟรงค์หัวเราะกลบเกลื่อน ลีวานรู้สึกได้ สายตาเขาดูเหม่อลอย ว่างเปล่า ลุงบอก มันรู้สึกอย่างนั้นเสมอ ในความแน่วแน่ว่าจะต้องมีสักอย่างเปลี่ยนแปลง
โลกไม่มีที่ให้คนอย่างเราหรอกนะลีวาน คนที่พยายามอย่างหนักเพื่อไขว่คว้าอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็จะถูกกลบด้วยความว่างเปล่า — ลีวานรู้ตัวดีว่าเขากำลังจะร้องไห้อีก ขอบตาร้อนผ่าว เขารู้สึกแสบผิวบริเวณปลายจมูก ก่อนถูกความเจ็บปวดตีแล่นกลับขึ้นมาตามเส้นประสาทให้นึกโมโหเล่นถึงความอ่อนแอ หยดน้ำสีใสเอ่อท่วมดวงตา บดบังทัศนียภาพด้วยความรู้สึกแสบร้อน ก่อนร่วงหล่นลงบนพื้นห้อง เนื้อตัวสั่นเทิ้มอย่างน่าละอาย ไร้ซึ่งเสียงเล็ดลอดผ่านลำคอ ตรงกันข้ามกับผนังสีขาว ดูผิวเผินเหมือนมีแค่รอยขรุขระล้อมรอบตัวเขา หากเพ่งมองให้ถี่ถ้วน กลับพบว่ามันเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า
ตอนนี้ มันว่างเปล่าเสียยิ่งกว่าอะไร
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in