เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หยาดรุเธียรที่รุ้งขนาน17pride22lonely
กาลก่อนซ้อนทับ






  •      ต้นแสงสะดุ้งตื่นในรุ่งสาง เมื่อเสียงระเบิดที่สหรัฐอเมริกาทิ้งลงมาเขย่าแผ่นดินเวียดนามสะเทือนเลือนลั่นเหมือนธรณีพิโรธ จนโยกโยนเพิงพักให้ข้าวของเครื่องใช้หล่นแตกกระจาย ที่มั่นสุดใจว่าเป็นลูกกัมปนาทของสหรัฐฯ เพราะเขาจำเสียงเครื่องบินเอฟ-105 ธันเดอร์ชีฟได้ ชายหนุ่มหยัดตัวตรง ปาดเหงื่อไคลซึมย้อยลงมาตามกรอบหน้าด้วยหลังมือ จากนั้นนิ่งครุ่นคิดเพื่อเพ่งสมาธิของตน นี่ก็หนึ่งปีแล้วที่เขากลับมาอยู่ในห้วงวังวนของสงคราม

        ใช่ เขากลับมาอีกแล้ว ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวของพันเอกปัจจรินทร์ รัลยาภรณ์ อดีตหัวหน้าของพ่อ ดาบตำรวจจรัส กมลาสน์ฬส

         "ต้นแสง คุณเป็นอะไรมั้ย?"

         เด็กผู้ชายหน้าตามอมแมมคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาข้างใน ด้านหลังสะพายปืนสไนเปอร์ ต้นแสงมองตาหวั่นกังวลของคนเวียดนามก่อนจะส่ายหน้า

         "ไม่เป็นไรเวียน ระเบิดนั่นไกลอยู่"

          จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วไปหยิบเสื้อลายพรางตรงหัวเตียงขึ้นมาใส่ หยิบของจำเป็นใส่ย่ามสะพาย แล้วสั่งให้เด็กเวียดนามที่ชื่อว่าเวียนตามมาด้วยกัน ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาของชายหนุ่มบอกเวลาตีห้าสามสิบสามนาที อากาศในประเทศคุกกรุ่นสงครามหนาวเย็นจับใจ ทำให้ต้นแสงคิดถึงลมทะเลแสนอบอุ่นแผ่นดินเกิดขึ้นมา เขาอยากกลับ แต่ก็ต้องจำใจอยู่ เมื่อได้รับมอบหมายให้อพยพชาวบ้านในละแวกนี้ เขาต้องทำ

         น่านึกขัน เขาไม่ใช่ชายชาติทหาร เป็นเพียงนักเภสัชศาสตร์ที่สนใจความเป็นไปของบ้านเมือง เขายิงปืนไม่เป็นแต่ต้องรู้จักวิธีวิ่งหนีลูกกระสุน และหน้าที่อีกอย่างในยามนี้นอกจากอพยพคนในพื้นที่ คือรักษาทหารและชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บ ในฐานะผู้อยู่ประจำหน่วยแพทย์ของกองทัพ ที่ส่งคนไทยมาช่วยรบราศึกในคราวนี้ด้วย

          ขอบปลายฟ้าเริ่มเรืองแสงอรุณสีนวลตา ทำให้เห็นเส้นขอบคลื่นเมฆสีทมิฬที่เอิกเกริกด้วยฝนระเบิดโปรยตัว กำลังถูกแสงสว่างกลืนกินได้อย่างชัดเจน ต้นแสงพาผู้ติดตามมาหยุดอยู่ตรงเนินหนึ่ง และมองความวอดวายของแผ่นดินนี้เงียบ ๆ อยู่สักพัก ก่อนจะได้ยินเวียนถอนหายใจอย่างปลงปลด

         "เมื่อก่อนเราเคยรวมเป็นหนึ่งเพื่อขับไล่ศัตรู แต่ตอนนี้กลับฆ่ากันเสียเอง"

         เขาหันกลับมา ก่อนจะได้สบกับแววตาของเด็กชายที่ทอดมองไปไกล เหมือนว่าหัวใจของตนไม่ได้อยู่ตรงนี้ ความโลภของคนสามารถพลิกโฉมจากรักกลายเป็นทำลายได้อย่างร้ายกาจ เวียนคือหนึ่งในผู้ประสบชะตากรรมเปื้อนเลือด สองมือต้องจับปืนขึ้นมาห้ำหั่นคนชาติเดียวกันตั้งแต่อายุสิบสามปี ต้นแสงเจอเด็กคนนี้ที่ซอนเตย์ ใกล้กรุงฮานอย เมื่อปีที่แล้ว

         เมื่อครั้งผืนแผ่นดินนี้ยังสงบ พ่อแม่ของเวียนมีอาชีพค้าขาย และมักจะรอนแรมข้ามประเทศมาหากินฝั่งไทย นั่นจึงทำให้ครอบครัวของเวียนพอจะพูดภาษาไทยได้บ้าง และเพราะเด็กคนนี้ ต้นแสงจึงได้เรียนรู้ภาษาเวียดนามไปด้วย บางครั้งบางคราทั้งสองจะพูดคุยกันด้วยภาษาเวียดนาม

         "คุณต้นแสง คุณคิดว่าผมมาถูกต้องแล้วใช่มั้ย? ที่ไม่ได้เลือกอยู่ฝั่งเดียวกับพ่อเพียงเพราะความคิดสายเลือดเดียวกัน ไม่เหมือนกัน"

         สายลมหนึ่งพัดผ่านไปพากลิ่นไอเขม่าแตะโสตจมูก ต้นแสงรู้สึกใจหายอยู่เงียบงันเมื่อต้องได้ยินเรื่องนี้อีกครั้ง โดยที่ตนไม่เคยได้สัมผัสกับความแตกแยกระหว่าง พ่อกับลูก เลย

         กระนั้น เพราะเด็กชายเลือกที่จะกลับใจเมื่อครั้งอยู่ฝ่ายเวียดนามเหนือด้วยตัวเอง จึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ ณ เวลานี้

         "เวียน ฉันขอโทษที่ตอบข้อข้องใจให้เธอไม่ได้ แต่เมื่อเธอเลือกทางนี้ มันก็ไม่มีอะไรผิด"

        ต้นแสงแตะลาดบ่าคนข้างกาย เวียนมีสีหน้าชื้นใจขึ้นมาบ้าง ตั้งแต่เด็กเวียดนามรู้จักเขา ความคิดที่จะรบราฆ่าฟันก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากหัวใจ เหลือไว้เพียงต้องการปกป้องแผ่นดินบ้านเกิดที่เปี่ยมล้น

         ใช่ เขาสอนให้เด็กคนนี้ได้รู้จักสิ่งที่มากกว่าสงคราม สงครามคือการฆ่าฟัน และสงครามจะจบลงได้เร็วขึ้นเมื่อมีคนหนึ่งวางปืนลง

         พลันความเงียบงันก่อนหน้าก็พังทลาย ร่างทั้งคู่สะดุ้งเมื่อห่าลูกกัมปนาทร่วงโรยลงมากระทบผืนดินอีกระลอกดังกึกก้อง ดวงตาสองคู่จับจ้องไปที่ท้องฟ้าทอประกายพราวแสงตะวัน แมกเมฆขีดตัวเป็นเส้นยาว เมื่อเครื่องบินรบขับเคลื่อนผ่านและมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สู่สนามบินอุดร

         "คุณปัจบอกว่า คุณต้นเกลียดเสียงปืน เสียงระเบิด เรื่องจริงมั้ยครับ?"

        เมื่อเห็นสายฝนมรณะมอดนิ่งดับสนิท เวียนก็ทักขึ้น

        "อืม ใช่" ต้นแสงยอมรับ เขาเห็นเมฆเส้นตรงจางหายไปแล้ว "แต่สิ่งที่เกลียดมากก็ทำให้ฉันรู้ว่า ครั้งหนึ่ง ได้มีคนพยายามปกป้องพวกเราที่เป็นครอบครัวเอาไว้อย่างกล้าหาญ"

         รุ่งอรุณอร่ามแสงเพริศแผ้วทั่วท้องนภา จรัสสาดประกาย ณ ขอบฟ้าตะวันออก คนสองสัญชาติวางเรื่องสนทนาและยืนดูความงดงามของวิถีธรรมชาติ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางพายุโศกนาฏกรรม แต่มันก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่มีอะไรมาห้ามวัฏสารได้

         เหมือนวิถีคลื่นทะเลสาดซัดเข้าฝั่งแล้วก็หายไป สงครามในแผ่นดินเวียดนามก็คงเป็นเช่นนั้นในสักวันหนึ่ง เป็นทะเลที่กลับมาเงียบสงบ

        "ไปกันเถอะเวียน"

        ต้นแสงบอก เด็กชายรับคำและรีบเดินตามไป เมื่อยามศึกสงบชั่วครา ก็ถึงคราวหน้าที่ของพวกเขาลาดตระเวนและช่วยเหลือ ก่อนที่ระลอกภัยพิบัติจากมนุษย์จะโรมรันเข้ามาอีก

        เบื้องหน้า ทั้งสองรู้ดีว่าอะไรกำลังรออยู่ คือใบไม้ที่ปลิดปลิวก่อนอันควร คือผู้ที่ถูกเนรเทศให้ดิ่งดับสู่ความตาย ต้นแสงไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไรกันที่ตนจะยอมหลุดพ้นจากวังวนแห่งความเจ็บปวดนี่เสียที หรือเขาต้องตายก่อน?

        ต้นแสงคิด แต่เขาไม่มีวันถาม ตลอดไป





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in