มินฮยอกกำลังเจอปัญหาหนักใจ
วันนี้เป็นวาเลนไทน์ วันที่คู่รักจะแสดงความรักต่อกันอย่างเปิดเผย ให้ของขวัญแก่กันและกันและใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข หรือมากกว่านั้นอาจจะผูกสัมพันธ์ทางกาย และเป็นของคนรักทั้งตัวและหัวใจ
แต่มินฮยอกไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นหรอก
เพราะแค่ของขวัญเล็กๆน้อยๆหรือคำบอกรักสักคำยัง ไม่ มี เลย!
ฮยองวอนตื่นสายโด่ง โชคดีพวกเขาไม่มีตารางงานในช่วงนี้เพราะรอคัมแบ็ค ทำให้แต่ละคนสามารถไปทำกิจกรรมอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ
และใจของฮยองวอนก็คงมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการนอนดูทีวี เล่นเกม เลื้อยไหลไปตามโซฟาหรือที่นอน โดยไม่ได้สนใจมินฮยอกแม้แต่น้อย!
โอเคพวกเขาไม่ใช่คู่รักที่หวานหอมปานน้ำผึ้งอะไรเทือกนั้น จริงๆแล้วพวกเขาเพิ่งจะเริ่มเปลี่ยนสถานะกันเมื่อไม่มานานมานี้
มินฮยอกเคยคิดว่าตนเป็นคนที่โชคดีมากๆที่เพื่อนสนิทกลายมาเป็นคนรู้ใจ
แต่ทานโทษ มินฮยอกไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองได้มีการเลื่อนขั้นใดใด ฮยองวอนยังทำตัวเหมือนเดิม กอดคอโอบไหล่ทั่วไป พูดจาด้วยสรรพนามคุ้นหู และไม่มีคำว่ารักว่าชอบออกจากปากเลยแม้แต่คำเดียว
ถ้ามินฮยอกไม่บังคับไอ้คนไม่รู้ร้อนรู้หนาวนี่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย
ไม่ไหวแล้วโว้ย! ทำตัวให้สมกับเป็นแฟนกันหน่อย!
“ฮยองวอน”
ร่างสูงยาวนอนก่ายไปตามพื้นห้องนั่งเล่น เจ้าของชื่อเลิกศีรษะขึ้นเล็กน้อยเป็นการขานรับ พอเห็นตัวเขาเดินอาดๆเข้ามาในห้อง จึงเปลี่ยนเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพลางขยี้ตาป้อยๆ
“ว่า”
“ไม่หิวข้าวหรอมึงนอนมาทั้งวันแล้ว”
“หิว”
“ออกไปกินข้าวข้างนอกกันไหม?”
“ได้หมด”
“อยากกินไร”
“แล้วแต่”
แหม พ่อประหยัดคำพูดดีจริงๆ กลัวดอกพิกุลจะร่วงจาปากรึไง ท่อนร้องน้อยแล้วยังพูดน้อยอีก!
ฮยองวอนพอจบบทสนทนา เขาก็ลุกไปอาบน้ำชำระร่างกายไม่ถึงสิบนาที ก็ออกจากห้องน้ำมาด้วยสภาพเสื้อคอกลมสีดำกางเกงขายาว ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กวางอยู่บนหัวพลางเช็ดผมที่เปียกหมาด กลิ่นหอมแชมพูอ่อนๆลอยมาจนถึงที่เขายืนอยู่
มินฮยอกยอมรับว่าเห็นภาพนี้ทีไรก็ใจเต้นส่ำไม่เป็นจังหวะทุกที
ไม่ว่าจะเห็นมากี่ปีเขาก็ยังรู้สึกหน้าร้อนผ่าวทุกครั้งเมื่อเห็นผมเปียกกับผ้าขนหนู
แต่นี่ไม่ใช่เวลาเดี๋ยว วางท่าก่อน สามสี่เริ่ม…
“เอารถพี่เมเนไปก็ได้เร็วหิวแล้ว”
“เค”
ฮยองวอนไม่พูดอะไร
เช่นเดียวกับมินฮยอก
พวกเขาปล่อยให้เพลงในรถเป็นคนกำกับอารมณ์ ฮยองวอนขับรถอย่างอารมณ์ดีพลางสอดส่องสายตาหาร้านอร่อยที่กระเพาะเรียกร้อง
ส่วนมินฮยอกนะหรอ คิดมากหัวแทบระเบิด
สามสัปดาห์ที่เปลี่ยนสถานะจากเพื่อนสนิทมาเป็นคนรัก มินฮยอกก็เป็นคนสารภาพความรู้สึกก่อน ส่วนอีกคนก็ทำหน้างงเป็นกบตาแตก ตอนแรกฮยองวอนคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องตลกแกล้งเล่นเอาเท่านั้น แต่พอได้เห็นความจริงจังในท่าทางและน้ำเสียงของมินฮยอก ฮยองวอนจึงมีท่าทีเปลี่ยนไป
‘มึงพูดจริงดิ?’
‘กูเล่นทุกเรื่องแต่เรื่องนี้กูไม่เล่น’
มินฮยอกใช้ความพยายามและวัดใจ กล้าได้กล้าเสียกับการสารภาพครั้งนี้ มันเหมือนเกมเดิมพัน เขาอาจจะเสียเพื่อนสนิทที่รักที่สุดไป อาจหนักถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติด แต่ความรู้สึกมันมากล้นเกินกว่าจะเก็บไว้ ถ้าฮยองวอนปฏิเสธ เขาก็ไม่รู้จริงๆว่าต้องทำยังไง เพราะเขาเทไปหมดหน้าตักแล้ว
‘ลองดูก็ได้’
คำตอบสั้นๆทำให้มินฮยอกคิดไปแล้วว่านั่นคือการตกลง ไม่ปฏิเสธเท่ากับยอมรับ เขาจะถือว่านั่นคือการมัดมือชกไปแล้วกัน
“เฮ้อ”
เขาคงเผลอคิดดังไปหน่อย มินฮยอกหายใจออกดังเฮือก พลางเสตามองไปยังร้านรวงข้างทางแต่ก็ไร้คำตอบใดใดจากที่นั่งคนขับ เขายังคงไม่ยินดียินร้ายกับอะไรยกเว้นว่าเมื่อไหร่จะถึงร้านอาหารเสียที
ไอ้การไม่ปฏิเสธมันก็ดีอยู่หรอก แต่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากเป็นเพื่อนเลยปะวะ!
วาเลนไทน์ที่ไม่มีของขวัญไม่มีคำหวาน ไม่มีช็อกโกแล็ต ทั้งๆที่มีแฟน มันจะเรียกว่าวานเลนไทน์หรอ
“มึง”
และเป็นตัวเขาเองที่โพล่งขึ้นมาทำลายความเงียบ มือขาวกดปิดเพลงที่เล่นอยู่ในรถเพื่อตัดเข้าโหมดจริงจัง
“ว่า”
ขานรับเหมือนเดิม
“วันนี้วาเลนไทน์”
“แล้ว?”
“แล้ว? มึงถามว่าแล้ว?”
“เออ แล้วไง?”
“เฮ้ย นี่มึงจะไม่ให้อะไรกูหน่อยหรอวะ?”
เสียงมินฮยอกเริ่มขึ้นสูง ฮยองวอนหันหน้ามามองเขาแวบนึงก่อนจะหันกลับไปสนใจทางข้างหน้าอีกครั้ง
“จำเป็นหรอ?”
“มึงถามมาได้ไงเนี่ยยยย!!”
โอ้ยยยย ความอดทนของมินฮยอกแทบจะทะลุปรอท ถ้ามีขีดจำกัดร้อยตอนนี้จุดเดือดของเขาคือเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้า ใจเย็นไว้ใจเย็นไว้
“นี่กูแฟนมึงนะ”
“รู้”
“แล้วมึงไม่คิดจะให้อะไรกูหน่อยหรอไง?!”
“อยากได้อะไรล่ะ”
ยังคงนิ่งสงบสยบทุกการเคลื่อนไหว เหมือนมินฮยอกยืนอยู่กลางซาฮาร่าแต่ฮยองวอนกลับเดินเล่นอย่างสบายใจที่ขั้วโลก
นี่ซื่อหรือโง่? หรือไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น?
“เอองั้นแบบนี้ก็ไม่ต้องมีป่ะแฟนอ่ะ แล้วยังมาถามอีกว่าจำเป็นหรอ มึงบ้าปะ เออมันก็ไม่ได้จำเป็นเว้ย แต่แบบก็กูไม่รู้เลยอ่ะว่ามึงรักกูจริงๆแบบที่กูรักมึงมั้ย มึงไม่แสดงออกอะไรเลยอะ มึงไม่เคยพูดว่ารักสักคำอะ กูพูดแทนมึงหมดเลย เนี่ย กูคิดนะเว้ยหรือจริงๆแล้วจะมีแต่กูที่รักมึงไปคนเดียวอ่ะ”
คำพูดทุกอย่างล้นปรี่ออกจากปากมินฮยอกอย่างไม่จบไม่สิ้น เหมือนเขาจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วตัวเองรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ น้อยใจหรอ? เศร้าหรอ?หรือเรียกร้องความสนใจ ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันตีกันมั่วไปหมด ปากก็ยังพรั่งพรูคำพูดออกมาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ขอบตาเขาเริ่มจะร้อนผ่าวแล้ว
“กูว่ามึงหลงประเด็นแล้ว”
“เออใช่! ทำไม! ก็กูจะพูด มึงอ่ะไม่เคยพูดอะไรเลย ใครจะไปตรัสรู้ความรู้สึกมึงได้วะ ยกเว้นเวลามึงง่วงกับหิวข้าวอะ ขนาดกูเป็นเพื่อนมึงมาตั้งหลายปีบางทีกูยังไม่รู้เลยว่ามึงคิดอะไรอยู่”
ดูเหมือนมินฮยอกจะยังไม่หยุดพูดง่ายๆ ฮยองวอนจึงตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าข้างทางแล้วหันมาประจันหน้ากับ ‘คนรัก’ ตัวเองตรงๆ ในความคิดเขา มินฮยอกตอนนี้ไม่ต่างอะไรเด็กอายุสามสี่ขวบที่งอแงอยากได้ของเล่นแล้วก็พาลตีอกชกหัวตัวเองว่าแม่ไม่รัก
“มินฮยอก”
ไม่กี่ครั้งที่ฮยองวอนจะเรียกอย่างจริงจัง ทำให้เจ้าของชื่อหันมาพบกับใบหน้าฮยองวอนที่ใกล้จนแทบชิด เขาหลับตาปี๋แล้วจึงสัมผัสได้ถึงริมฝีปากอุ่นที่จุมพิตที่หน้าผากอย่างแผ่ว เบามือใหญ่ลูบไปตามผมอ่อนนุ่ม ก่อนจะสั่งให้มินฮยอกลืมตาเพื่อให้รับรู้ถึงสารที่เขาจะส่งให้
และแน่นอนรถเงียบพอที่จะทำให้ฮยองวอนได้ยินถึงเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของอีกคน ฮยองวอนไม่เคยทำแบบนี้กับเขาเลย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนชอบสกินชิพขนาดไหนแต่มากสุดกับคนรักตรงหน้าก็แค่จับมือ
ความรู้สึกอ่อนโยนแบบนี้เขาไม่เคยได้สัมผัสเลย
และมันก็หวานจนอยากจะหยุดเวลาไว้นานๆ…
“ที่ถามว่าจำเป็นหรอคือของขวัญน่ะ จำเป็นหรอ? จำเป็นมั้ยที่ต้องซื้อของราคาแพงให้ซื้อดอกไม้ราคาเป็นพันหรือดินเนอร์ราคาหลายหมื่น”
“ก็….”
“ถ้ามึงต้องการ กูก็ไม่ขัด”
“…..”
“แต่กูว่าคำว่ารักมันตีค่าเป็นราคาไม่ได้หรอก ถ้าเอาความรักไปเทียบกับของพวกนั้น กูว่ามันถูกไป”
“…..”
“ความสุขที่กูได้อยู่กับมึงทุกวันต่างหากคือของขวัญที่ดีที่สุด เข้าใจมั้ย?”
ไม่ต้องถามหรอกว่าเข้าใจรึป่าว ตอนนี้มินฮยอกหน้าแดงไปถึงหู เขาไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากคนตรงหน้า เหมือนความรู้สึกเมื่อกี้ถูกทำลายสิ้นด้วยคำไม่กี่คำ
คำไม่กี่คำสั้นๆของฮยองวอนเพราะกว่าเพลงรักหรือบทกลอนมากมายบนโลกใบนี้อีก
“ฮยองวอนรักมินฮยอกนะครับ”
“อื้อ”
ไม่คิดเลยว่าคำว่ารักคำแรกจะเพราะขนาดนี้
มินฮยอกคิดว่าเขาเป็นคนที่โชคดีมากๆที่เพื่อนสนิทกลายมาเป็นคนรัก
อืม…ไม่ใช่หรอก เขาโชคดีที่สุดที่เขามีฮยองวอนเป็นคนรักต่างหาก
PS.
“กูว่ามันหาข้ออ้างไม่ซื้อของให้มึงมากกว่า”
กีฮยอนออกความเห็นหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด เจ้าของผมสีชมพูเงยหน้าขึ้นมาจากเขียงผักตรงหน้าก่อนจะชี้มีดไปที่ใบหน้าของเพื่อนสนิท
“มึงรู้ไม่ทันมันซะแล้ว”
“เออว่ะหรือจริงๆมันทำมาพูดดีเพราะไม่อยากซื้อของให้กูแน่ๆ”
“ตามนั้นแหละเพื่อน”
ฮยองวอน….เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยเสียแล้ว!
ฟิควูบที่แท้จริง วูบมาก งงงวยมากมาได้ไง
เจอกันที่ #ฟิคดี๋พรีรองเท้า นะจ๊ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in