“เดี๋ยวป๊ามารับนะ เต็มที่ไม่เกินตีสอง โอเคมั้ย?”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่พูดกับคนเด็กกว่าพลางกำลังยืนเลือกเสื้อเชิร์ตในสภาพเปลือยท่อนบน อายุเข้าเลขสี่ไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อส่วนบนหายไปตามกาลเวลา ทว่ายิ่งเข้มคร้ามน่ามอง เขายืนเลือกเสื้ออยู่นานในห้องแต่งตัวแบบ walk in ก่อนจะเดินออกมาด้วยชุดสูทเข้ารูปจาก Tom Ford ยังไม่หมดแค่นั้นซนฮยอนอูยังพิถีพิถันกับการเลือกน้ำหอมที่วางตั้งอยู่ ทิ้งให้เด็กมหาลัยอย่างอีมินฮยอกมองตาละห้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
หมั่นไส้ ….ทำไมต้องแต่งตัวหล่อขนาดนี้
จะไปเลี้ยงรุ่นหรือจะไปออกเดท!
“อาป๊า งานอ่ะมีคืนนี้นะ ไม่ใช่ชาติหน้า”
เขารู้จักซนฮยอนอูดีหากไม่ใช่งานสำคัญ อีกคนจะไม่ใช้เวลากับการเตรียมตัวนานขนาดนี้ เขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตาก็จริง แต่เสื้อผ้าที่เลือกใส่ก็เป็นยี่ห้อราคากลางๆ นานๆทีจะเห็นหยิบสูทตัวแพงออกมาใส่แสดงว่าวันนี้คงต้องสำคัญจริงๆ
ยิ่งคิดยิ่งเริ่มรู้สึกแปลกๆ
ไม่เอาน่ามินฮยอก ไม่มีอะไรหรอก
มินฮยอกให้เขามาส่งที่ย่านอิแทวอน ไม่ใช่แค่ฮยอนอูคนเดียวที่มีปาร์ตี้สำหรับคืนนี้ ข้ออ้างคือมินฮยอกไม่อยากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาคนเดียวในห้องตอนที่เขาไม่อยู่ คืนนี้จึงต้องปล่อยเลยตามเลย เขาไม่ชอบให้มินฮยอกเที่ยวกลางคืนมากนัก หลายเดือนที่ผ่านมาเด็กหนุ่มคนนี้เพิ่งจะได้ออกไปไหนตอนกลางคืนแบบนับครั้งได้ ไม่รู้ว่าเขาเป็นห่วงมินฮยอกไม่อยากให้ทำตัวไม่ดีไม่งาม หรือนอนไม่หลับเวลาไม่มีคนตัวเล็กกว่าในอ้อมกอดกันแน่
Rrrrrrr
“ฮัลโลว่าไงมึงเออกูถึงแล้วๆ รอแปปดิ รีบอ่อ รีบทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวาน เออเนี่ยๆถึงแล้ว”
มินฮยอกรีบกรอกเสียงลงโทรศัพท์ทันทีเมื่อกดรับสาย เขาชี้ให้ฮยอนอูจอดรถข้างหน้า แล้วจัดการเช็คความเรียบร้อยของตนเองจากกระจกรถอีกที
“เดี๋ยว”
คนแก่กว่ากดเสียงเข้ม นั่นทำให้มินฮยอกแอบลอบกลืนน้ำลายก่อนจะหันไปหาอีกคน
“ป๊าบอกแล้วไงครับว่าป๊าไม่ชอบให้พูดคำหยาบ”
“ก็คุยกับไอ้ฮยองวอนไงอาป๊า ไม่เห็นเป็นไรเลยเพื่อนกัน”
มินฮยอกรีบปลดsafety belt เก็บโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ใส่กระเป๋ากางเกงทันที เขากลัวสิ่งที่จะตามมาต่อจากนี้เหลือเกิน เพราะช่วงนี้อะไรเล็กๆน้อยๆเขาก็ดูทำผิดในสายตาอาป๊าไปเสียหมด และการลงโทษของฮยอนอูนั้นก็มักจะทำให้เขาใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอยู่บ่อยๆ
“เดี๋ยวตีสองป๊ามารับนะครับ”
ซนฮยอนอูเลื่อนใบหน้าลงมากระซิบข้างหูของเขาพลางให้มือซ้ายประคองให้คนตัวเล็กไม่หันหน้าหนี เขาเลื่อนสายตาลงมาที่ซอกคอขาวก่อนจะก้มลงจุมพิต ตอนแรกก็อ่อนโยนแต่กลับทำให้คุ้มคลั่งไปทั้งสรรพางค์กาย แต่สักพักฮยอนอูเริ่มออกแรงมากขึ้นประหนึ่งจะดูดกลืนเลือดเนื้อหนังจากอีกคน มินฮยอกตาพร่าแต่กลับเงยคอเอียงรับสัมผัสจากฮยอนอูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อา….ป๊า ยะ…หยุด”
คำแต่ละคำเปล่งออกมายากเหลือเกิน มินฮยอกไม่เหลือแรงที่จะต้านอีกต่อไปแล้ว มืออ่อนยวบร่างกายเบาหวิวจนเผลอครางออกมาหากฮยอนอูเป็นแวมไพร์ เลือดเขาคงหมดตัวไปแล้ว
“เปลี่ยนใจเป็นเที่ยงคืนแทนได้มั้ย?”
ซนฮยอนอูถอนจูบที่คอแล้วขยี้ผมอีกคนเบาๆ มินฮยอกแทบจะประสาทเสียตรงนั้นเขารีบตั้งสติก่อนจะขอยื่นคำขาดเป็นตีสองเหมือนเดิม คนตัวเล็กรีบวิ่งดุ๊กดิ๊กลงไปจากรถทันทีฮยอนอูมองตามก่อนภาพคนใต้ปกครองเขาอย่างเอ็นดูแล้วจึงขับรถต่อไปยังจุดหมายปลายทาง
น่ารักแบบนี้มีอีกสักสิบคนได้มั้ยครับ พระเจ้า
“โทษทีมึงกูมาสาย”
มินฮยอกรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหาฮยองวอนทันทีหลังลงจากรถ เขาอยากจะเป็นบ้าตาย แต่ช่างมันเถอะ จูบที่รดต้นคอนั่นน่ะเขาจะลืมไปในคืนนี้เสียให้หมด!
“อ่ะคืนนี้มันหนาวหน่อย มึงใส่ไว้ดีกว่า”
ฮยองวอนบรรจงถอดผ้าพันคอของตนให้เพื่อนรัก มินฮยอกนึกขอบคุณแต่ก็ไม่ได้กล่าวออกไป ที่เขาตัดสินใจมาปาร์ตี้กับฮยองวอนวันนี้ ก็เพราะคนเป็นเพื่อนเล่นโฆษณาซะใหญ่โตว่าสาวที่นี่เด็ดมากอยากเพื่อนลองเปิดหูเปิดตา
มันอาจจะถึงเวลาที่เขาต้องเปิดใจให้ใครสักคนแล้ว
คงดีกว่าที่จะหวั่นไหวกับใครที่ไม่ใช่อาป๊า
“กว่าจะเสด็จมานะครับมาๆมานี่เลย”
เพื่อนร่วมรุ่นกล่าวทักทายเขาทันทีที่เดินเข้างาน โต๊ะยาวของชมรมว่ายน้ำมันเด่นเป็นสง่าเสียเหลือเกิน คนในคณะต่างหมั่นไส้ชมรมเขาเป็นพิเศษ ก็เล่นรักใคร่กลมเกลียวกันเสมือนครอบครัว ฮยอนอูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนทันทีที่ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างกายเพื่อนร่วมชั้น ความรู้สึกเขาไม่ใช่ชายวัยกลางคนแต่กลับเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุยี่สิบอีกครั้ง ทุกคนไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดในสายตาฮยอนอู เว้นเสียแต่….
ชายหนุ่มร่างหนาในเสื้อเชิร์ตสีขาวสบตากับเขาชายคนนั้นนั่งห่างออกไปมาก แต่เขายังคงจำได้ดี
ราวกับโลกทั้งใบลางเลือน
ราวกับเสียงเพลงในงานหายไป
ราวกับตรงนี้ไม่ใช่งานเลี้ยง
แต่เป็นภาพของเด็กรุ่นสองคนในห้องชมรมที่แลกเปลี่ยนสัมผัสความร้อนหลังขึ้นมาจากน้ำ
เหมือนเจ้าตัวจะรู้เขาระบายยิ้มกลับมาให้ฮยอนอู
โฮซอกเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน…
ฮยอนอูสารภาพเลยว่าเขาไม่ค่อยมีสมาธิในการคุยกับเพื่อนมากสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มมึนเมาผสมกับสายตาของโฮซอกที่คอยมองมาเป็นระยะๆ เขาพยายามจะครองสติตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขาสัญญาไว้กับมินฮยอกว่าจะไปรับตอนตีสอง
2:10 am
ชายหนุ่มเข้มคร้ามพลิกดูนาฬิกาเรือนหรูในข้อมือตน สายสักหน่อยคงไม่เป็นไร ฮยอนอูขอตัวไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ก่อนจะมีเสียงโฮ่ไล่หลังมาเป็นระยะ เขาเคยเป็นคนคอแข็งที่สุดในชมรม แต่สงสัยจะห่างหายจากสงครามชนแก้วไปมาก แค่ครึ่งกลมก็แทบจะยืนไม่อยู่
เมื่อได้น้ำเย็นๆมากระทบใบหน้าก็พอจะเรียกสติให้เขาได้บ้าง ฮยอนอูตบหน้าตัวเองเบาๆพลางเอียงคอเล็กน้อยนาทีเดียวกันนั้นประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออก …..โฮซอกก็เดินออกมา
“หวัดดี”
“ผมนึกว่าเราจะทำได้แค่มองหน้ากันจนจบงานเสียอีก”
เขาเอ่ยทัก ชินโฮซอกเด็กกว่าเขาหลายปีนัก ฮยอนอูจำคนตรงหน้าเขาเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนได้ โฮซอกคือเด็กชายปีหนึ่งตัวผอมแห้งที่อยากมาเข้าชมรมว่ายน้ำ ตอนนั้นเขาเป็นประธานชมรมอนาคตไกล โฮซอกมาตอนเขาใกล้จะจบมหาวิทยาลัย และพวกเขาก็สนิทกันอย่างรวดเร็ว สนิทกันจนข้ามขั้นไปมาก.....
“นายหายไปไหนมา?”
“พี่ไม่ได้มาเลี้ยงรุ่นทุกปีซะหน่อยทำเป็นพูดไป”
โฮซอกยืนล้างมือพลางสบตากับฮยอนอูในกระจก ตอนนี้เด็กเก้งก้างตัวบางคนนั้นกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างดี มัดกล้ามเด่นชัดแม้จะใส่เสื้อแขนยาว ผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซ็ทไว้อย่างดีผิวขาดละเอียดประกอบกับการแต่งตัวของโฮซอกยิ่งขับให้ความหล่อของเขาทวีคูณขึ้นกว่าเก่ายิ่งนัก
แต่ในสายตาฮยอนอูโฮซอกก็ยังเป็นเด็กชายคนนั้นในห้องล็อคเกอร์นั่น
“พี่ดูไม่ไหวให้ผมไปส่งไหม?”
“ฉันขับรถมา”
“งั้นพี่ไปเอาของที่รถผมก่อนได้ไหมผมมีของจะให้พี่”
รถSUVคันใหญ่สีดำขลับดังขึ้นในจังหวะที่เจ้าของปลดล็อค รถของโฮซอกจอดไว้ที่มุมลึกที่สุดของลานจอด ฮยอนอูเดินตามอีกคนไปโดยไม่ได้ตั้งคำถามใดใด โฮซอกฝากเสื้อนอกไว้กับฮยอนอูก่อนจะคลานเข้าไปหาของในรถ เขาก้มๆเงยๆอยู่นานจนฮยอนอูนึกสงสัย
“หาเจอรึยัง”
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคฮยอนอูก็ถูกดึงขึ้นไปรถ โฮซอกคร่อมร่างของฮยอนอูไว้พลางยิ้มพราย คนแก่กว่าหันมองรอบรถ เบาะที่นั่งถูกพับเก็บอย่างดี แค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป…
ฮยอนอูรีบพลิกตัวขึ้นมาเหนืออีกคน ทุกอย่างมันเริ่มแล้ว สองมือเกี่ยวปัดเสื้อผ้าให้พ้นทางพลางรับไอร้อนจากริมฝีปากอีกคน โฮซอกตอบสนองเขาอย่างรวดเร็ว ต่างจากเด็กปีหนึ่งคนนั้นที่ไม่รู้ประสีประสา เกมรักกำลังดำเนิน ความร้อนในรถกลับยิ่งทวีให้ความรู้สึกของพวกเขาพุ่งทะยานเสมือนห้องล็อคเกอร์นั่น ทั้งฮยอนอูและโฮซอกกลับทำให้คืนที่หนาวเหน็บลุกไหม้เป็นไฟเพลิงด้วยสัมผัสจากพวกเขา
“ไหนของที่จะให้พี่?”
“ก็ตัวผมไง”
โฮซอกกัดซองถุงยางก่อนจะกระชากให้ขาดอย่างง่ายดาย ฮยอนอูยิ้มแสยะ ที่สระว่ายน้ำนั่นเด็กคนนี้ก็เป็นคนยั่วเขาก่อน ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปโฮซอกคนนี้ก็ยังคงทำให้เขาแทบจะคลั่งตาย คืนนี้เขาจะไม่รอช้ากับอะไรทั้งนั้นตัวเขาก็อยากรู้นักว่า โฮซอกคนนั้นกับโฮซอกคนนี้จะต่างกันมากแค่ไหน
“อย่าหมดแรงไปเสียก่อนล่ะ”
“ถึงเช้าก็ไหว”
ตีห้ากว่าแล้ว
เสียงเพลงจากผับบาร์เริ่มจะเบาลงเพราะใกล้เวลาเช้าทุกขณะ ความสนุกในห้วงราตรีผ่านพ้นไป หลายคนกลับบ้านในสภาพมึนเมา หลายคนกำลังนัวเนียแลกรักกันอย่างไม่สนใจใคร มีเพียงมินฮยอกที่ยังยืนยันจะนั่งหนาวสั่นอยู่หน้าร้าน เพียงเพื่อจะรอรถสีดำคันคุ้นเคยมารับเขากลับบ้าน
ไหนบอกตีสองจะมารับไง
เขาออกจากปาร์ตี้มาก่อนด้วยเหตุผลว่าต้องกลับบ้านเร็ว แต่ทว่าหลังจากงานเลิก ฮยองวอนกลับเห็นเพื่อนรักของคนยังคงนั่งสั่นอยู่ที่หน้าร้าน เขาบอกลาสาวๆในอ้อมกอดแล้วตรงดิ่งมาหาเพื่อนทันที ฮยองวอนขอร้องให้เขากลับครั้งแล้วครั้งเล่าแต่อีกคนก็ปฏิเสธเสียงแข็ง คนตัวสูงโมโหจนไร้ทางระบาย นึกอยากก่นด่ามินฮยอกที่ยังคงโง่นั่งรอ และอยากจะอัดเข้าหน้าผู้ปกครองของเพื่อนสักหนึ่งทีหนักๆ
“มึงกูให้ถึงหกโมง ถ้าป๊ามึงไม่มา มึงไปหอกูเหอะ”
“ป๊าบอกกูแล้วว่าจะมารับ ป๊าก็ต้องมา!”
มินฮยอกแผดเสียงสูง เขาหันมาเหวี่ยงใส่เพื่อนด้วยอารมณ์ มินฮยอกไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในความรู้สึกไหน ทั้งหนาว ทั้งหงุดหงิดทั้งกลัว โมโห มันท่วมท้นเหลือเกิน
….อาป๊าหายไปไหนครับ
“เอองั้นมึงก็รอให้แข็งตายไปเลยแล้วกัน!”
“ถ้ามึงจะมาด่าก็กลับบ้านไปเลย!!”
มึงจะโง่ไปถึงไหนวะ!
พลั่ก!
ฮยองวอนเก็บอารมณ์ทุกอย่างไม่ไหวอีกแล้ว หมัดหนักถูกส่งไปที่ใบหน้าขาวเนียนเต็มๆ แรงนั่นทำให้มินฮยอกเซจนล้ม คนตัวเล็กกว่าทำได้แค่ลงไปนั่งกับพื้น เขาไม่มีแรงจะสู้กับเพื่อนตัวเองอีกต่อไปแล้ว ใบหน้าที่เคยยิ้มบิดเบี้ยวเหลือเพียงแต่น้ำตา มินฮยอกถลาเข้าสู่อ้อมกอดของฮยองวอนความรู้สึกที่สั่งสมมาถูกปลดปล่อยผ่านน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสาย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกอะไร รู้แต่ว่าเขาทนไม่ไหวอีกแล้ว
อาป๊าคนโกหก….
เช้าวันนั้นที่หิมะตกลงมามินฮยอกร้องไห้ให้อ้อมกอดของฮยองวอน
ทั้งๆที่คนที่เขารอคือซนฮยอนอูแท้ๆ
คืนแห่งอารมณ์ผ่านพ้นไป
สาหัสเอาเรื่องสำหรับฮยอนอู….
เขาเสมองนาฬิกาเกือบสิบสองชั่วโมงแล้วที่ตนอยู่กับโฮซอก ใบหน้าของฮยอนอูเหนื่อยล้ามากแม้จะผ่านการอาบน้ำมาแล้ว สงครามจบลง ภาพในกระจกสะท้อนตัวเขาและคนที่นอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง เมื่อคืนพวกเขามีความสุขกันมาก มากจนเขาลืมไปว่าคืนที่ผ่านมานั้นไม่ได้มีแค่โฮซอกที่ต้องการเขา
มินฮยอกก็เช่นกัน
ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง
“เฮ้อ”
ฮยอนอูถอนหายดังเฮือก คนที่นอนอยู่บนเตียงจึงเริ่มขยับตัว ผิวของโฮซอกเมื่อกระทบแสงตะวันยิ่งทำให้ดูนวลเนียนไปหมด ผมสีน้ำตาลเข้มที่บัดนี้เละไม่เป็นทรง หน้าใสถูไปมากับหมอน กิริยาทุกอย่างไม่เหมือนคนอายุสามสิบกว่าเลยจริงๆ เขาหันมายิ้มน้อยๆให้ฮยอนอูก่อนจะเอ่ยทักด้วยประโยคเคืองหู
“ถอนหายใจซะดังเลยทำไมหรอพี่ กลัวเมียที่บ้านจับได้หรือไง?”
“เปล่า”
“มีงานหรอ?”
“ไม่มี”
เขาตอบสั้นๆอย่างไม่สบอารมณ์นัก นั่นทำให้โฮซอกแอบเบ้ปาก เมื่อคืนยังพร่ำบอกรักเขาจนทนฟังแทบไม่ไหว แต่เช้านี้กลับมาวางตัวห่างเหิน โฮซอกแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนย้ายตัวเองให้เข้าไปประชิดคนที่แต่งตัวอยู่ปลายเตียง แขนขาวโอบรอบเอวคนรุ่นพี่ พลางใช้เสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนอีกคนให้อยู่ต่อสักพัก
“งั้นก็อยู่ก่อนสิครับ”
“วันนี้ไม่ได้”
จิตใจของฮยอนอูไม่ได้อยู่โฮซอกอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เขาเป็นห่วงมินฮยอกมากกว่า เช้านี้เขาพยายามติดต่อแล้วแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ ทั้งโทร ทั้งส่งข้อความ ตอนแรกก็เป็นห่วง ไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียว ปกติเขารับส่งตลอด ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง แต่ความรู้สึกเป็นห่วงก็กลับกลายเป็นความหงุดหงิด ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์สักที รู้ไหมว่าเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน ทันทีที่แต่งตัวเสร็จ ฮยอนอูไม่รอช้า รีบคว้าโทรศัพท์กระเป๋าสตางค์พร้อมเสื้อสูทตัวเก่งแล้วก้าวออกไปจากห้องทันทีโดยไม่คิดจะหันมาลาเจ้าของห้องอย่างโฮซอกด้วยซ้ำ
“ติดต่อมาบ้างนะครับ”
“พี่ไม่มีเบอร์นาย”
“ผมเมมใส่โทรศัพท์พี่ไปแล้ว”
ฮยอนอูรีบกลับคอนโดอย่างร้อนรน
มินฮยอกยังคงไม่รับสายเขาไม่ว่าเขาจะเพียรโทรไปเท่าใด
ถ้าเจอจะจับตีแรงๆเสียให้เข็ด
ทันทีที่ถึงหน้าห้องชายหนุ่มรุ่นใหญ่รีบไขประตูและพรวดพราดเข้าไปในห้องอย่างร้อนรน ในขณะที่หูยังคงแนบโทรศัพท์รอมินฮยอกรับสาย แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เขาปรอทพุ่ง มินฮยอกนอนกินขนมดูทีวีอย่างไม่สนใจเสียงริงโทนที่ดังขึ้นข้างตัว อารมณ์ของเขาขาดผึ่ง ฮยอนอูตรงดิ่งเข้าไปดึงรีโมทในมือมินฮยอกพร้อมตะคอกเสียงดัง
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์!”
แต่แทนที่เจ้าตัวจะตอบโต้ เขาทำแค่เพียงมองหน้าฮยอนอูก่อนจะเดินหนีไป ความอดทนหมดสิ้นเขาไม่เคยคิดเลยว่ามินฮยอกที่ไม่เคยแม้แต่จะอ้าปากเถียงเขาสักครั้งกับเลือกจะเดินไปอย่างไม่ใยดี ‘ผู้ปกครอง’ จึงกระชากแขนกลับมา จนคนเด็กกว่าถึงกับเซ
“ป๊าถามว่าทำไมไม่รับสาย!!”
“ป๊าบอกว่าป๊าจะมารับ แล้วป๊าก็ไม่มา คนที่ผิดคำพูดก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก!”
“แต่ไม่ใช่การไม่รับสายป๊าแบบนี้ ป๊าเป็นห่วงนะ ถ้ามินฮยอกเป็นอะไรขึ้นมาป๊าจะทำยังไง?!”
พอเห็นหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของมินฮยอก ฮยอนอูก็เริ่มอ่อนลง เรื่องนี้เขาผิดจริงแบบไม่มีข้อแก้ตัวใดใด มินฮยอกมีสิทธิ์ที่จะโกรธเขา ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเขาเอง เมื่อเริ่มตระหนักได้จากแรงบีบที่แขนก็เริ่มคลาย เขาคว้าคนตัวเล็กกว่าเข้าไปกอดด้วยความเป็นห่วง โชคดีแค่ไหนแล้วที่คนตรงหน้าไม่เป็นอะไร
“อาป๊าปล่อยผม! ผมไม่อยากคุยกับอาป๊า!”
“มินฮยอกครับป๊าขอโทษ ป๊าผิดเอง ป๊าไม่ได้ตั้งใจลงอารมณ์กับเรา ป๊าไม่ได้ไปรับเรา เราต้องรอป๊านานแน่ๆ แล้วกลับบ้านมายังไง ป๊าขอโทษจริงๆครับ ยกโทษให้ป๊านะ”
“ผมไม่อยากคุยกับป๊าตอนนี้!!”
คนเด็กกว่าดิ้นหนักมือไม้ปัดไปหมด ถึงแม้ว่าฮยอนอูจะพยายามใช้แรงรั้งเข้าไว้แค่ไหน แต่มินฮยอกก็ยังมีแรงเท่ากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งมือขาวพยายามดันให้พ้นพันธนาการ จนมือเผลอไปกำเสื้ออีกคนโดยไม่รู้ตัว อีกคนก็ไม่ปล่อยอีกคนก็ดันออก
แคว่ก!
มินฮยอกเผลอดึงเสื้อฮยอนอูขาดโดยไม่ได้ตั้งใจ เศษกระดุมกระเด็นเต็มพื้น แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับทำให้มินฮยอกยิ่งช็อกหนัก
“ป๊า….นี่มันอะไรกัน”
รอยจ้ำสีเข้มปรากฏขึ้นทั่วแผงออกของฮยอนอูเลยไปถึงหน้าท้อง มินฮยอกหน้าซีดเผือด เขาก็ไม่ได้อ่อนต่อโลกจนไม่รู้ว่ารอยพวกนี้คืออะไร ฮยอนอูหายไปทั้งคืนโดยไม่ได้รับการติดต่อใดใด ฮยอนอูปล่อยให้เขารอจนเช้า ฮยอนอูปล่อยให้เขาเป็นห่วงจนแทบบ้า ปล่อยให้เขาหนาวจนเกือบแข็งตาย
เขาทนรอฮยอนอูทั้งคืนเพียงเพื่อหวังลึกๆว่าสุดท้ายจะมารับ
เขามันโง่เอง
ใช่เขามันโง่เอง
เวลาทั้งคืนที่มินฮยอกใช้ไปกับการรอคอยฮยอนอู เขากลับเอาไประเริงรักกับใครก็ไม่รู้
น้ำตาใสเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัวความรู้สึกชาไปทั้งตัวตั้งแต่ปลายนิ้ว ไม่มีแม้แต่ประโยคอะไรจะพูดออกมา
“อาป๊า…”
เขาเจ็บนะแต่ไม่รู้ว่าเขาควรจะเจ็บในฐานะอะไร….
พ่อลูกเขาไม่ทำกันแบบที่ฮยอนอูทำกับมินฮยอกหรอก...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in