“โถม๊ามันเป็นอุบัติเห….”
“อุบัติเหตุห่าเหวอะไรไปต่อยเขาจนดั้งหักเนี่ย! ไอ้ลูกเวร!”
ยังไม่ทันที่อีจูฮอนจะได้เอ่ยปากแก้ตัว ผู้เป็นแม่ก็เอาแฟ้มเอกสารฟาดหัวดังป้าป คนเป็นลูกได้แต่ร้องโวยวายเพราะแผลบนหน้ายังคงสดใหม่จากเหตุการณ์ชกต่อยที่เจ้าตัวไปหาเรื่องฝ่ายตรงข้ามก่อน จะให้ทำยังไงล่ะ แค่เห็นหน้าอีกฝ่าย ก็รู้สึกว่าส้นเท้าทำงานไวกว่าสมอง มันไม่มีเวลาได้คิดหรอก ในวงการนักเลงใครเปิดก่อนได้เปรียบ และเขาไม่เคยแพ้ใคร จะหมัดจะมวยจะอะไรก็เข้ามาเถอะ เขาพร้อมสู้อยู่แล้ว
แต่นิสัยชอบต่อยตีของเขามักทำให้พ่อและแม่ของเขาหนักใจอยู่เสมอๆ แม้เขาจะพยายามอธิบายว่ามันเป็นเรื่องของวัยรุ่น นั่นสิ ช่วงนี้เขาเจอแม่ของเขาที่โรงพยาบาลบ่อยกว่าที่บ้านเสียอีก
“เฮ้อจูฮอน…สัปดาห์นี้ม๊าเจอแกที่โรงพยาบาลสามวันติดแล้วนะ”
“โชคดีของผมนะม๊าที่มีแม่เป็นพยาบาล ทำแผลฟรี แบบนี้ให้ไปต่อยกับชาวบ้านทุกวันยังไง”
ไม่ว่าพลางจูฮอนทำท่าแย็บหมัดโชว์แม่ของเขาให้ดูเป็นขวัญตา คุณนายอีก็ทำได้แต่ส่ายหัวเบาๆ สงสัยเขาคงต้องมาตรการโหดกับลูกชายตัวดีเสียแล้วกระมัง ผู้เป็นแม่สูดหายใจเข้าลึกสุดปอดเอาล่ะ เจอประกาศิตแม่หน่อยสิ!
“จูฮอนนี่คือคำสั่ง ถ้าเดือนหนึ่งแกมีเรื่องเกินสามครั้งเดือน ต่อไปแกจะไม่ได้ค่าขนมอีก”
“เฮ้ยม๊า! ได้ไงอะ! สามครั้งที่เท่ากับสติถิต่อสัปดาห์นะม๊า!!”
“เรื่องของแก”
คุณนายอีตอบหน้าตาเฉยก่อนจะหันกลับไปจัดการกับกองแฟ้มคนไข้ โดยไม่ได้สนใจว่าคนเป็นลูกชายที่ร้องงอแงดิ้นพล่านไปมากับคำประกาศิตของเธอ
เฮ้อ…. อยากจะถอนหายใจวันละหลายร้อยรอบมีลูกชายแบบนี้ งานก็เยอะลูกก็ดื้อ คนที่แผนกก็ไม่พอ คงเป็นเพราะว่าชั้นที่เธอทำงานอยู่เป็นโซน VIP พยาบาลและหมอหลายคนปฏิเสธที่จะมาทำงานที่นี่ คนไข้ล้วนเป็นคนมีเงินหรือคนใหญ่คนโต การทำงานเต็มไปด้วยความกดดัน หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยนั่นหมายความว่า ชีวิตหน้าที่การงานคงจบเห่
เฮ้อ….
เดี๋ยวนะ….
เธอว่าเธอมีความคิดดีๆ
“แต่ว่าม๊ามีงานให้แกทำ……”
‘เอาจริงดิม๊า?’
จูฮอนอยากจะกระโดดตึกตายไปให้พ้นๆ งานของเขาวันนี้คือไล่เปลี่ยนดอกไม้ในแจกันของคนไข้ทั้งชั้น แถมยังต้องจำด้วยว่าคนไข้แต่ละห้องชอบดอกไม้ที่แตกต่างกัน บางคนต้องเป็นดอกกุหลาบสีโอลโรสเท่านั้นและต้องเป็นโอลโรสที่สีเสมอกันทุกดอก ห้ามสีเข้มไปหรืออ่อนไป บางคนห้ามมีดอกไม้เลย บางคนก็แทบจะขนดอกไม้ทั้งสวนมาไว้ในห้อง พร้อมต้อนรับขับสู้เขาอย่างดีชวนคุยจนเขากระดิกหนีไปไหนไม่ได้ แต่บางคนกลับไม่พูดกับเขาเลยไม่ว่าเขาจะเอ่ยปากถามอะไร
ห้องต่อไป1221ห้องสุดท้ายแล้ว เขาได้แต่ขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจ งานวันนี้ของเขาเสร็จสิ้นแล้วพร้อมกับค่าจ้างเพียงหนึ่งหมื่นวอนจากผู้เป็นแม่เอาวะ อย่างน้อยก็ได้เงิน
ก๊อกก๊อก ก๊อก
เขาเคาะเป็นจังหวะสามที ก่อนจะขออนุญาตเปิดประตูเข้าไป ห้องนี้แตกต่างจากห้องอื่นๆมาก แม้จะเป็นเวลากลางวันแต่กลับมืดกว่าทุกห้องที่เขาเห็น บนเตียงปรากฏเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลอ่อนรับกับใบหน้ากลม หันมามองเขา จูฮอนยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเพราะต้องการจบงานนี้ให้เร็วที่สุด เขากล่าวทักทายคนบนเตียงสองสามคำตามมารยาท ก่อนจะตรงดิ่งเข้าไปหาตำแหน่งแจกันดอกไม้ที่ข้างเตียง….เอ๊ะ ไม่มีหนิ
“คุณไม่ใช่พยาบาลใช่มั้ย?”
เด็กหนุ่มบนเตียงหันมาพูดกับเขานิ่งๆแต่ตาขวางราวกับจะหาเรื่อง จูฮอนหันไปสำรวจต้นเสียง เขาเป็นผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ดูเด็กกว่าเขาสักสองปี ไม่ได้สวมชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาล และเตียงของเขาก็ดูเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ ไม่ใช่เตียงผู้ป่วยอย่างที่ควรจะเป็น หากพิจารณาให้รอบดีๆในห้องนี้มันคืออพาร์ทเม้นท์ในโรงพยาบาลชัดๆ มีโซฟา ทีวี เครื่องเล่นเกม โต๊ะทำงาน ตู้หนังสือ และเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างที่ในห้องชุดมีอยู่ที่นี่ทั้งหมด เหมือนไม่ใช่แค่พักอาศัยยามป่วยไข้ แต่เป็นห้องที่คน ‘อยู่’ จริงๆ
“เฮ้คุณ”
คนบนเตียงเรียกสติจูฮอนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับมองจูฮอนอย่างไม่พอใจหนักกว่าเดิม เขาจึงได้แต่ยิ้มแห้งแล้วหันมามองรถเข็นของตน บนรถเข็นไม่มีดอกไม้สำหรับเปลี่ยนแล้ว สงสัยห้องนี้คงไม่ต้องการดอกไม้ จริงๆเขาควรจะคิดได้ตั้งแต่ไม่มีแจกันข้างหัวเตียงแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นจูฮอนจึงก้มหัวเพื่อกล่าวลาและลากรถเข็นเพื่อจะกลับ
“เดี๋ยวก่อน”
“ครับ?”
“ดอกไม้ของผมอยู่ข้างนอก”
“หา?”
“ผมปลูกไว้เองแหละฝากคุณรดน้ำหน่อยสิ”
คนบนเตียงชี้ออกไปที่หน้าต่างบานใหญ่ จูฮอนได้แต่กรอกตา ปลูกไว้เองทำไมไม่มีความรับผิดชอบจะดูแลล่ะวะ! ทำได้แค่คิดในใจ เขาเดินไปที่หน้าต่างอย่างว่าง่าย ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้อยู่ในระหว่างปฏิบัติงาน เขาเปิดม่านสีเข้มออกแล้วสไลด์หน้าต่าง เพื่อพบกับแปลงดอกไม้ย่อมๆที่ปลูกโดยเจ้าของห้อง
ทั้งหมดล้วนเป็นดอกทานตะวัน
“ฝักบัวอยู่ในห้องน้ำ รดให้ชุ่มๆหน่อยนะ”
เจ้าของห้องยังคงเอ่ยปากสั่งอย่างไม่คิดจะลุกขึ้นมาทำเอง จูฮอนได้แค่กำมือแน่น ถ้าไม่ใช่ว่าคนที่อยู่บนเตียงเป็นคนป่วย เขาคงเอาฝักบัวฟาดปากให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่คุ้มกับเงินหมื่นวอนเลย สงสัยต้องให้ม๊าขึ้นค่าแรงเสียแล้ว
ทานตะวันพวกนี้อาการสาหัสเอาเรื่องอยู่ ดูเหมือนขาดน้ำมาหลายวันแล้ว จูฮอนนึกหัวเสียกับเจ้าของห้อง เหตุใดถึงปล่อยให้ต้นไม้ที่ตัวเองอุตส่าห์ปลูกมาแห้งกรังจนใกล้ตายแบบนี้ เขารดน้ำพลางนึกสงสารชีวิตน้อยๆพวกนี้ ที่ต้องมีเจ้าของแบบคนที่นอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียงอย่างสบายใจ
ทานตะวันจ๋า…เดี๋ยววันหลังเฮียจะมาเทคโอเวอร์หนูๆไปเองนะจ๊ะ
หลังจากเสร็จภารกิจเขากล่าวลาเจ้าของห้อง ในใจคิดระริกระรี้ถึงเงินแม้จะเพียงน้อยนิด คุณนายอีได้แต่มองบนกับพฤติกรรมลูกชา ยแต่อย่างน้อยก็เริ่มได้สวยสำหรับอาชีพบุรุษพยาบาลพาร์ทไทม์
“เออม๊าถ้าจะให้ผมทำอีก ขึ้นค่าแรงให้ผมด้วย ไอ้ห้องสุดท้ายมันใช้ผมยังกะทาส เนี่ยมันบอกให้ผมไปรดน้ำต้นไม้ให้มันด้วย มันบอกมันปลูกเองแต่ไม่ดูแลเลยอะม๊า ตอนแรกผมไม่เห็นว่าในรถเข็นไม่มีดอกไม้แล้ว รู้งี้ผมไม่เข้าไปหรอก”
ลูกชายบ่นอุบคนเป็นแม่จึงทำได้แค่ระบายยิ้มพลางบังคับพวงมาลัย
ห้องสุดท้าย….ห้องของชางกยุนน่ะหรอ
แค่คิด คนเป็นพยาบาลก็ย้อนคิดถึงประวัติคนไข้กิตมศักดิ์รายนี้ทันที ครั้งแรกที่เจอเขาอยู่ในห้องฉุกเฉิน สายพันระโยงระยาง หมอและพยาบาลนับสิบชีวิตรุมล้อมเด็กชายตัวน้อยๆ
และหลังจากนั้นเด็กชายตัวน้อยนั่น…ก็ไม่เคยออกจากโรงพยาบาลอีกเลย
“ชางกยุนน่ะเขาเหงามากนะลูก”
“สมควรจะเหงาหรอกม๊า ไม่มีเพื่อนก็ไม่แปลกใจ บุคลิกเป็นพิษเอาเบอร์นั้น”
“ที่เขาไม่เคยมีเพื่อน เพราะเขาไม่เคยเจอใครนอกจากหมอและพยาบาลต่างหาก”
คำพูดทุกอย่าของจูฮอนโดนกลืนลงในลำคอ คำด่าที่เตรียมมาหายสิ้นไปหมด เขาหันกลับมาตั้งใจฟังสิ่งที่แม่ของเขากำลังจะพูดต่อไปจากนี้
“ชางกยุนโตในโรงพยาบาลตั้งแต่จำความได้ ไม่มีเพื่อน ไม่มีแม้กระทั่งพ่อแม่จะเจียดเวลามาดูแล”
จูฮอนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่วง วงเวียนชีวิต
“ตอนนี้โรคของเขาก็ดีขึ้นมาแล้วแหละ แต่หมอก็ยังไม่อนุญาตให้เขาออกไปไหน ลองคิดดูสิถ้าเป็นแก ต้องอยู่ในห้องแคบๆแบบนั้นตั้งแต่เด็กจนโต แกจะเหงามั้ยล่ะ?”
คนที่โตและใช้ชีวิตในโรงพยาบาลมาตั้งแต่จำความได้…. จูฮอนลองย้อนกลับมามามองชีวิตตัวเอง วันๆที่เอาแต่เที่ยวเล่น ได้ไปโรงเรียน มีเพื่อน กินขนมกินข้าวอร่อยๆ เหล่สาวให้พอกล้อมแกล้ม เตะบอลหลังเลิกเรียน ชีวิตวัยรุ่นพวกนี้ที่ชางกยุนไม่เคยมี แต่จูฮอนใช้มันทุกวันอย่างไร้ค่า แค่เขาไม่ได้เจอเพื่อนวันสองวันก็แทบจะทนอยู่ไม่ได้ แล้วอีกคนต้องไม่มีใครมาโดยตลอด
เขาไม่โกรธแล้วแหละที่ชางกยุนจะพูดจาไม่ดีกับเขา ชางกยุนไม่รู้ว่าการเข้าสังคมต้องทำแบบไหน
ไม่สิชางกยุนไม่รู้ว่าเพื่อนคืออะไรด้วยซ้ำ
“ว่าแต่เขาเป็นโรคอะไรหรอม๊า”
“SLEน่ะ” ผู้เป็นแม่ตอบเสียงเรียบในขณะที่ถอยรถเข้าซอง
“SLE?”
“SLEเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง แต่อย่างชางกยุนเป็นประเภทที่ถ้าโดนแสงแดดจัด จะทำให้ไปกระตุ้นปัจจัยทำให้อาการกำเริบขึ้นมา ไม่เห็นหรอว่าในห้องนั้นม่านทึบทั้งหมด”
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ออกไปรดน้ำทานตะวันที่หน้าต่างไม่ได้สินะ….
“ถือว่าม๊าขอนะจูฮอน”
“….?”
“ช่วยเป็นเพื่อนกับชางกยุนหน่อยนะลูก”
TBC.
อยากลองเขียนฟิคสักสามตอนขึ้นดูบ้าง มาๆ เจอกัน #ฟิคดี๋พรีรองเท้า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in