วันนี้วอนโฮตื่นเช้ากว่าทุกๆวัน
เขารีบตื่นมาทำความสะอาดบ้าน เคลียร์สิ่งสกปกรกทุกอย่างออก ประตูบานใหญ่กลางบ้านเปิดรับให้ลมทะเลในเวลาเช้าหอบเอาความสดชื่นเข้ามาเติมเต็ม นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองยังทิวทัศน์เบื้องหน้า สีครามของท้องทะเลวันนี้สวยกว่าวันไหนๆ วอนโฮบิดขี้เกียจพลางสูดกลิ่นติดเค็มเข้าไปเต็มปอดเสมือนเป็นการเรียกพลังให้ตัวเอง เจ้าตัวยิ้มร่าเพียงแค่คิดว่า “แขก” ที่กำลังจะเดินทางมา ต้องหลงรักวิวที่เขาเห็นทุกวันเช่นนี้แน่นอน เขาหลงรักทุกอย่างที่นี่ บ้านเดี่ยวสีขาวครีมที่บัดนี้เริ่มแปรสภาพตามกาลเวลา ตั้งตระหง่านหันหน้าเข้าทะเลเช่นนี้ทุกวันมาเป็นเวลานาน หลายปีแล้วที่เขาอาศัยอยู่โดยซื้อต่อจากเจ้าของเก่า ครั้งแรกที่เห็นเขาก็หลงรักบ้านหลังนี้เข้าเต็มเปาพอลองมองย้อนกลับไป ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยหลงแสงสีเข้าขั้นเสพติด จะทนเก็บหอมรอมริบอยู่หลายปีเพื่อจะซื้อบ้านที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้ส่วนทำไมต้องเป็นบ้านติดทะเล ? ก็มีคนเคยบอกเขาไว้
‘ทะเลเหมือนนายเลย’
‘ทำไมล่ะ?’
‘คาดเดาไม่ได้…มั้ง’
เมื่อจัดการบ้านเรียบร้อย เขาก็รีบอาบน้ำเสริมหล่อโดยไวเขาเลือกจะเก็บเสื้อสีสันสดใสไว้ในตู้ แล้วเลือกใส่สีขาวทั้งชุด ก็วันนี้เขาอยากให้มันมีอะไรพิเศษกว่าทุกวันหน่อย เขารู้ดีว่า คนที่จะมาชอบให้เขาแต่งตัวแบบนี้ เมื่อเช็คตัวเองเรียบร้อย เขาก็มัวสาละวนอยู่กับการเลือกไวน์เพื่อเป็น Welcome Drink เล็กๆน้อยๆสำหรับการับแขก ยอมรับตรงๆเลยว่าเขาตื่นเต้นมากมากจนข่มใจตัวเองไว้ไม่อยู่
“กริ๊งงงงง”
เพล้ง!
เสียงกริ่งประตูร้องดังขึ้นทำให้เขาตกใจจนเผลอปัดแก้วไวน์เตรียมไว้แตกกระจายเต็มพื้น เขาร้องบอกให้ผู้มาเยือนยืนรออยู่สักประเดี๋ยว ก่อนจะรีบจัดการทุกเศษแก้วให้เรียบร้อย ไม่ได้หรอกเขาจะให้แขกเข้ามาเห็นในสภาพแบบนี้ไม่ได้ ทุกอย่างต้องพร้อมที่สุด
“มาแล้วครับ”
มือขาวเปิดประตูสองบานออกพร้อมกันอย่างใจร้อน ปรากฏภาพชายหนุ่มร่างสูงผิวคร้ามแดดในชุดเสื้อกล้ามสีเข้มหน้าตาคุ้นเคย หลายปีผ่านไปเขากลับดูไม่เปลี่ยนเลยสักนิด วอนโฮยิ้มจนแทบจะสุดมุมปากใบหน้าอ่อนโยนของคนตรงหน้ายังคงเหมือนเดิมในความทรงจำ เขาแทบจะเข้าไปกระโดดกอดให้รู้แล้วรู้รอดไปถ้าไม่ติดว่าชายร่างสูงตรงหน้าเขาจับมือกับคนร่างเล็กที่เขาไม่คุ้นตาแม้แต่น้อย ผมสีชมพูที่ดูหวานรับกับหน้าเจ้าของอย่างลงตัว ตาเรียวจับจ้องมาที่วอนโฮอย่างประหลาดใจ เขาจึงทำได้แค่ยิ้มให้พลางผงกหัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ชายคนนั้นจึงยิ้มตอบกลับมารอยยิ้มที่แสนจะสดใส ทำให้วอนโฮได้คำตอบในใจ ว่าทำไมถึงต้องเป็น ‘คนนี้’
“วอนโฮนี่กีฮยอนนะ ที่บอกไว้…”
“อื้อ สวัสดีครับ ผมวอนโฮนะ”
เขายิ้มพลางยื่นมืออกไปเพื่อที่จะทำความรู้จักแต่อีกคนดูเหมือนจะยังกล้าๆกลัวๆกับการทำความรู้จัก วอนโฮจึงฉีกยิ้มให้กว้างกว่าเดิมเพื่อทำให้คนตัวเล็กไม่ต้องรู้สึกอึดอึด
ฮยอนอูมันต้องไปพูดอะไรไม่เข้าหูกีฮยอนแน่ๆ
วอนโฮสันนิฐานและเขาเชื่อในสันชาติญาณตัวเองเกินร้อย เขาจึงเชิญทั้งสองคนเข้ามาในตัวบ้าน พอทันทีที่กีฮยอนเห็นวิวทะเลที่สามารถมองทะลุจากในตัวบ้านเงาความอึดอัดรอบตัวก็เหมือนจะหายไปในทันที เรือนผมสีชมพูกระโดดเด้งด้วยความดีใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“ฮยอนอูดูสิสวยจังเลย”
“ว่าแล้วว่านายต้องชอบ”
ฮยอนอูที่กำลังขนกระเป๋าหันไปยิ้มให้กับกีฮยอน ภาพนั่นทำให้วอนโฮถึงกับยิ้มตามไปด้วยจนเผลอไปสบตากีฮยอนเข้า เจ้าตัวถึงกลับรีบหลบตาแล้วหันไปทางอื่นทันทีทำให้วอนโอถึงกับยิ้มแหยๆให้กับสถานการณ์ตรงหน้า
เมื่อวอนโฮพาแขกทั้งสองไปถึงห้องพักและจัดแจงเสิร์ฟ WelcomeDrink เรียบร้อยแล้ว เขาก็อยู่พูดคุยด้วยเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไปที่ห้องของตนเพราะอยากให้คนที่มาเป็นคู่ได้พักผ่อนและใช้เวลาร่วมกันมากกว่านี้ ตลอดการสนทนา วอนโฮรับรู้ได้ว่าสายตาของกีฮยอนมองมาที่เขาอย่างไม่วางตา
ฮยอนอู…เราต้องคุยกันหน่อยแล้ว
ตะวันเริ่มคล้อยบ่าย เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ห้องของวอนโฮ เจ้าตัวขานรับแล้วเปิดประตูก่อนจะพบกับร่างสูงโปรงผิวแทนที่ยืนอยู่หน้าห้องโดยไร้เงาคนข้างกาย วอนโฮเลือกที่จะไม่เชิญอีกคนเข้ามาในห้องพลางเสนอว่าไปนั่งรับลมกันตรงระเบียงบ้านดูท่าจะดีกว่า
“กีฮยอนล่ะ?”
ฮยอนอูเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ ทันทีที่ทั้งคู่หย่อนตัวลงบนโซฟาสนามสีขาวตัวใหญ่ วอนโฮก็เปิดบทสนทนาทันทีโดยไม่อ้อมค้อมสมกับเป็นวอนโฮ..
“หลับไปแล้วล่ะเล่นพูดมาตลอดทาง สงสัยจะเหนื่อยกว่าฉันที่ขับรถอีกมั้ง”
“น่ารักดีนะ”
“หื้ม ?”
“ดูเป็นแบบที่นายชอบ”
วอนโฮรู้ดีว่าคนตรงหน้า ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อันที่จริงเขารู้เรื่องของฮยอนอูไปหมดทุกเรื่อง เผลอๆอาจจะรู้มากกว่าเรื่องของตนด้วยซ้ำ แต่ตัวเขาไม่อยากจะคิดอะไรให้มากความ เขาไม่อยากทำลายความตั้งใจแรกของตนทิ้งไป วันนี้เป้าหมายของเขาไม่ได้ทำให้ฮยอนอูประทับใจ แต่ทำให้ ‘คู่รัก’คู่นี้มีความสุขมากที่สุดในเวลาอันมีจำกัด
“นายไปบอกกับเขาว่าอะไร”
อีกครั้งที่คนผมสีอ่อนเอ่ยถามขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ ตอนนี้เสียงลมทะเลดูเหมือนจะดังกว่าเสียงคนพูดเสียอีก ฮยอนอูที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้ตอบใดใด สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่เกลียวคลื่นสีฟ้าที่ม้วนตัวในระยะไกลเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเสตามามองคนข้างๆ
“ตอนแรกก็บอกว่าเป็นเพื่อนเก่า”
“……”
“พอซักไปเรื่อยๆเลยเผลอหลุดปากออกไปน่ะ”
“ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นน่ะหรอ รู้ไหมว่านายไม่ควรนะ”
วอนโฮหลุดขำ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกีฮยอนถึงมีท่าทางแบบนั้นลองคิดดูว่าถ้าเป็นตัวเขา เขาจะใจกว้างพอไหมนะ?
“ฉันคิดถึงนายนะ”
ฮยอนอูเอ่ย เสียงเขาไม่ได้แผ่วเบาแต่ก็ไม่ได้ดังกังวาน ไม่ได้สั่นเครือแต่ก็ไม่ได้เรียบเฉย วอนโฮเข้าใจประโยคนั้นดี และเข้าใจความรู้สึกที่อยู่ในเสียงนั้นด้วย ฮยอนอูหันมายิ้มให้ก่อนจะเปลี่ยนจากท่านั่งสบายๆมานอนบนตักวอนโฮ เจ้าตัวไม่ได้ปฏิเสธหนำซ้ำยังลูบผมคนตัวสูงเล่นด้วยความคุ้นเคย
“ถ้ากีฮยอนออกมาเห็นนายไม่ตายดีแน่”
“กลัวอยู่เหมือนกัน ฮ่าๆ”
เขาพูดติดตลกแต่สายตากลับเหลือบมองอย่างหลุกหลิก เมื่อพบว่าไร้เงาคนรักก็โล่งอก
“เป็นไงบ้างช่วงนี้”
“ก็เรื่อยๆ”
สายลมเย็นๆกับแดดอ่อนๆ ทำให้ทั้งสองคุยกันจนลืมเวลาพวกเขาต่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์สารทุกข์สุขดิบกันเรื่อยเปื่อยตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน ทำให้วอนโฮรู้ว่าตอนนี้ฮยอนอูในวัยย่างเข้าสามสิบได้ขึ้นเป็นรองผู้บริหารบริษัทแล้ว ฐานะเริ่มมั่นคงมีบ้านมีรถเป็นของตัวเอง กับกีฮยอนทั้งคู่เจอกันที่ระหว่างการทำงาน ทันที่ที่พบฮยอนอูก็รู้สึกแล้วว่าคนนี้คือคนที่ใช่และเขาวางแผนไว้ ว่าจะขอหมั้นต้นปีหน้า
ฟังดูเรียบง่ายแต่หวานเหมือนฝัน ชีวิตผู้ชายสักคนในวัยใกล้เลขสาม ที่เจอคนที่ตัวเองรัก มีฐานะการงานที่พร้อมมันจะมีอะไรที่วิเศษไปกว่านี้อีกไหม เขานึกแสดงความยินดีกับฮยอนอูอย่างจริงใจพลางลองย้อนคิดกลับไปถึงตนเอง
ถ้าตอนนี้คนที่อยู่ข้างๆฮยอนอูไม่ใช่กีฮยอน
แต่เป็นเขา….
มันจะเป็นยังไงกันนะ
“หิวแล้ว ฉันไปเตรียมกับข้าวดีกว่าแฟนนายตื่นมาจะได้กินได้เลย”
วอนโฮพูดตัดบทก่อนจะขอตัวเข้าไปตระเตรียมอาหารเย็น ไม่วายที่ฮยอนอูจะเอ่ยแซวฝีมือการทำอาหารที่ไม่ได้เรื่องของเจ้าบ้าน เขาปล่อยให้วอนโฮหายเข้าไปในครัวและเลือกที่จะลงไปเดินเล่มริมชายหาด หาดส่วนตัวตรงนี้ไม่ได้ไกลผู้คนนักจึงทำให้ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะเป็นระยะๆ เขาพับขากางเกง ถอดรองเท้าตัดสินใจเดินลงไปในน้ำจนครึ่งแข่ง ฮยอนอูปล่อยให้อารมณ์พาพัดไปกับสายลมทะเลเกลียวคลื่นละลานตาตัดกับเส้นขอบฟ้าสีสวย เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมวอนโฮถึงหลงรักทะเล
เขาก็เคยหลงรักทะเลเช่นเดียวกัน...
สำหรับเขาวอนโฮเป็นเหมือนทะเลสวยงาม สุดลูกหูลูกตา เป็นประกายวาววับเมื่อจับแสง แต่ใต้ฝืนน้ำกลับยิ่งอันตราย และอาจมีพายุร้ายก่อตัวโดยไม่รู้มาก่อน
หากเป็นเช่นนั้นจริงเมื่อก่อน ตัวเขาคงเป็นเฉกเช่นชาวประมง พร้อมจะออกเรือสู้กับพายุและความลึกอันตรายของทะเล แต่เรือของเขามันเล็กเกินและสุดท้ายโดนคลื่นยักษ์กินหายไปในที่สุด
แต่บัดนี้ทะเลสีสวยกลับเชื้อเชิญให้เขากลับมาอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้ทะเลกลับนิ่งสนิทไร้คลื่นลม แต่เสียใจด้วย ชาวประมงคนเดิมไม่เลือกที่จะลงเรือลำเล็กอีกต่อไปแล้ว…
เพราะเขารู้แล้วว่านอกจากทะเลบนบกก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน..
“ฮยอนอูกินข้าว!!”
เสียงแหลมทำให้เขาได้สติ กีฮยอนยืนร้องเรียกเขาอยู่ที่ระเบียงพลางโบกมือให้ไหวๆเขาขานรับก่อนจะส่ายหัวเบาๆ เรียกกินข้าวเหมือนอยู่ที่บ้านเลย
มื้ออาหารผ่านไปด้วยความรวดเร็ว อาหารทะเลมากมายถูกจัดวางไว้บนโต๊ะหายเกลี้ยงฝีมือการทำอาหารของวอนโฮดีขึ้นกว่าที่เขาเคยกินมามาก ถือว่าเป็นการพัฒนาที่น่าพอใจ กีฮยอนเมื่อหายเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้น และเป็นกันเองกับเจ้าของบ้านมาขึ้นประเด็นในโต๊ะอาหารจึงมีตั้งแต่ดินฟ้าอากาศจนเลยไปถึง Skincareดูแลผิวหน้า วอนโฮเสนอให้คู่รักลองไปเดินเที่ยวตอนกลางคืนดูเลยบ้านที่เขาอาศัยมีตลาดและสะพานปลาที่ประดับประดาดวงไฟสวยงามอยู่ กีฮยอนน่าจะชอบ แค่เพียงได้ยิน คนตัวเล็กก็รีบคะยั้นคะยอให้ฮยอนอูพาไปทันที วอนโฮจึงจัดการเก็บถ้วยชามและมอบกุญแจบ้านให้กับผู้มาเยือนในกรณีที่พวกเขาอาจจะกลับมาดึกจะได้ไม่ต้องเกรงใจ
เมื่อทั้งสองคนออกไป บ้านสีขาวหลังใหญ่กลับมาเหลือแค่เขาคนเดียวเหมือนเคย คืนนี้วอนโฮเลือกที่จะหยิบหนังสือสักเล่มพร้อมกับโกโก้ร้อนสักแก้วออกมารับลมตรงระเบียง
ทะเลตอนกลางคืนมืดสนิท…
เหมือนกับหัวใจของเขา…
เปลือกตาค่อยๆปิดแต่สติยังอยู่ครบถ้วน เขาอยากจะลองหลับตาสักพัก ย้อนทุกอย่างกลับไปในอดีต ตอนที่เขายังมีฮยอนอูอยู่ข้างกายภาพเด็กหนุ่มนักว่ายน้ำอายุ 18 ปีคือภาพในความทรงจำครั้งแรกที่เขาเห็นฮยอนอู ผู้ชายที่ดูเด๋อๆด๋าๆไม่ประสีประสาแต่กลับฮอตอย่างน่าประหลาดใจ พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมห้องกันตลอดสี่ปีในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย วอนโฮกับฮยอนอูคือส่วนหนึ่งของชีวิตกันและกัน พวกเขาค้นพบว่าต่างคนต่างเป็นส่วนเติมเต็มให้กัน ความสัมพันธ์ของเขารุดหน้าไปเกินคำว่าเพื่อน
แต่ตอนนั้นสำหรับวอนโฮ ฮยอนอูไม่เคยอยู่ในสายตา
โง่เสียยิ่งกว่าโง่
เขาไม่ปฏิเสธเลยว่า ในโลกนี้ฮยอนอูคือคนที่เข้าใจเขามากที่สุดด้านที่แข็งแรง ด้านที่อ่อนแอ ฮยอนอูรู้จักและเห็นเขาในทุกๆด้าน แต่ก็ยังเลือกที่จะอยู่กับเขาและไม่ไปไหน ในขณะที่ตัวเขาเองในตอนนั้น กลับเป็นคนที่เกินตัว ออกท่องราตรีโดยไม่สนใจชีวิตและอนาคต ปล่อยตัวให้เสเพลไปวันๆ โดยไม่ได้มองว่ามีคนๆหนึ่งที่คอยดูแลเขาอยู่ในทุกๆวัน เพราะคิดว่าสุดท้ายฮยอนอูจะไม่ไปไหนและคงอยู่ด้วยกันไปอีกนาน
หึ โง่เสียยิ่งกว่าโง่
เพราะเมื่อเกิดพายุหรือคลื่นสึนามิ ทะเลมักไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า หลังจากจบมหาวิทยาลัยพวกเขาคบกันในฐานะคนรักอยู่อีกหลายปีแต่จู่ๆฮยอนอูก็เลือกยุติความสัมพันธ์กับวอนโฮด้วยเหตุผลที่ว่า เขาต้องการจะไปเรียนต่อต่างประเทศ วอนโฮเลือกที่จะไม่รั้งและปล่อยให้ฮยอนอูไปตามทาง เพราะเขาเชื่อว่าหลังจากเรียนจบยังไงฮยอนอูก็ต้องกลับมาหาเขา
แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นไปตามที่คิด ช่วงที่ฮยอนอูกลับมาตรงกับช่วงที่วอนโฮกำลังจับงานคอลัมนิสต์อย่างจริงจังและกำลังไปได้สวย ในขณะเดียวกันฮยอนอูก็เข้าทำงานกับบริษัทชื่อดัง เมื่อเรื่องงานมาก่อนเรื่องความรักเวลาสำหรับสองคนจึงหายไป แต่หารู้ไม่ว่า สาเหตุที่วอนโฮต้องทำงานอย่างหลังขดหลังแข็งก็เพื่อจะเก็บเงินซื้อบ้านหลังนี้เป็นของขวัญให้ฮยอนอู เพื่อไถ่โทษในการทำตัวไม่มีมาตลอดที่คบกัน
แต่วอนโฮไม่เคยบอก
ฮยอนอูได้พบกับกีฮยอน….
เรื่องราวทุกอย่างจึงจบลงตรงนั้น
วอนโฮไม่มีโอกาสได้ปริปากพูดคำใดใดออกไป
แม้แต่คำว่ารักคำสุดท้ายก็ตาม…
เขาปิดหนังสือและพาตัวเองเข้านอน
กลางดึกคืนหนึ่งเสียงคลื่นซัดคลอกับเสียงสะอึกสะอื้น
ถ้าคืนนี้มันยาวนานนักก็ขอให้เขาร้องไห้จนหลับไปด้วยเถอะ
วันนี้วอนโฮตื่นเช้ากว่าทุกๆวัน
เพราะเขากลัวใครจะมาเห็นสภาพโทรมเป็นศพหลังจากการร้องไห้ตลอดคืน เขารีบอาบน้ำแต่งตัวและเลือกจะเก็บชุดสีขาวไว้ในตู้ หลังจากอาบน้ำเสร็จเมื่อเห็นว่าแขกยังไม่ตื่น วอนโฮก็เดินเข้าห้องครัวทันทีเพื่อจะจัดเตรียมอาหารเช้าเล็กๆน้อยๆให้คู่รักก่อนจะออกเดินทางต่อ
“วอนโฮ”
เจ้าของชื่อหันตามเสียงเรียก กีฮยอนในชุดนอนสีขาวที่ดูยังไม่ตื่นดียืนเกาหัวแกรกๆอยู่หน้าประตูห้องครัวของเขา คนตัวเล็กออกปากอาสาจะช่วยทำกับข้าวเป็นการตอบแทน กีฮยอนกล่าวขอบคุณวอนโฮ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกทุกอย่างตั้งแต่ที่หลับที่นอน จนไปถึงอาหารการกินเจ้า ตัวจึงทำได้แต่ยิ้มรับและเชิญอีกคนเข้ามาในครัว
“ทำไมคุณถึงเชิญพวกเรามา เป็นผม ผมคงไม่ใจกว้างพอขนาด”
กีฮยอนเอ่ยขึ้นระหว่างตอกไข่ลงในชาม คำถามนั่นทำให้วอนโฮเผยยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“แต่คุณก็ใจกว้างพอที่จะมานะ”
“......”
สองสัปดาห์ก่อนจู่ๆฮยอนอูก็มาชวนกีฮยอนออกต่างจังหวัด อาศัยช่วงหยุดยาวสักสามสี่วันไปเที่ยวทะเลให้คลายเมื่อยล้าจากการทำงาน กีฮยอนตอบตกลงทันที คนรักของเขาบอกเพียงแค่ว่าคืนแรกอาจแวะพักที่บ้าน ‘เพื่อนเก่า’ แล้วค่อยออกเดินทางต่อ แต่ตรงนี้แหละมันทำให้กีฮยอนรู้สึกตงิดในใจ ตัวเขารู้จักเพื่อนของฮยอนอูแทบทุกคน ใครคือเพื่อนเก่าปริศนาคนนั้น ประจวบเหมาะกับกีฮยอนมาเห็นข้อความที่ฮยอนอูติดต่อกับวอนโฮพอดี เรื่องจึงแดงขึ้นมาฮยอนอูรับสารภาพว่า วอนโฮคืออดีตคนรักของตนและเป็นคนชวนให้แวะพักที่บ้านของเขาเอง พอทราบเรื่องกีฮยอนปฏิเสธทันที
‘ไปเถอะ ผมไม่ได้เจอเขานานแล้ว’
กีฮยอนยังจำแววตาตอนที่ฮยอนอูพูดถึงคนรักเก่าได้ชัดเจน มันคือแววตาแห่งความคิดถึงที่มากล้น เขารู้ทันทีว่าเส้นนี้เป็นเส้นที่เขาก้าวเข้าไปไม่ได้ ฮยอนอูไม่พูดถึงวอนโฮอีกไม่ว่ากีฮยอนจะพยายามซักไซ้แค่ไหน เขาจึงจำเป็นต้องใจอ่อนยอมตามคนรักมา
“คุณโชคดีมากนะกีฮยอน” จู่ๆวอนโฮก็เอ่ยโผล่งขึ้นมา
“....”
“ผมเคยคิดนะว่าถ้าผมดีกว่านี้ผมจะรักษาฮยอนอูไว้ได้ไหม ถ้าผมพยายามถ้าผมเห็นค่าของเขาตั้งแต่ตอนนั้น ถ้าผมทำทุกวินาทีเพื่อเขาเหมือนที่เขาทำเพื่อผมมันจะเป็นยังไง ผมจะมีความสุขมากแค่ไหนในโลกนี้ผมไม่เคยเจอใครที่เข้าใจผมเท่าเขาอีกเลย เขาคือครึ่งชีวิตของผม ผมเอาแต่โทษตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมาความสุขของโลกทั้งใบของผมมีแต่เขาเท่านั้น ผมมันโง่ โง่ยิ่งกว่าโง่”
“.....”
“แต่พอมาเห็นพวกคุณอยู่ด้วยกันคำตอบของผมมันก็ชัดแล้วครับ”
วอนโฮถอนหายใจเฮือกใหญ่หันมองอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกาย คนผมสีอ่อนคว้าตัวกีฮยอนเข้ามากอดแน่นโดยไม่รู้ตัว
“โชคดีแล้วที่ฮยอนอูเลือกเดินจากผมมาเจอคำตอบของชีวิตแบบคุณ”
“....วอนโฮ”
“ฝากดูสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผมรักษาไว้ไม่ได้ด้วยนะครับ”
หลังจากมื้ออาหารเช้า คู่รักทั้งสองต่างช่วยกันขนของขึ้นรถพร้อมจะออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางต่อไป กีฮยอนเลือกที่จะขอตัวเข้าไปรอในรถ และให้ฮยอนอูกับวอนโฮล่ำลากันโดยไม่มีเขา หลังจากการสนทนาเมื่อเช้า กีฮยอนรู้ดีว่าอะไรคือเส้นที่ข้ามได้และข้ามไม่ได้ เส้นๆนี้ เขาไม่สามารถแม้จะแตะต้องมันได้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนสองคน แต่น้ำเสียงที่สั่นเครือของวอนโฮตอนที่กอดเขามันยังเล่นซ้ำไปมาในหัว ความรู้สึกทุกอย่างถูกส่งผ่านมาสู่คนตัวเล็ก เขาทำได้แค่ข่มใจกับทุกอย่างเท่านั้น
การเสียฮยอนอูไปคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตวอนโฮ
แต่มันคือของขวัญชิ้นใหญ่ของฮยอนอูเมื่อเขาได้พบกีฮยอน
“คงไม่ได้เจอกันอีกสักพักเนอะ”
“อืม มา มากอดหน่อย”
ทั้งสองคนสวมกอดกันแน่นสำหรับวอนโฮ เขาไม่รู้ว่ากอดนี้มันแทนความหมายอะไรหรือไม่สำหรับฮยอนอู แต่สำหรับตัวเขา มันคือคำขอโทษที่ไม่มีเสียง ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ขอโทษสำหรับการเป็นฝันร้าย ขอโทษสำหรับสิ่งที่เขาทำให้ไม่ได้ ขอโทษสำหรับความไม่พยายาม ขอโทษสำหรับความรักที่ไม่เคยได้รับสิ่งตอบแทน และขอบคุณ…. ขอบคุณสำหรับการเข้ามาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา
ขอบคุณนะ ขอบคุณมากๆจริงๆ
“มาอีกได้นะ ยินดีต้อนรับเสมอ”
“ครับดูแลตัวเองดีดีนะ ….โฮซอก”
ไม่มีใครเรียกเขาด้วยชื่อนี้นานแล้วนะ…
“......อื้ม”
สำหรับวอนโฮ
มีเพียงแค่ตัวเขา บ้านสีขาว ทะเลสีคราม กับการคิดถึงฮยอนอูไปทั้งชีวิต ….ก็คงจะเพียงพอแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in