“
น้ำเสียงทุ้มแหบตะคอกดังลั่น รอบนอกมืดมิดและเปียกแฉะ คงเป็นเพราะสภาพอากาศของฝนพรำกระมัง ฉันรู้เพียงเท่านี้ แต่ไม่อาจก้าวเท้าออกไปสำรวจภายนอกนั้นได้ ที่จริง ลึก ๆ แล้วยังรู้สึกหวั่นผวาในน้ำเสียงขึงขังเดาอารมณ์ไม่ถูกของเขาคนนั้นอยู่บ่อยครั้ง องค์ประกอบดังกล่าวคงลามมายังอวัยวะทุกอย่างในร่างกายให้ดับสิ้น ครั้นจะฝืนกระวีกระวาดใช้การได้ฉับพลันจึงรวนเรก็ไม่น่าแปลกอะไร
“
หากปล่อยให้เป็นอย่างที่คิด
น้ำเสียงฉุดกระชากโทนสูงของเธอถูกกลบสิ้นถึงความสำคัญตัว หลังเสียงสั่นเครือจากใครสักคนกล่าวเรียงถ้อยบางอย่างคลุมเครืออ่อนแผ่ว ไม่นานนัก ความร้าวฉานราวใกล้เวลาทึ้งกระโจนใส่กันก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งพินอบพิเทา แตกระย้า เบ่งบาน กล่อมเกลาท่ามกลางแสงเหลือบลอดของฟ้าคะนอง ฉายลงมายังพื้นห้องสีเข้มรูปทรงหยักเฉียง สวมรอยเป็นฝ่ายปฏิปักษ์บนผิวราบเรียบ ก้อนเหล่านั้นขย้อนแตกเกินกว่าจะรวมเนื้อเข้าด้วยกัน ทว่า กลับหลอมเหลวเป็นปึกแผ่นสีเข้มอย่างง่ายดาย ผ่านความแจ่มแจ้งของริ้วแสง แทรกเข้ามาทางหน้าต่างหรือบานประตูที่ไม่ได้ถูกปิดทับเป็นเนื้อเดียวกันกับขอบผนัง ฉันไม่แน่ใจ รู้เพียงแต่เธอคนนั้นเงียบไป
เสียงอื้ออึงที่เคยรับรู้เริ่มขาดห้วง เหลือเพียงลมกระหืดกระหอบถี่ช่วงที่ค่อยๆ ทิ้งระยะทางกระชั้นชิดเข้ามาใกล้ ทีละน้อย...
ทีละน้อย...
ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งจะมองเห็นเงาตะครุ่มของใครสักคนเลือนราง ฉายซ้ำ ซ้อนทับ แทรกผ่านเรือนกาย กระทั่งสิ่งประดำประด่างแสนมืดมัวจะเริ่มบิดเบี้ยวชัดแจ้ง ทว่าคลุมเครือไปตามระลอกของไอน้ำเกาะกลุ่มเป็นดวง ปุ่มน้อยใหญ่ของมวลเหลวเริ่มเบือนรอยนิ้วของใครสักคนขยายกว้างขึ้น แคบรั้งเป็นครั้งคราว และสุดท้ายมันก็กลายเป็นรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตทรงประหลาด ที่ดูเหมือนกำลังร่ำอาวรณ์ต่อชีวิตอย่างสุดกำลังเพื่อย้ำต้านความเกรี้ยวโกรธที่มองไม่เห็น กระทั่งทุกอย่างถูกแรงดันภายในกดออกมาเสียจนลูกกลมโตสีขาวแซมเส้นเลือดฝอยเชื่อมติดเรียงรายกับริ้วเส้นประสาทจะโผล่พ้นลอยเหนือผิวน้ำ
‘
‘
‘
ก่อนที่ฉันจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นอิสระ กลางสิ่งรอบข้าง เสียงฝนพรำยังคงโถมร่างตกกระทบเรือนโถงใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่ห่อหุ้มสายน้ำจากผืนคราม ครอบกั้นจังหวะร่วงหล่นก่อนแตกสลายไม่ให้ไหลหลั่งบนผิวเปียกลื่นของเราอย่างเคย
“
สิ้นคำปรารภ เขาใช้เล็บจิกชอนบนเส้นผมเปียกเรียบติดกับใบหน้าของฉัน สีหน้าแหยเกคล้ายรังเกียจแทบปิดไม่มิดฉายแววไม่สบอารมณ์ ราวถึงเวลาทำความสะอาดตะไคร่เขียวบนผิวซีเมนต์ที่อับและเปียก แขนยาว ๆ นี่กำลังยกฉันใส่ลงไปในโหลขนาดใหญ่ที่กว้างลึกพอดีกับขนาดหัวของคนคนหนึ่งจะปักหลักลงไปอาศัย ในคราวนั้น ฉันถึงได้รู้ว่าการร่วงหล่น แตกกระจาย และควานหาอิสระแห่งสันติเป็นเรื่องแปลกประหลาดเกินกว่าใครจะทำ เมื่ออยู่ท่ามกลางโรงเรือนเพาะศพแห่งนี้
ฉันขยับตัวไม่ได้ ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวเสียงกู่ตะโกนของเขา เพียงแต่นอกเหนือจากภาพอันพร่าเลือนตรงหน้า ฉันก็ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของร่างกายอีกต่อไป
ภายหลังการเพาะชำและตอนกิ่งสำหรับช่วงเวลาแสดงพรรณไม้นานาชนิดของเขากับแขกคนสำคัญเสร็จสิ้น ฉันถึงย้อนสำนึกได้ว่าตัวเองไม่เคยชื่อยูกินะมาก่อน
ยูกิก็คือหิมะ หิมะก็คือพรที่ร่วงหล่นในวันที่แม่คลอด แม่ของฉันเคยเล่าให้ฟังหลายหน
“
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in