เมื่อเข็มสั้นชี้เลขห้าและเข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบเอ็ด ฉันก็พาตัวเองมายืนอยู่ตรงปากทางออกสถานีรถไฟใต้ดิน HongDae Ip Gu หรือ Hong Ik University ฉันมองไปรอบๆ เพื่อหาเพื่อนของฉัน ฉันไม่รู้ว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดแล้ว เราไม่เห็นหน้าค่าตากันมาตั้งสองปีเต็มๆ เธอจะยังจำฉัน และฉันจะยังจำเธอได้รึเปล่านะ
เมื่อฉันมองผ่านแว่นสายตาออกไป ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่สูทสีน้ำเงินพร้อมกับกางเกงสแล็คเข้าชุด รองเท้าส้นสูงสำหรับสาวทำงาน เธอยืนกอดอก เคี้ยวหมากฝรั่ง และไม่ลืมคล้องหูฟังสีขาวที่ห้อยลงมาจากหูทั้งสองข้างของเธอ
.. เพื่อนของฉันยังไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด ..
เราร้องกันเสียงหลง ไม่สนสายตานับสิบที่มองมาที่เรา ก็ฉันไม่ได้เจอเพื่อนฉันมาตั้งสองปีเลยนี่นา และนี่ฉันบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาเธอถึงที่บ้านเธอซะอีกด้วย เธอยังคงลากฉันเหมือนที่เคยลากเมื่อสองปีก่อน ฉันเข้าใจก็วันนี้ ทฤษฎีที่ฉันเคยคิดว่าเธอเป็นคนเดินเร็วนั้นผิด จริงๆแล้วคนเกาหลีเป็นคนเดินเร็วต่างหาก จะว่าไป ไม่ว่าทำอะไรก็แลดูจะเร็วไปหมดนั่นแหละ ทั้งพูดเร็ว เดินเร็ว กินเร็ว อาจจะไม่ใช่เพราะรีบ แต่แค่ไม่ชอบทำอะไรช้าๆ
เธอถามฉันอย่างเจ้าบ้านที่ดีว่าฉันอยากทานอะไร ฉันตอบอย่างผู้มาเยือนที่ดีว่า ที่ไหนก็ได้ ..แต่.. ฉันขอแบบนั่งสบายๆ จะได้คุยกันได้แบบไม่ต้องตะโกน เธอแนะว่าให้ละร้านเนื้อย่างเอาไว้ก่อนซึ่งฉันเห็นด้วย ตอนนี้คาร์บอนไดออกไซด์ในตัวฉันมีมากพอแล้ว เธอพาฉันมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารอิตาเลียนเงียบ สงบ สมใจนึกจริงๆ บรรยากาศสบายๆ เปิดเพลงเย็นๆเข้ากับอากาศที่เย็นกว่าตอนกลางวันพอสมควร
ฉันเบลอเกินกว่าจะจำอะไรได้ ฉันจำพิกัดไม่ได้ว่าร้านนี้อยู่ตรงส่วนใดของฮงแด จะไปจำได้ยังไง ฉันรู้แค่ว่าเพื่อนรักของฉันลากฉันไปทางไหน ฉันก็ต้องไปตามเธอเท่านั้นเอง สมองของฉันจำได้แค่ ร้านอยู่ชั้นสอง และร้านแต่งแบบกึ่งย้อนยุค กึ่ง loft โปร่งๆ [หลังจากกลับมา ถามเพื่อนแล้วได้ความว่าชื่อร้าน No Stress Kitchen] เรื่องอาหาร ฉันยกให้เพื่อนสั่ง เพราะเมนูที่ให้มา มีแต่ภาษาเกาหลี เพื่อนแปลให้ฉันฟัง เราตกลงเลือกอาหารมาสองอย่าง แล้วแบ่งกันทาน
อาหารและบรรยากาศร้านนี้ฉันยกนิ้วโป้งทุกนิ้วที่ฉันเป็นเจ้าของมันอยู่ให้แบบไม่มีข้อกังขา Starter เป็นขนมปังจิ้มน้ำมันมะกอกและน้ำส้ม Balsamic เหมือนร้านอาหารอิตาเลียนทั่วๆไป จานหลักจานแรกเป็น สปาเกตตีซอสขาว ที่มีกุ้งกรุบกรอบ บรอกโคลีพร้อมไข่ปลาบิน จานนี้เพื่อนฉันติงว่าเลี่ยนไปนิดแต่ขณะนั้น ฉัน.. หูอื้อและฉัน.. กำลังใช้ช้อนกวาดซอสให้เรียบ ฉันไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูดเลยซักนิด จานหลักอีกจานเป็น พิซซ่าแบบบางเฉียบ กรอบกำลังดีหน้าชีสและกระเทียม เสิร์ฟพร้อมกับน้ำผึ้งถ้วยเล็ก ฉันไม่รู้ว่าอาหารอร่อยเพราะความโล่งในกระเพาะหรือเพราะมื้อนี้ฉันได้กินกับเพื่อนเก่า ความเร็วในการกิน ไล่เลี่ยกับการแย่งกันพูด บรรยากาศเงียบๆของร้าน ทำให้เราเป็นโต๊ะที่เสียงดังที่สุด เมื่อโต๊ะอื่นๆ ดูเหมือนมากินบรรยากาศมากกว่ามากินอาหาร
เพื่อนฉันบอกว่า เย็นวันศุกร์แบบนี้ฮงแดจะคึกคักมากเป็นพิเศษ เธอถามฉันว่า ฉันอยากไปผับหรือคลับมั้ย ฉันยิ้มแต่เธอหัวเราะร่า ฉันยังไม่ทันจะพูดอะไร แต่ดูเธอจะอ่านความคิดฉันออกหมดแล้ว ฉันเหนื่อย ฉันง่วง เกินกว่าจะตอบเธอเสียด้วยซ้ำ เธอยังคงจำได้ว่าฉันไม่ทานเนื้อวัวและจำได้ว่าฉันรักของหวานขนาดไหน เราออกจากร้านอาหาร ฉันถูกเธอลากไปหาน้ำตาลจากอีกร้านหนึ่ง
ตอนนี้อากาศข้างนอกดูจะทวีความเย็นเข้าไปอีกฉันแต่งตัวไม่เคารพอากาศอีกแล้วล่ะสิเนี่ย เรามาหยุดที่ร้านขายเสื้อผ้า ฉันมองเธอนึกสงสัยว่าเธอเวทนาฉัน อยากให้ฉันซื้อเสื้อกันหนาวหรืออย่างไร เธอหันมาบอกว่า "เข้าไปสิ วาฟเฟิลรอเธออยู่ด้านในแน่ะ" เอาล่ะสิร้านนี้ถูกจริตฉันอีกแล้ว แนวย้อนยุค โซฟาดูดวิญญาณ กับ วาฟเฟิลหอมหวานถูกเสิร์ฟมาพร้อมซอสบลูเบอร์รี่ และไอศกรีมวนิลลา ความถี่ในการกินดูจะช้าลงแต่ตรงกันข้าม ความเร็วในการพูดดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ณ ตอนนี้ไม่เหลือผู้ฟังอยู่ที่โต๊ะของฉัน เรามีผู้พูดสองคนที่คอยหาจังหวะในการขโมยบทสนทนา สลับกับการหัวเราะดังๆ
สองชั่วโมงถัดมา วัฟเฟิลยังไม่หมดและไอติมละลายจนกลายเป็นนมแล้ว เราตัดสินใจกลับบ้านเพื่อพักผ่อนและนัดเจอกันในวันรุ่งขึ้น เรายังไม่ได้ตกลงว่าเราจะไปที่ไหนเพราะตอนนี้สมองของฉันออกคำสั่งได้แค่ชุดพื้นฐาน มันสั่งให้ฉันเดินหน้า เลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายได้เท่านั้น
เพื่อนฉันยืนยันว่าจะเดินมาส่งทั้งที่แถวบ้านฉันยังห่างคำว่า ปิดบริการอยู่โขนัก ฉันบอกขอบคุณเธอที่มาส่ง เราลากัน ฉันเดินเข้าบ้าน รองเท้าที่ห้องโถงมีประมาณสามถึงสี่คู่ เดาว่าเพื่อนบ้านของฉันยังกลับมากันไม่ครบและจะเป็นโชคดีของฉันที่ห้องน้ำยังว่างพอให้ฉันได้เตรียมตัวเข้านอนหลังจากที่ฉันไม่ได้นอนมาอย่างน้อยยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่พอถึงเวลานอนจริงๆฉันก็หลับไม่ลงซะนี่
..ก็ชีวิตของฉันในกรุงโซลเพิ่งจะเริ่มต้นเองนี่นา..
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in