เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
EVERY SINGLE PIECE OF YOU MAKES ME FALLa week before valentine
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน [TEN/DOYOUNG] คู่ตรงข้าม
  • Title: คู่ตรงข้าม
    Fandom: NCT, WayV
    Pairing: TEN/DOYOUNG
    Rating: NC-18 (mentioned sex and some kinds of stuff)
    Note:
    - มีการใช้คำหยาบ
    - This plan to be a long story but I just wanna write down the main concept of the storyline.

    **********




    ผมเกลียดกลิ่นบุหรี่

    ความจริงข้อหนึ่งที่ผมพร่ำบอกใครอีกคนอยู่เสมอ มองแผ่นหลังเล็กเปลือยเปล่านั่งอยู่ข้างเตียง พอหมอนั่นขยับมือทำท่าจะหยิบกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ตรงโต๊ะหัวเตียงขึ้นมาผมก็ชิงพูดก่อน

    "ไปสูบข้างนอก"

    มันผินหน้ากลับมา ตรงหน้าคือภาพย้อนแสงของชายหนุ่มรูปร่างเล็กที่มีใบหน้างดงามเกินกว่าจะเป็นมนุษย์จริง ๆ ราวกับผลงานชิ้นเอกของจิตรกรมากฝีมือที่ปั้นผลงานชิ้นสุดท้ายไว้ให้ลือโลกก่อนจะดับชีพตัวเอง ผมคิดทุกครั้งว่ากรรมพันธุ์บนใบหน้ามันช่างขี้โกงเหลือเกิน แต่พอพูดอะไรแบบนี้ไปก็จะโดนหัวเราะกลับมาพร้อมคำพูดทำนองว่า "พระเจ้าอยากแสดงฝีมือตอนกูเกิดไง"

    มึงมันคนไม่มีศาสนา ยังจะมาอ้างพระเจ้าอีก ถุยเถอะ

    "ไม่ชินอีกเหรอ"

    มันถาม เอี้ยวตัวกลับมา เปลี่ยนท่าเป็นขาข้างหนึ่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ผมห่อตัวกับผ้าห่มผืนหนา แอร์ในห้องส่งเสียงหึ่ง ๆ ออกมาเบา ๆ ลมเย็นจัดพัดมาจากตัวเครื่อง แต่มันก็ยังนั่งเปลือยท่อนบนได้หน้าตาเฉย

    "เปิดแอร์อยู่ สูบในห้องกลิ่นมันก็วนอยู่ในนี้ มึงบ้าปะ"

    มันหัวเราะ ยื่นมือมาขยี้หัวผมเบา ๆ ครั้งหนึ่งแล้วคว้าซองบุหรี่ออกไปที่ระเบียง

    ผมมองจนมั่นใจแล้วว่ามันปิดระเบียงสนิทดีจึงดึงสายตากลับมาที่ของในห้อง แม้จะเลยเที่ยงคืนมาแล้วแต่ห้องของมันไม่เคยมืดสนิท มันมักจะแง้มม่านไว้เล็กน้อยให้แสงจากด้านนอกส่องเข้ามา มันบอกว่าแสงแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลาไม่เหมือนกัน บ้างสว่าง บ้างเป็นเส้นสีแปลกตา พอกระทบของในห้องก็ให้ความรู้สึกต่างกัน

    "วันก่อนที่มึงมานอนห้องกู จอ LCD ข้างนอกฉายโฆษณา ไฟสีชมพูนีออนเลย พอแสงมันลงตรงหลังมึงก็โคตรสวย"

    "..."

    "กูถ่ายรูปไว้ด้วยนะ"

    กล้องฟิล์มของมันวางอยู่ตรงหัวเตียงใกล้ ๆ กับบุหรี่ที่มันเพิ่งหยิบไปนั่นแหละ ผมเห็นมันถ่ายรูปมาตั้งแต่รู้จักกัน เหมือนมีมันที่ไหนต้องมีกล้องที่นั่น ตอนมันลงชมรมถ่ายภาพผมก็ไม่แปลกใจเลย ถ้ามันไม่ลงสิแปลก

    แสงไฟด้านนอกลอดม้านที่แง้มเล็กน้อยนั่นเข้ามาในห้องเช่นที่มันว่า แต่มันไม่สว่างพอจะเห็นอีกฟากของห้อง กระนั้นผมก็จำรายละเอียดได้อย่างคนที่มานอนห้องมันบ่อยเหมือนห้องตัวเอง อพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ราคาเดือนละไม่ถึงหมื่นแห่งนี้ นอกจากมีเตียงเป็นเครื่องเรือนหลักแล้ว ยังมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เอียงเป็นองศาพอดีสำหรับคนทำงานสายศิลปกรรม กับโต๊ะที่ไว้วางคอมอีกตัวหนึ่ง มีโปรเจ็กเตอร์อยู่บนชั้นที่อัดแน่นด้วยหนังสือรวมภาพถ่าย ลำโพงบลูทูธตัวเล็กคุณภาพดีที่มักส่งเสียงกังวานเวลามันเอาไปฟังในห้องน้ำ มันเคยบอกว่าอยากเลี้ยงกระต่ายแต่คงไม่มีเวลาดูแล (คิดถูกแล้ว) และมีโปสเตอร์ที่เป็นภาพที่มันวาดเองแปะอยู่สองสามอันตรงผนัง ใต้โปสเตอร์คือกีตาร์โปร่งที่วางไว้รอเจ้าของไปหยิบมาเล่นฆ่าเวลา แต่ทุกวันนี้สภาพแทบจะเหมือนที่แขวนเสื้อของมันไปแล้ว ปรับสายครั้งล่าสุดน่าจะเป็นสามเดือนก่อน ก่อนที่โปรเจ็คต์จบจะโหมกระหน่ำเข้าใส่ชีวิตเรื่อยเปื่อยของมันจนตอนนี้ล่องลอยและต้องใช้บุหรี่นั่นเรียกสติบ่อย ๆ

    "มึงไม่ทำธีสิสเหรอ"

    "ทำดิ แต่กูไม่ได้สติแตกเหมือนมึงสักหน่อย"

    "กูเปล่าสติแตก" มันพูดหน้าตาเฉย "แค่ต้องการเวลาคิดอะไรสักหน่อย"

    มันเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ คงต้องใช้อารมณ์นำงานพอสมควร ซึ่งผมที่ชีวิตวนเวียนกับตำราวิชาการไม่มีวันเข้าใจได้

    ผมนอนไม่หลับ เพราะมันที่ยังไม่กลับเข้ามาในห้องจนกลัวยุงจะหามตาย หรือระเบียงชั้นเจ็ดอาจจะไม่มียุง แต่มี PM2.5 แน่นอน––ซึ่งมันก็คงไม่สนอยู่ดีเพราะบุหรี่ทำร้ายปอดมันเร็วและเห็นผลกว่าฝุ่นพิษนั่นอีก พอจะหยิบมือถือมาเล่นก็ปวดเมื่อยเนื้อตัวเกินกว่าจะขยับ สุดท้ายเลยแค่ตะแคงข้าง มองกระจกระเบียงที่ม่านผืนใหญ่บังตาอยู่

    แง้มออกนิดหนึ่งไม่ได้เหรอวะ

    ใจอยากเดินไปกระชากออกเอง แต่ไม่มีแรงขนาดนี้อย่าว่าแต่เดินไปเปิดม่านเลย ลุกจากเตียงยังไงให้ไหวก่อน

    ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยพอดีกับที่ระเบียงเปิดออกอีกรอบ มันกลับมาแล้ว พากลิ่นบุหรี่เข้ามาด้วย แต่รอบนี้อ่อนจางกว่าปกติ

    "ถุงยางหมดแล้วแฮะ"

    มันวางบุหรี่แล้วพึมพำให้ผมฟัง ผมกลอกตา

    "เพลา ๆ บ้างก็ได้ กูจะตายก่อน"

    "ก็ถามตลอดว่าโอเคไหม พูดเองว่าได้ กูก็ไม่ได้ยั้งแรงเลย" มันมุ่ยหน้า "ขอโทษที"

    รู้ว่ามันรู้สึกผิดจริง ผมก็ยอมรับคำขอโทษนั้น ไม่ได้ต่อว่าอะไรมันต่อ

    "พรุ่งนี้กูเรียนบ่าย คงลุกไหว"

    "กินยาไหม"

    "หยิบให้หน่อย ลุกไม่ขึ้น"

    มันเดินไปคุ้ยหาอะไรสักอย่างที่โต๊ะทำงาน แล้วกลับมาพร้อมน้ำเปล่าที่รินใส่แก้วเรียบร้อย

    "ไม่ใช่แก้วล้างพู่กันมึงใช่ไหม"

    "มึงระแวงอะไรเนี่ย เห็นงี้กูก็ใส่ใจสุขอนามัยนะ"

    "กับคนที่จะสูบบุหรี่ในห้อง"

    "...ล้างแล้ว เชื่อกูน่า"

    ผมค่อย ๆ ดันตัวลุกขึ้น รับยากับน้ำมากิน ภาวนาให้พรุ่งนี้ไปเรียนตอนบ่ายได้ปกติ ไม่นอนซมอยู่ในห้องนี้

    มันเอาแก้วไปล้างในห้องน้ำแล้วเอาออกมาวางไว้ตรงโต๊ะทำงาน ไม่แน่ใจว่าจะทำให้แห้งได้ยังไง แต่ไว้ว่ากันอีกที พอเสร็จสิ้นทุกอย่างมันก็เดินไปสวมเสื้ออีกตัวแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างกันเหมือนก่อนหน้านี้

    "มึง"

    "ว่า"

    "จะตกลงคบกับกูได้หรือยัง"

    "..."

    คำพูดที่ผมโพล่งขึ้นมากลางความเงียบของห้องทำให้มันนิ่งไป หันไปมองมันที่ตะแคงข้างมองผมอยู่แล้วก็หลบสายตาไปทางอื่น ไม่มีคำพูดออกมา

    "...เหมือนเดิมอีกละ"

    "มึงคาดหวังให้กูตอบตกลงจริงดิ"

    "เออสิ"

    "รักกูขนาดนั้นเลยนะ"

    "มันเกินคำนั้นไปแล้วปะวะ" ผมจดจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของมัน "กับมึงแม่ง ถ้าไม่ได้ดูอยู่ข้าง ๆ กูก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน"

    มันถอนหายใจ

    "กูไม่ได้รักมึงนี่"

    ...

    ไอเหี้ย ฟังอีกกี่ทีก็ปวดใจ

    "พูดกี่ทีก็เจ็บ"

    "ความจริงอะมึง ทนนิดนึง" มันตะแคงข้างหันมามองผม "ทุกวันนี้ก็โอเค หรือถ้ามึงไม่โอเคก็หยุด จบ"

    "แล้วมึงจะทำไงต่อ ไปหาคนอื่น"

    "ไม่รู้" มันยักไหล่ "เซ็กซ์มันไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตปะ ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่มี ซื้อกิน อะไรก็ได้"

    "ไอห่า โรคเอยอะไรเอย"

    "งั้นมึงก็อย่าคาดหวังอะไรจากกูมากสิวะ" มันบอก "กูยังไม่คาดหวังอะไรกับตัวเองเลย"

    ผมมองมัน ก่อนขยับหน้าเข้ามาใกล้แล้วกดริมฝีปากลงบนหน้าผาก

    "เมื่อไหรมึงจะเลิกเป็นคนแบบนี้"

    "แบบไหน"

    "แบบที่ไม่ไว้ใจใครบนโลกนี้เลย" ผมเหยียดแขนออกมากอดมัน "ไม่ไว้ใจตัวมึงเองด้วย"

    "แก้ยากแฮะ" มันพึมพำ ซบหน้าลงกับศีรษะผม "เอาเป็นว่าไม่พูดเรื่องนี้ ข้ามไป ๆ"

    "...เออ"

    จะพูดอะไรต่อได้ล่ะ


    *******


    ผมสะดุ้งตื่นเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามาในห้อง

    มันจ้าเสียจนเข้ามาหลังเปลือกตา จนผมต้องลืมตาขึ้นมอง เจ้าของห้องเล่นเปิดม่านเสียกว้าง แสงอาทิตย์ยามสายเลยสาดเข้ามาเสียเต็มที่ สะท้อนผ้าห่มสีขาวจะแสบตา

    "อย่าเพิ่งลุก" ผมได้ยินเสียงมันจากอีกฟากของห้อง

    มันนั่งอยู่ตรงนั้น บนเก้าอี้ตัวสูง พร้อมขาตั้งที่มีเฟรมผืนใหญ่ตั้งอยู่ ในมือมีถ่านสีดำที่เปรอะไปทั่วข้อนิ้ว ดูท่าจะวาดรูปมาสักพักแล้ว

    รูปผมเนี่ย

    "ถ่ายรูปกูก็แล้ว วาดรูปอีกเหรอ" ผมถอนหายใจ "คิดค่าเป็นแบบได้ไหม"

    "นักศึกษาไส้แห้งอย่างกูจะไปมีปัญญาจ่ายได้ยังไงก่อน"

    "เอาเปรียบสัส"

    "อย่าขยับแขนสิ แป๊บ –– ได้ละ"

    ผมรอจนมันบอกว่าขยับตัวได้จึงลุกขึ้นมานั่ง อาการปวดจางหายไปมากจนแทบไม่รู้สึกแล้ว ยาของมันได้ผลเกินคาด

    "กี่โมงแล้ว" ผมถาม

    มันหยิบมือถือมาดูนาฬิกาก่อนตอบ

    "สิบเอ็ดโมง"

    "...ไอสัส"

    ผมผุดลุกออกจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำทันที ได้ยินเสียงมันหัวเราะอยู่ในห้อง

    ผมใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานก็พร้อมในชุดนักศึกษา (ตัวใหม่ที่พกมาด้วย) มันเก็บข้าวของแล้วกำลังจะออกไปพร้อมผม

    "มีเรียนเหมือนกันเหรอ"

    "ใช่ แวะไปล้างรูปด้วย" มันยกกล้องขึ้นมาอวด "รูปมึงเพียบเลย"

    "รูปอะไรวะ"

    "ไม่บอก รอดู"

    รู้สึกไม่น่าไว้ใจโคตร ๆ ผมหรี่ตามองมัน อยากเบิ๊ดกะโหลดมันสักทีข้อหากวนตีนไม่รู้เวล่ำเวลา แต่พอคิดว่าถ้าสายกว่านี้อีกไม่กี่นาที เช็กชื่อไม่ทันแน่ ๆ เลยปล่อยผ่านไป

    "วันนี้กลับห้องไหม"

    พอผมถาม มันทำท่าคิดไปนิดหนึ่ง ก่อนว่า

    "ไม่อะ มึงกลับไปบ้านเถอะ"

    ไปไหน

    ผมคิด แต่ไม่กล้าถาม นึกถึงบทสนทนาเมื่อคืน ผมไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวมันทั้งนั้น ความสัมพันธ์ของเราคือเพื่อน––ที่เผอิญมีเรื่องเซ็กซ์มาเกี่ยวด้วยนิดหน่อย

    ––หากคุณจะเรียกการเจอกันอย่างน้อยอาทิตย์ละสองครั้งเพื่อมีอะไรกันว่า "นิดหน่อย" ล่ะก็นะ

    เราจบบทสนทนาแค่นั้น ก้าวออกจากห้องพร้อมเสียงประตูที่ปิดลง

    ห้อง 722 ของมันมักถูกทิ้งร้างไว้เสมอ

    เพราะเจ้าของไม่ค่อยคิดจะกลับมา มันเคยบอกผมว่าตัวมัน belong to nowhere ไม่เป็นของที่ไหน ไม่มีบ้านแท้จริง มันมีความสุขกับอิสระที่นึกอยากไปไหนก็ไป นึกอยากทำอะไรก็ทำ

    "กูมีแฟนไม่ได้หรอก"

    มันเคยบอกผมแบบนั้น

    มันไม่เคยถูกผูกมัด มันไม่ยินยอมให้ใครผูกมัด ยิ่งกว่านกที่มีปีกบินไปอย่างเสรี มันคือตัวตนไร้รูปร่าง เป็นได้ทุกอย่างที่มันอยากเป็น อยู่ในทุกที่อย่างกลมกลืนทว่าโดดเด่น สร้างพื้นที่เฉพาะของตัวเอง และจากมาอย่างไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ให้หวนคำนึงถึง

    "มึงโคตรยึดติดกับกูเลย"

    มันเคยนิยามผมแบบนั้น

    ยึดติดกับมัน ยึดติดกับความจริงว่าโลกนี้ไม่มีอิสระแท้จริง สิ่งที่มันเฝ้าหาคือภาพลวงตา เพราะชีวิตไม่ได้อนุญาตให้เรามีเสรีขนาดนั้น

    แต่คงเพราะเป็นภาพลวงตา ชีวิตของมันจึงมีสีสันและสวยงามเหลือเกินสำหรับผม

    เพราะยากจะจับต้อง ยากจะกอดเก็บไว้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง –– ทุกเวลาที่ได้สัมผัสผิวมันถึงรู้สึกราวกับอยู่ในฝัน

    ส่วนวินาทีที่ยืนส่งกันหน้าห้องคือความจริง

    "กูไปนะ"

    ผมบอก มันพยักหน้ารับ

    "กลับดี ๆ"

    "อือ ไว้เจอกัน"

    "ไว้เจอกัน"

    คำบอกลาอันคุ้นชิน เป็นสัญญาปากเปล่าว่าเรายังไม่หลุดพ้นจากกันอย่างสิ้นเชิง

    และผมก็ไม่อยากให้เส้นสายอันเปราะบางนี้ขาดไปเลยแม้แต่นิดเดียว



    FIN



    200206

    รู้สึกว่าพอเขียนด้วยความยาวแค่นี้แล้วถ่ายทอดทุกอย่างที่คิดลงไปได้ไม่หมด แต่เขียนยาวกว่านี้คงไม่ไหว เพราะไม่มีเวลาค่ะ 5555555555555

    ไม่มีชื่อตัวละครเลย เพราะอะไร เพราะคิดไม่ออก จึงได้ใช้อำนาจของสรรพนาม เย่

    ชอบไม่ชอบ คอมเมนต์บอกกันได้นะคะ <3

    #wrficnct

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in