อีกเพียงไม่กี่วันจะถึงวันสิ้นปี ผมถูกตามตัวระหว่างพักผ่อนอยู่กับบ้านและกำลังจัดของสำหรับเตรียมเดินทางไปฉลองวันสิ้นปีกับแฟนนี่น้องสาวของผมที่บ้านเกิดทางตอนเหนือ และงานด่วนที่ว่าอาจทำให้ผมเป็นพ่อทูนหัวที่ไม่เอาไหนเอาเสียเลยไปอีกปีหนึ่ง เพราะผมไปเยี่ยมหลานชายไม่ทันคริสต์มาสหรือปีใหม่มาสามปีติดต่อกันแล้ว
อาชญากรรมไม่เคยมีวันหยุด เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมก็ยากที่จะมีวันหยุด นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของอาชีพของผม และผมย้ำเรื่องดังกล่าวกับหลานชาย หลังจากโทรศัพท์ไปหาแกเพื่อนขอโทษที่ผมทำตามสัญญาไม่ได้ โลเวลล์ไม่โกรธ และแกก็เข้าใจงานของผมดี แม้จะแอบผิดหวังเล็กน้อย แต่ความผิดหวังของแกลบล้างได้ไม่ยาก เมื่อผมสัญญาว่าจะเล่าเรื่องงานของผมให้แกฟังเท่าที่ผมพอจะเล่าได้ทันทีที่ไปหาแกช่วงหลังปีใหม่
โลเวลล์อยากฟังเรื่องหน่วยงานใหม่ที่ผมสังกัด โดยเฉพาะคดีที่ผมทำในฐานะสมาชิกทีม SCIT ที่แกบอกว่าเป็น 'ทีมที่เจ๋งสุด ๆ ไปเลย' หลังจากที่ได้ดูสารคดีเกี่ยวกับหน่วยงานนี้ทางโทรทัศน์ (และนั่นทำให้ผมรู้ว่า แกแอบดูรายการทีวีสำหรับผู้ใหญ่ผ่านอินเทอร์เน็ตหลังจากเข้านอนไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ผมเก็บไว้ไล่เบี้ยกับแกทีหลัง) แต่สำหรับคราวนี้ ผมไม่แน่ใจว่า มันเป็นคดีที่เหมาะกับการเล่าให้เด็กเจ็ดขวบฟังเท่าใดนักแม้ว่าผมจะพยายามตัดทอนเรื่องราวและรายละเอียดให้มันเหมาะกับวัยของแกแล้วก็ตาม
“สารวัตรเฟย์ ทางนี้ครับ” จ่าวิลเลียม มัสเกรฟ ตำรวจสืบสวนคนหนึ่งในทีม เป็นอัลฟ่าที่ทำงานอยู่ทีมเดียวกับผม สีหน้าผะอืดผะอมของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้เห็นหน้าผม เขาวิ่งตรงเข้ามาหา ด้วยท่าทางเหมือนสุนัขรีทรีฟเวอร์เจอจ่าฝูงของตัวเอง และทำให้ผมนึกภาพของเขาในร่างสุนัขรุ่นหนุ่มที่กำลังกระดิกหางจนสั่นไปทั้งตัว ก่อนพุ่งตรงเข้ามาวิ่งวนเวียนรอบตัวผมด้วยความดีใจไม่ได้
“ผู้ตายชื่อ เจมส์ พ็อตต์เป็นเจ้าของร้าน ไม่มีของมีค่าอื่น ๆ สูญหาย เว้นแต่ของชิ้นหนึ่งที่เขาเพิ่งได้มาหายไป สภาพศพของเขาไม่ปกติเท่าไหร่ ทาง CID ของไวท์ชาเพลเลยแจ้งมาที่ SCIT ครับ ตอนนี้สารวัตรแบล็ครออยู่ข้างในแล้ว” เขารายงานหลังผม แสดงบัตรประจำตัวกับพลตำรวจที่เฝ้าบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ และลอดแถบเทปกั้นเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ
ผมทักทายกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่มาถึงก่อน และคนจากสำนักงานโคโรเนอร์หรือสำนักงานผู้ชันสูตร รับถุงมือ ชุดพลาสติกสำหรับสวมทับเสื้อผ้ากับถุงหุ้มรองเท้ามาสวมเพื่อไม่ให้สถานที่เกิดเหตุเกิดปนเปื้อนด้วยหลักฐานทางชีวภาพจากตัวเราก่อนเข้าไปภายใน
สถานที่เกิดเหตุเป็นร้านขายของเก่าและสารพัดของแปลกประหลาดผู้ตายเป็นเจ้าของร้านกึ่งที่พักอาศัยแห่งนี้ เมื่อพบว่า สามีตื่นสายผิดปกติและไม่ได้กลับไปที่ห้องนอนของตนเอง
ศพของเจมส์ พ็อตต์ในห้องหนังสือยังไม่ถูกผู้ใดแตะต้อง นอกจากคลาร่า พ็อตต์ ภรรยาของผู้ตาย ซึ่งเป็นคนโทรศัพท์แจ้งตำรวจท้องที่ด้วยตนเองว่า พบสามีของตนเสียชีวิต
ห้องหนังสือดังกล่าวอยู่บนชั้นสองของตึกซึ่งใช้เป็นที่พักอาศัยของสามีภรรยาพ็อตต์ส่วนชั้นหนึ่งและห้องใต้ดินนั้น ใช้เป็นร้านค้าและที่เก็บสินค้าตามลำดับ
ระหว่างที่เดินขึ้นไปยังห้องหนังสือชั้นสองผมสังเกตเห็นว่า ร้านขายของเก่าของผู้ตายดูเหมือนโรงรับจำนำหรือกระบะขายสินค้ามือสองที่ถนนพอร์โทเบลโลหรือเบธนัลกรีน แต่เปรียบเทียบอย่างนี้ก็ออกจะดูถูกของเก่าสภาพดีและมีค่าที่วางขายในสถานที่สองแห่งนั้นเกินไปหน่อย เพราะเมื่อเทียบกันแล้วเครื่องเรือน เครื่องเงิน และเครื่องกระเบื้องต่าง ๆ ที่อยู่ภายในร้านดูไม่มีราคาหรือแทบหาความประณีตไม่พบเอาเสียเลย มิหนำซ้ำ ยังมีพวกเครื่องรางของขลังแปลกประหลาดและอุปกรณ์ติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ อย่างกระดานผีถ้วยแก้ว เท้ากระต่าย หน้ากากหมอผี และของอื่น ๆ ทำนองเดียวกัน จนเหมือนสำนักเข้าทรง หรือร้านขายของแปลกประหลาดพวก Curiosity shop สมัยวิคตอเรียนมากกว่า
เมื่อไปถึงชั้นพักอาศัย ผมก็ต้องแปลกใจเพราะรู้สึกเหมือนหลุดออกไปอยู่คนละโลก ข้าวของเครื่องใช้ในส่วนที่พักอาศัยเป็นของทันสมัย หลายชิ้นเป็นสินค้าตลาดบนราคาแพง และของบางอย่างดูจะฟุ่มเฟือยเกินไปสำหรับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อค้าของเก่าธรรมดา ๆ จนน่าสงสัยว่า กิจการร้านขายของเก่าเป็นสิ่งที่สามีภรรยาคู่นี้ใช้ทำกินเลี้ยงชีพอยู่ทุกวันนี้จริงหรือไม่
กลิ่นของสถานที่แห่งนี้แปลกประหลาด ไม่มีความรู้สึกอบอุ่นของบ้านหรือร้านค้า ไม่มีกลิ่นของความมีชีวิตชีวา มีแต่ความเย็นชา ไม่ไว้วางใจอวลอยู่ในบรรยากาศ แต่นั่นก็ไม่เท่ากับกลิ่นบางอย่างที่ดูแปลกแยกออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ซึ่งหลงเหลือบางเบาในห้องรับแขกเพราะกลิ่นของผู้คนส่วนใหญ่ที่ผสมปนเปกันไปภายในร้านและบ้าน เป็นกลิ่นที่ไม่โดดเด่นของอัลฟ่าหรือโอเมก้าระดับธรรมดาทั่วไป เพราะกลิ่นนั้นแตกต่างมันเป็นกลิ่นของอัลฟ่าที่เข้มแข็งเจือปนกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายราคาแพง และไม่ใช่กลิ่นแบบอัลฟ่าปลายแถวของเจมส์ พ็อตต์ผู้ตายอย่างแน่นอน ทว่าผมบอกไม่ได้ว่า เป็นกลิ่นของใคร
ถ้าถามผมว่า กลิ่นเหล่านี้มีประโยชน์ต่อรูปคดีมากน้อยแค่ไหน ผมคงต้องตอบว่า ไม่มากนัก เพราะในปัจจุบัน ตำรวจอย่างเรายังไม่สามารถใช้กลิ่นที่สัมผัสได้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีได้ เนื่องจากเป็นเรื่องของความรู้สึกเป็นหลักจึงอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ความสามารถในการจำแนกกลิ่นของผมจึงถูกนำมาใช้เฉพาะแค่ในการกำหนดทิศทางว่าควรแสวงหาหลักฐานจากใคร สิ่งใด หรือที่ไหนต่อไปบ้างเท่านั้นเอง พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์นิติเวชหรือเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานยังคงมีบทบาทสำคัญในการตามหาผู้ต้องสงสัย และใช้มัดตัวผู้กระทำความผิดในชั้นศาล
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการดม จำแนก และจดจำกลิ่นของเชปชิฟเตอร์สุนัข ซึ่งเหนือกว่าเชปชิฟเตอร์ที่เป็นสัตว์อื่นอาจทำให้ผมได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกของ SCIT หรือทีมสืบสวนคดีฆาตกรรมที่ต้องการความชำนาญพิเศษของกองบัญชาการตำรวจนครบาลก็ได้
เรามักล้อชื่อของทีมว่า ที่จริงแล้ว SCIT ย่อมมาจาก Specialised Canine Investigations Team หรือ ทีมสืบสวนสุนัขชำนาญการพิเศษ มากกว่า Special Casework Investigations Team เพราะมีเชปชิฟเตอร์สุนัขแทบทุกสายพันธุ์มารวมกันอยู่ในหน่วย และอาจเรียกได้ว่า เป็นแหล่งรวมอัลฟ่าจากทุกกรมกอง เพราะนายตำรวจระดับสูงตั้งแต่สารวัตรไปจนถึงผู้กำกับการล้วนแต่เป็นอัลฟ่าที่มีชั่วโมงบินในการทำงานสูง และมีสถิติการปิดคดีในความรับผิดชอบได้เกินร้อยละเก้าสิบ
เหตุผลที่ผู้นำระดับสูงของหน่วยงานต้องเป็นอัลฟ่า ให้ผมพูดให้เข้าใจได้อย่างง่ายที่สุด คือ ผู้ที่มีเพศรองเป็นอัลฟ่ามีคุณสมบัติของการเป็น ‘จ่าฝูง’ มีศักยภาพทางกายและอำนาจสูงสุดในบรรดาประชากรเชปชิฟเตอร์ทั้งสามกลุ่มได้แก่ อัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า เพราะฉะนั้น อัลฟ่า โดยเฉพาะอัลฟ่าเพศชาย จึงมักถูกวางตัวให้เป็นผู้นำหรือทำงานที่ต้องใช้พระเดชพระคุณไปพร้อมกัน ในกองทัพ สำนักงานตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร และตำแหน่งผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ จึงมีอัลฟ่าสวนสนามกันเต็มไปหมด ซึ่งบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่า มันไม่เป็นผลดีกับการบริหารอย่างที่พวกเขาเชื่อตาม ๆ กันมาสักเท่าไหร่ แต่ผมคงพูดอะไรมากไม่ได้
เมื่อผมไปถึงห้องที่พบศพ สารวัตรเจมส์ แบล็ค อัลฟ่าชายหน้ากลม สูงสันทัด อายุราวสี่สิบปลาย ซึ่งยืนรออยู่ที่ปากประตูห้องก็ทักทายผม และแจ้งให้ทราบว่า ดร. เบนจามิน เวสต์ แพทย์นิติเวชที่สำนักงานโคโรเนอร์ประสานงานให้มาช่วย และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาถึงแล้ว มีการถ่ายภาพเอาไว้ทั้งหมด และรอให้ผมมาดู ก่อนที่เขาจะลงมือตรวจศพ
สภาพทั่วไปของห้องหนังสือของมิสเตอร์พ็อตต์ค่อนข้างเรียบร้อย มีพวกหนังสือ ภาพเขียน และเครื่องรางอีกจำนวนหนึ่งอยู่ในตู้เพื่อรอติดฉลากราคาก่อนนำลงไปขายในร้านข้างล่าง ส่วนที่เป็นพิรุธที่สุดมีเพียงจุดเดียว คือ บริเวณโต๊ะทำงานของเขา ซึ่งมีหนังสือและกระดาษต่าง ๆ กระจุยกระจายไปทั่ว หมึกดำสำหรับเขียนหนังสือหกนองไปทั่วโต๊ะไม้มะฮอกกานี และไหลหยดลงบนพื้นพรมเบื้องล่างเป็นรอยด่างวงใหญ่
ขณะก้าวเข้าไปในห้อง ผมรู้สึกว่าห้องดังกล่าวหนาวเย็นผิดปกติ แม้ว่าระบบเรดิเอเตอร์หรืออุปกรณ์แผ่ความร้อนจะทำงานเป็นปกติอยู่ก็ตาม เมื่อมองไปยังทิศทางที่ผมรู้สึกว่ามีลมเข้า ก็พบว่าหน้าต่างด้านหลังห้องถูกดึงขึ้นทำให้อากาศหนาวภายนอกไหลเข้ามาทางช่องเปิดนั้นได้ ซึ่งการเปิดหน้าต่างห้องทิ้งไว้ในช่วงเดือนธันวาคมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำกัน และในเวลานั้น ผมก็พบจุดพิรุธอีกอย่างหนึ่ง คือ บนกลอนและขอบไม้ของหน้าต่างด้านล่างมีรอยนิ้วมือเปื้อนหมึกติดอยู่ เหมือนมีใครสักคนใช้มือเปื้อนหมึกเปิดหน้าต่างแล้วหนีออกไปทางนั้น
จากหน้าต่างมองย้อนตามรอยหมึกกลับเข้าไปในห้อง ก็พบว่ารอยหมึกนั้นเปื้อนอยู่บนลำคอและอกเสื้อของผู้ตาย
ถึงเห็นศพมามาก และบางครั้งก็อยู่ในสภาพเหลวแหลกไม่มีชิ้นดี เพราะเป็นผลมาจากการต่อสู้ระหว่างการกลายร่างเป็นสัตว์ แต่สภาพศพของผู้ตายรายนี้ก็ทำให้ผมกับจ่ามัสเกรฟผงะไปชั่วครู่ เพราะใบหน้าบิดเบี้ยวของเขาเป็นใบหน้าของคนที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวสุดขีดก่อนถึงแก่ความตาย
ดวงตาที่ลืมค้างอยู่ของเจมส์ พ็อตต์เหลือกลานแทบถลนออกมานอกเบ้า ในตาขาวมีจุดสีแดงอยู่เต็มไปหมด ปากที่เปิดอ้ามีคราบน้ำลายแห้งติดอยู่ทั้งสองข้างของมุมปาก กล้ามเนื้อในร่างกายของเขาบิดเกร็งไปทั้งร่าง สองมือหงิกงอปลายนิ้วทั้งสิบจิกพื้นพรมบนห้องแน่น เป็นอาการที่บ่งบอกถึงการกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดมากกว่าการพยายามต่อสู้ บนลำคอของเขามีรอยมือข้างซ้ายที่เปื้อนหมึกดำปรากฏอยู่เป็นรอยมือขนาดเล็กและผอมบางเหมือนมีแต่กระดูก รอยมือส่วนที่เป็นนิ้วโป้งประทับอยู่บริเวณลูกกระเดือก ส่วนอีกสี่นิ้วที่เหลือพาดอยู่ข้างลำคอบน เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขามีรอยหมึกหยดกระเซ็นเป็นดวงเล็ก ๆ หลายรอย
“ตอนนี้มีคนลือกันไปใหญ่แล้วว่ามือมนุษย์ตากแห้งที่ผู้ตายซื้อมาบีบคอเขาแล้วหนีไป” สารวัตรแบล็คกระซิบบอกผม“แม่สาวน้อยเจนนี่ แม่บ้านฟิลิปปินส์ของครอบครัวพ็อตต์ร้องโวยวายก่อนจะเป็นลมล้มพับไปหลังจากเห็นศพนายจ้างตัวเองกับรู้ว่าของพิสดารนั่นหายไปนี่แหละ”
“อะไรนะครับ” ผมขมวดคิ้วและถามซ้ำ “มือมนุษย์ตากแห้งงั้นเหรอ... ทำไมถึงมีคนอยากซื้อเครื่องรางสยองขวัญพรรค์นี้ด้วย”
“สารวัตรรู้ด้วยเหรอว่า ไอ้มือผีนั่นเอาไว้ใช้ทำอะไร” สารวัตรแบล็คพึมพำ และมองผมด้วยสายตาที่ผมให้คำนิยามไม่ถูกว่า เป็นอารมณ์อย่างไหน “ผมคิดถูกแล้วสิ ที่เรียก SCIT เข้ามารับคดีนี้ต่อ”
จ่ามัสเกรฟสบตากับผมเหมือนอยากแย้งว่า เราไม่ใช่หน่วยงานปราบผี แต่ผมส่ายหน้าปรามเอาไว้ และเลือกที่จะไม่ต่อความยามสาวความยืดกับตำรวจท้องที่ แม้ว่าจะไม่อยากซื้อทฤษฏีของชาวบ้านที่ร่ำลือกันไปมากนัก แต่มันก็เป็นเรื่องน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสภาพศพของผู้ตายที่หวาดกลัวขนาดหนักจนเหมือนถูกผีหลอก
ประเมินด้วยสายตา เจมส์ พ็อตต์เป็นอัลฟ่าเพศชาย ตัวใหญ่หนา และยังดูแข็งแรงจนไม่น่าเชื่อว่า มือซ้ายเล็ก ๆ ข้างนั้นจะบีบคอเขาจนตายได้ แต่ถ้าไม่ใช่ผลจากการกระทำของมือนั่นแล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย และคนที่สามารถไขความจริงข้อนั้นได้ก็คงมีเพียงคนที่รู้วิธีการชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตายเท่านั้น
“ดร. เวสต์ นี่สารวัตรไมเคิล เฟย์จาก SCIT” สารวัตรแบล็คแนะนำผมกับแพทย์นิติเวชที่อยู่ภายในห้องก่อนที่ผมจะเข้ามา “สารวัตรเฟย์ นี่ ดร. เบนจามิน เวสต์ คิดว่าพวกคุณอาจจะไม่เคยพบกัน”
แพทย์นิติเวชยิ้มและค้อมศีรษะรับ เมื่อผมก้มศีรษะทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ สารวัตร... ผมได้ยินชื่อคุณมานานแล้ว ดีใจที่ได้เจอตัวจริง”
ไม่ทันที่ผมจะตอบรับหรือกล่าวอะไรออกไป ผมก็ต้องชะงักกับบางสิ่ง
กลิ่นของดอกเฮเธอร์... ผมได้กลิ่นหอมประจำตัวของโอเมก้าคู่หมายที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วจากตัวเขา
แม้บางเบาจนแทบไม่รู้สึก แต่ก็ชัดเจนพอที่จะกระตุ้นความทรงจำในวันที่ได้รับรู้ว่าคู่แท้ของผมมีตัวตนอยู่จริงให้หวนคืนมาได้
กลิ่นนั้นทำให้ผมเกือบหยุดหายใจ ความรู้สึกที่ห่างหายไปนานกว่าสิบปี นับแต่ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ผมรักอย่างแมรี่มากกว่าคนที่ถูกกำหนดมาให้คู่กับตามธรรมชาติและสัญชาตญาณของสัตว์ในตัวหวนคืน หัวใจของผมเต้นถี่ขึ้นจนเกือบควบคุมไม่ได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงร่องรอยของฟีโรโมน ที่แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมสติไม่อยู่กับตัวไปชั่วขณะ โดยเฉพาะเมื่อเป็นกลิ่นที่มาจากคนที่เกือบได้พบแต่คลาดกันไปจนนึกว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
แมรี่เคยบอกผมว่า คนคนนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์ แต่นายแพทย์ตรงหน้าผม ไม่ใช่ 'เขา' อย่างแน่นอน...
ดร. เบนจามิน เวสต์ไม่ใช่เจ้าของกลิ่นเฮเธอร์นั้น เขาเป็นเบต้าเพศชาย เบต้าทั้งสองเพศซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดในสังคมไม่มีกลิ่นประจำตัวเหมือนอัลฟ่ากับโอเมก้า ไม่มีความสามารถในการรับกลิ่นเฉพาะตัวหรือฟีโรโมนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ผมเชื่อว่า เขามีความเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับคู่หมายที่ผมไม่เคยพบ แต่ในเวลานี้ เป็นเวลางานไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสมที่จะถามเรื่องส่วนตัว
“หลังตรวจสภาพศพในที่เกิดเหตุเสร็จแล้ว เราจะเอากลับไปผ่าพิสูจน์ต่อ เพราะดูด้วยสายตาอย่างเดียวก็บอกได้ยากกว่า เขาเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร ในเบื้องต้น บอกได้แค่ว่า เขาตายมาแล้วประมาณ 10-12 ชั่วโมง” ดร. เวสต์เอ่ยขึ้น หลังลงมือตรวจสภาพศพภายนอกเพื่อประเมินระยะเวลาการเสียชีวิต และดูบาดแผลที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาในเบื้องต้น
“คนที่ชำนาญเรื่องศพประเภทนี้ และรู้เรื่องความเชื่อกับตำนานที่เกี่ยวข้องมากที่สุด คือ ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ แต่เสียดายที่ช่วงนี้เขาลาหยุด”
ชื่อดังกล่าวทำให้สารวัตรแบล็คมีสีหน้าท่าทีอึดอัด เหมือนไม่ถูกชะตากับคนที่ถูกเอ่ยถึงนัก
“พอมีทางที่จะติดต่อเขาให้มาชันสูตรศพวันนี้ได้ไหมครับ” ผมถาม
พยาธิแพทย์มองหน้าผมอย่างเห็นใจ ส่ายหน้าช้า ๆ แววตาของเขาฉายแววห่วงใยคนที่เอ่ยถึงอย่างไม่พยายามจะซ่อนความรู้สึก
“ดร. ฟอล์กเนอร์ใช้สิทธิลาหยุดของโอเมก้าสามวัน เขาขังตัวเองอยู่ในบ้าน ไม่ยอมให้อัลฟ่าคนไหนพบมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว...”
To be continued
====================================
เนื้อเรื่องแนวสืบสวนน่าสนใจดีค่ะ ชอบๆๆๆ